ชี้ชะตา‘จีทูจีข้าวภาค2’อีก2สัปดาห์
71รายลุ้นระทึก
‘ทักษิณ-ปู-เจ๊แดง-บุญทรง’หนาว
ปปช.ยันไม่เกี่ยวการเมืองช่วงใกล้ลต.
ปิดคดี‘จีทูจีมันเส้น’สัปดาห์หน้า
‘บิ๊กตู่’ปลุกคนไทยร่วมปราบโกง
ลั่นไม่ทุจริตเชิงนโยบายเด็ดขาด
เพื่อทำให้แผ่นดินไทยเป็นสีขาว
ป.ป.ช.นัดชี้ขาดคดี “จีทูจีมันเส้น” 3 สำนวน ในสัปดาห์หน้า ส่วนคดี“จีทูจีข้าว” ภาคสอง รออีก 2 สัปดาห์ได้ระทึก “วัชรพล” แจงช้าเพราะเอกสารหมื่นหน้า ปัดจ้องฟันใกล้เลือกตั้งมีนัยการเมืองระบุทำมานานแต่เสร็จพอดี ด้าน นายกฯ ปลุกคนไทยรวมไทยต้านโกง“ไม่ทำ ไม่ทน ไม่เฉย” ลั่นมาพูดตรงนี้่ได้เพราะไม่ทุจริต ไม่อย่างนั้นเอาหน้าไปเสนอใครไม่ได้ ต้องมีศักดิ์ศรี-ต้องไม่ยอมให้พลังความดี-ความถูกต้อง พ่ายแพ้ต่ออำนาจฝ่ายต่ำยันรัฐบาลไม่ลดละขจัดทุจริตให้หมดสิ้น เพื่อเป็นแผ่นดินสีขาว ชี้หลายจุดอ่อนส่งผลเสียทุกด้าน
ลั่นไม่ยอมให้เป็นมรดกบาปถึงลูกหลาน ยันไม่ให้เกิดทุจริตเชิงนโยบายเด็ดขาด‘นิพนธ์’ขอผู้สมัคร ปชป.แดนใต้ หนุนประชาชนสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่น ให้ตรงความต้องการตลาด หวังสร้างรายได้ปีละ3หมื่นล้าน‘สมบูรณ์’เด็ก’ชวน’ชื่นชมนโยบายสร้างความเป็นธรรม’พีระพันธุ์’เดินหน้าสมัครสมาชิก’รทสช.’พร้อมลง สส.เขต4.ตรัง
เมื่อเวลา 10.50น.วันที่ 9 ธันวาคม ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการ ปปช.ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าคดีซื้อขายมันเส้นแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) 3สำนวน ได้แก่ 1.กรณีกล่าวหา นางพรทิวา นาคาศัย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ กับพวก 2.กรณีกล่าวหา นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ กับพวกและ3.กรณีกล่าวหา นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี กับพวก รวมถึงความคืบหน้ากรณีกล่าวหา นายบุญทรง เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ กับพวก ทุจริตในการทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบจีทูจีว่า จากเดิมจะเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุม ปปช.ชุดใหญ่สิ้นเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา แต่เนื่องจากเอกสารคดีทุจริตจีทูจีข้าวมีเป็นหมื่นหน้าและกรรมการ ปปช.ต้องการแสกนเอกสารทุกหน้า จึงต้องให้เวลาเจ้าหน้าที่ไปแสกนข้อมูล แล้วกลับนำเข้าสู่ที่ประชุมอีกครั้ง เพื่อที่คณะกรรมการ ปปช.จะได้พิจารณาและให้ความเป็นธรรมอย่างเต็ม รอบคอบ
ปปช.จ่อฟันจีทูจีมันเส้น3สำนวน
พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า ตนยืนยันว่า ปปช.ให้ความเป็นธรรมและพิจารณาไปตามพยานหลักฐาน ไม่เช่นนั้น ปปช.จะต้องถูกย้อนโดยการถูกฟ้อง อย่างที่ผ่านมาตนและกรรมการ ปปช.ถูกฟ้องมาหลายเรื่องแล้ว ทั้งนี้ สำหรับสำนวนจีทูจีมันเส้น 3สำนวน จะเข้าสู่การพิจารณาสัปดาห์หน้า จากนั้นอีกสัปดาห์จะเป็นการพิจารณาสำนวนจีทูจีข้าว ส่วนการพิจารณาจะครบถ้วนหรือไปไต่สวนเพิ่มเติมหรือไม่ ขึ้นอยู่กับที่ประชุมที่จะวินิจฉัยและมีมติว่า จะพิจารณาอย่างไร มีความสมบูรณ์หรือไม่ จะสามารถชี้มูลได้หรือไม่
ประธาน ปปช.กล่าวด้วยว่า คดีของนักการเมืองระดับชาติที่อยู่ระหว่างการไต่สวนของ ปปช.จะเห็นได้ว่า ในระยะหลัง ปปช.ทำได้อย่างรวดเร็ว ทั้งเรื่องเก่าและเรื่องใหม่ บางครั้งในสภา ปปช.จะถูกกล่าวหาว่ากลั่นแกล้งนักการเมืองหรือไม่ ทำไมในอดีตมีความล่าช้า แต่ทำไมปัจจุบันทำเร็ว นั่นเป็นเพราะปปช.ปรับระบบการทำงาน โดยทำในระบบ 2ลู่ คู่ขนานกันไปทั้งเรื่องเก่าและเรื่องใหม่ แต่แม้จะทำเร็วก็มีประเด็นเกิดขึ้นอีกว่า งานกระบวนการยุติธรรม สิ่งสำคัญคือต้องให้ความเป็นธรรม เป็นกลาง หากมีพยานหลักฐานต้องดำเนินการตามขั้นตอน
ลั่นไม่เป็นเครื่องมือทางการเมือง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ช่วงนี้เป็นช่วงใกล้เลือกตั้ง ปปช.ถูกมองว่า เป็นเครื่องมือส่วนหนึ่งของการเมือง พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า มันก็เป็นไปได้ แต่ต้องถามว่า เรื่องที่กำลังใกล้เข้าสู่การพิจารณาซึ่งปรากฏเป็นข่าวสารอยู่ในขณะนั้น เป็นเรื่องที่ใช้ระยะเวลาไต่สวนมานานเท่าไหร่แล้ว ซึ่งนานกว่า10ปี ทำให้ขณะนี้อยู่ในกระบวนการเร่งรัด เมื่อมาเสร็จช่วงนี้ต้องถูกนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมาย แต่บางคนอาจจะมองไปเช่นนั้นได้ แต่ถ้า ปปช.ตอบสังคมได้ด้วยข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเราก็ไม่หวั่น เพราะต้องการให้การไต่สวนคดีเสร็จทุกเรื่อง จะเห็นว่า ปปช.ชี้มูลความผิดทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน เพียงแต่ขอให้มีพยานหลักฐาน ทั้งนี้ ต้องตระหนักก่อนว่า ปปช.ถือว่ายังเป็นกระบวนการยุติธรรมขั้นต้น ยังต้องไปสู่กระบวนการอัยการและศาลอีก ดังนั้น ผู้ถูกกล่าวหาจึงยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ อย่าเพิ่งไปมองว่าเขาผิด
‘แม้ว-ปู-บุญทรง-เจ๊แดง’มีหนาว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับคดีทุจริตจีทูจีข้าว ภาค2 มีผู้ถูกกล่าวหา จำนวนมากถึง 71ราย ทั้งกลุ่มนักการเมือง ข้าราชการการเมือง อาทิ นายบุญทรง เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รมว.พาณิชย์, น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี, นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง สส., พ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเลขานุการ รมว.พาณิชย์, นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นต้น โดยก่อนหน้านี้มีข่าวว่า ในส่วนนายบุญทรง ได้ถูกกันชื่อไว้เป็นพยานในคดี พร้อมกับบริษัทเอกชนบางส่วน ที่ไม่เกี่ยวข้องกับ นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือเสี่ยเปี๋ยง ผู้ก่อตั้งบริษัท สยามอินดิ ก้า จำกัด
‘บิ๊กตู่’เปิดงานต่อต้านคอรัปชั่นโลก
เวลา 10.00น.ที่ห้องประชุมนนทบุรี สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.)พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านการทุจริต ในงานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากลประเทศไทย ประจำปี 2565 ภายใต้แนวคิด”ไม่ทำ ไม่ทน ไม่เฉย รวมไทยต้านโกง”โดยมี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ตัวแทนคณะกรรมการ ปปช.และผู้บริหารสำนักงาน ปปช.คณะกรรมการและผู้บริหารสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ปปท.) ผู้บริหารองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เข้าร่วมงาน ขณะที่ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานปปช.กล่าวต้อนรับและกล่าววัตถุประสงค์การจัดงาน
ปลุกคนไทย”รวมไทยต้านโกง”
โดยนายกฯประกาศเจตนารมณ์ตอนหนึ่งว่า ตนรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นประธานในการประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านทุจริตในงานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย) ซึ่งองค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้วันที่ 9ธันวาคมของทุกปี เป็นวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล เพื่อให้ประชาคมโลกตระหนักถึงภัยร้ายแรงจากการทุจริต และเพื่อร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ในการรณรงค์ต่อต้านคอร์รัปชันอย่างจริงจัง สำหรับประเทศไทย ในฐานะประเทศสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ ได้ให้ความสำคัญกับการต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบตลอดมา รัฐบาลได้ร่วมกับสำนักงาน ป.ป.ช. สำนักงาน ป.ป.ท. องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ภาคประชาสังคม และภาคีเครือข่าย จัดงานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากลขึ้น เพื่อร่วมกันแสดงจุดยืนพร้อมๆ กับคนไทยทุกภาคส่วนที่จะ“ไม่ทำ ไม่ทน และไม่เพิกเฉย”ต่อการทุจริตอีกต่อไป ซึ่งคงไม่ใช่เฉพาะในวันนี้ แต่จะต้องอยู่ในจิตใต้สำนึกของคนไทย ทุกๆคนในทุกๆวัน
ระวังผลประโยชน์ส่วนตัวกับส่วนรวม
โดยทุกคนทราบดีว่า ปัญหาคอร์รัปชันส่งผลเสียหายต่อประเทศ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง โดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ หรือTI (ที-ไอ) ได้สะท้อนว่า ปัญหาการทุจริตที่เป็น “จุดอ่อน”ที่สำคัญของประเทศไทย คือ ปัญหาการซื้อขายตำแหน่ง การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูง กระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง การเรียกรับสินบน ตลอดจนการใช้ช่องโหว่ทางกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อกัน การไม่สามารถแยกแยะผลประโยชน์“ส่วนรวม”กับประโยชน์“ส่วนตน”และความไม่โปร่งใสในการใช้งบประมาณ การทุจริตจึงเป็นภัยต่อชาติบ้านเมือง ทั้งในการบริหารจัดการภาครัฐ การพัฒนาเศรษฐกิจ การค้าการลงทุนและการพัฒนาประเทศ ที่สำคัญ คือ การทำลายภาพลักษณ์ ทำลายความเชื่อมั่น ในสายตาประชาชนชาวไทยและชาวโลก ซึ่งเราจะต้องร่วมมือกันไม่ยอมให้“การทุจริต”เป็นมรดกบาปตกทอดสู่รุ่นลูกรุ่นหลานอีกต่อไป
รบ.ดันปราบทุจริตวาระแห่งชาติ
ดังนั้นรัฐบาลจึงให้ความสำคัญและผลักดันให้การแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันเป็น“วาระแห่งชาติ”สร้างกลไกการแก้ปัญหามาอย่างต่อเนื่อง ผลักดันให้มีการบรรจุแนวทางการแก้ไขปัญหาการทุจริตไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ 20ปี รวมทั้งแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ลงไปถึงการจัดทำแผนระดับรอง เพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาการทุจริตอย่างจริงจัง ในส่วนที่เห็นเป็นรูปธรรมเป็น“ภาพรวม”ของประเทศแล้ว เช่น 1.พรบ.อำนวยความสะดวกในการให้บริการประชาชน 2.นโยบาย National e-Payment เป็นต้น ที่ช่วยขจัดโอกาสการทุจริต หักหัวคิว เรียกรับสินบนเพิ่มความโปร่งใสในการกระบวนการทำงานของภาครัฐ ให้สามารถติดตามตรวจสอบได้ ในทุกขั้นตอน
ทำตัวผู้ทำความผิดมารับโทษให้ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวิกฤติโควิดและวิกฤติพลังงานที่ผ่านมา ปัญหาคู่ขนาน คือปัญหาเศรษฐกิจ รัฐบาลได้ผลักดันโครงการช่วยเหลือต่างๆ ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและโครงการคนละครึ่ง เป็นต้น ที่ได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ช่วยให้ทุกขั้นตอนมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และนานาชาติให้การยอมรับถึงความสำเร็จนี้ นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้เพิ่มช่องการรับเรื่องราวร้องเรียนและการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการเฝ้าระวัง แจ้งเบาะแส ตรวจสอบ“การทุจริตในทุกระดับ”อีกด้วยซึ่งผมให้ความสำคัญที่สุดคือการติดตามนำผู้กระทำความผิดมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมรับโทษตามกฎหมาย โดยไม่มีข้อยกเว้นว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หรือผู้มีอิทธิพลในสังคมให้เป็นไปด้วยความรวดเร็วขึ้นเพราะความยุติธรรมที่ล่าช้าก็คือความไม่ยุติธรรม
ต้องมีศักดิ์ศรี-ไม่พ่ายอำนาจฝ่ายต่ำ
นายกฯกล่าวว่า รัฐบาลจะไม่ลดละ เพื่อขจัดการทุจริตให้หมดสิ้นไป โดยพร้อมที่จะทำงานกับทุกภาคส่วนอย่างใกล้ชิด เปิดกว้างรับฟัง เสริมสร้างความเข้มแข็ง และคงความเป็นอิสระของหน่วยงานตรวจสอบ เพื่อให้โครงการพัฒนาประเทศ การค้า การลงทุน การดำเนินกิจกรรมต่างๆ ในสังคมสามารถดำเนินไปได้อย่างเต็มศักยภาพ เราต้องไม่ยอมให้“พลังความดี ความถูกต้อง” พ่ายแพ้ต่อ “อำนาจฝ่ายต่ำ”
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ส่ิงที่เราต้องทำวันนี้ เราจะร่วมมือกันได้อย่างไรให้เกิดผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรมมากที่สุดหรือ100เปอร์เซ็นต์ ทุกท่านทราบดีอยู่แล้วเป็นปัญหาของประเทศ ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจ ที่ใจของเราทุกคนยอมรับ และไม่ทำความผิด ไม่มีผลประโยชน์อะไรทั้งสิ้น ปัญหานี้มีทั้งในหลายๆประเทศซึ่งทุกประเทศกำลังกำจัดออกไปให้ได้ เพราะมันบันทอนการเจริญเติบโตของประเทศ การพัฒนาประเทศมีปัญหา เพราะฉะนั้นการทุจริตจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าหากทุกคนมีจิตใจที่มีคุณธรรม และจริยธรรม ไม่เห็นประโยชน์จากการทุจริต ถ้าทุกคนรู้สึกว่า เราย่ิงเป็นผู้ใหญ่ย่ิงโต เราต้องมีเกียรติยศ มีศักดิ์ศรี มากขึ้นเรื่อยๆ ตามวัยวุฒิ คุณวุฒิ ที่โตขึ้นมา เพราะฉะนั้นส่ิงเหล่านี้อยู่ที่จิตใจเราทุกคน
ผู้มีอำนาจต้องใช้งบระมัดระวังที่สุด
นายกฯกล่าวด้วยว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตมีหลายส่วน ทุกท่านก็ทราบดี ทุจริตเชิงนโยบาย มีผู้เรียก ผู้ให้และผู้เสนอ เพราะฉะนั้นหากประชาชน สังคม ช่วยกันดูแล ช่วยกันเฝ้าระวัง ช่วยกันแจ้ง ร้องทุกข์กล่าวโทษ ส่ิงเหล่านี้ก็ค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆ ขณะเดียวกัน ผู้ที่มีอำนาจ ผู้ที่รักษากฎกติกา หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายงบประมาณต้องระมัดระวังให้มากที่สุด วันนี้ต้องไปดูเรื่องเรียกรับผลประโยชน์ อย่างน้อยก็เพื่ออำนวยการความสะดวกนั้นก็มี หรือเรียกรับเป็นกอบเป็นกำก็มี ตนคิดว่าทั้งหมดอยู่ในกระบวนการพิจารณา หรือตรวจสอบหลักฐานของปปช.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ทั้งนี้ ปัญหาที่สังคมเกิดความไม่ไว้วางใจ ที่ประชาชนสนใจ ต้องดำเนินการ แต่ทั้งนี้ต้องให้ความเป็นธรรม
ต้อทำสังคมเป็นสีขาว-ช่วยร้องทุกข์
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่มีใครแก้ปัญหาได้โดยลำพัง ตนก็แก้ไม่ได้ หรือองค์กรต่างๆก็แก้ไม่ได้ ถ้าทั้งหมดไม่ร่วมใจกันทำ ซึ่งวันนี้จะประกาศเจตนารมณ์ที่จะทำร่วมกันให้ดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างเร็วที่สุด เพราะปัญหาการทุจริตเป็นปัญหาที่เป็นบ่อนทำลาย การเจริญเติบโตของประเทศชาติบ้านเมือง ซึ่งทรัพยากรของประเทศเราไม่ได้มีมากนัก ดังนั้น เราต้องทำให้ทุกอย่างเกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศและคนไทยทุกคน ไม่มีใครจะแก้ปัญหาได้โดยลำพัง ฉะนั้น เราต้องเราต้องสร้างจิตสำนึก ทุกคนให้เกลียดชังการทุจริต ช่วยกันระมัดระวัง สอดส่องร้องทุกข์กล่าวโทษ ทำให้สังคมของเราเป็นสังคมสีขาว สังคมที่ปลอดจากการทุจริต เพื่อความเจริญเติบโตของบ้านเมือง ขณะเดียวกันขอให้กำลังใจหน่วยงานและองค์กรตรวจสอบ ไม่มีงานใดยาก หากเราร่วมมือกัน และมองด้วยความที่เป็นธรรมและต้องดูเจตนาและหลักฐานให้ดี
ลั่นไม่ทุจริตเพราะมองหน้าใครไม่ได้
“ที่ผมพูดตรงนี้ได้ เพราะจิตใจผมไม่ต้องการทุจริตอะไรทั้งสิ้น ผมถูกสอนมา ผมเรียนรู้มาว่าจะต้องไม่ทุจริต ถ้าทุจริตก็เอาหน้าไปเสนอ เอาหน้าไปให้คนมองไม่ได้ ทั้งนี้ขอให้ทุกคช่วยกันทำ เพื่อเราจะได้ยืดอกเปิดหน้าของเราไปได้ทั่วทั้งโลกใบนี้ว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความสุจริตโปร่งใส การแก้ไขปัญหาทุจริตคิดว่าดีขึ้นแล้ว ขอให้ช่วยกันทำต่อไป แผ่นดินนี้เป็นแผ่นดินของพวกเราทุกคน เราต้องทำให้เป็นแผ่นดินที่สีขาวที่ปลอดภัยจากทุกเรื่อง ผมในฐานะที่รับผิดชอบด้านนโยบาย ผมยืนยันไม่ให้มีการทุจริตเชิงนโยบายโดยเด็ดขาด แต่ในส่วนผู้ที่ต้องทำตามกฎกติกา ทำตามระเบียบ แล้วบกพร่องขึ้นมา จะต้องถูกลงโทษ เพราะทุกโครงการผมกำชับเสมอ ต้องสุจริต โปร่งใส ตรวจสอบได้ มีประสิทธิภาพ ฉะนั้น ใครก็ตามที่ทำการทุจริตต้องถูกลงโทษและด้วยความเป็นธรรม บางครั้งมีการร้องทุกข์กล่าวโทษ จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่ถ้าทุกคนช่วยกันด้วยจิตใจอันสุจริต โปร่งใส เป็นธรรม มันแก้ได้ทุกเรื่อง”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ประกาศเจตนารมณ์ต้านคอรัปชั่น
จากนั้นนายกฯนำร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล”จะประพฤติปฏิบัติตน ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่กระทำการทุจริต จะยึดมั่นในความยุติธรรม ยึดถือประโยชน์ส่วนรวม มากกว่าประโยชน์ส่วนตน จักปกป้องเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยจิตอาสา พร้อมทำความดี ด้วยหัวใจ”จากนั้น นายกฯวางมือแท่นพิธีเพื่อเปิดกิจกรรมงานต่อต้านคอร์รัปชันสากลประเทศไทย ประจำปี2565แล้ว ร่วมถ่ายภาพบนเวทีด้วยการทำมือแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านการทุจริต ด้วยการกำปั้นมือขวาแล้วทาบไปที่หน้าอกข้างซ้าย
ยกมือทุบอกขอให้ทุกคนช่วยกัน
ภายหลังเสร็จส้ินประกาศเจตนารมณ์ นายกฯปฏิเสธให้สัมภาษณ์โดยกล่าวว่า”วันนี้เป็นงานของปปช.อย่าเอาเรื่องอื่นมาปน”แล้วเยี่ยมชมนิทรรศการภายในงาน พร้อมทักทายเจ้าหน้าที่ ปปช.พร้อมร่วมถ่ายภาพเป็นที่ระลึก โดยทำมือสัญลักษณ์ไอเลิฟยู พร้อมกล่าวชื่นชมว่า สถานที่ดี คนก็ดีด้วย ช่วงหนึ่งนายกฯยังเอามือทุบที่หน้าอกข้างซ้ายและกล่าวว่า”ขอให้เชื่อมั่น ช่วยกันนะ ขอบคุณทุกๆคน”และก่อนขึ้นรถเดินทางกลับ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เอามือทุบหน้าอกข้างซ้ายและส่งมือสัญลักษณ์ไอเลิฟยูให้อีกครั้ง
ไทยภักดี’ลั่น’รบแตกหักคนโกงชาติ’
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า วันปราบโกง วันที่ 9ธันวาคม วันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย) ซึ่งถือว่านักการเมืองโกง เป็นรากปัญหาของประเทศไทยและนำไปสู่ปัญหาความอยู่ดีกินดี ความเหลื่อมล้ำของประชาชน จะสังเกตว่า ช่วงนี้แต่ละพรรคการเมือง ก็ออกแคมเปญ ต่อต้านคอร์รัปชันกันยกใหญ่ แม้แต่คนโกงชาติหนีศาล นอกจากบอกว่า ตนเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตยแล้ว ยังส่งลูกสาวมาปราบการทุจริตอีกด้วย ที่สำคัญคือ คนที่ออกมาพูดเรื่องนี้เกือบทุกพรรค แทบไม่มีผลงานปราบโกงกันเลย สุดท้ายดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ของประเทศไทย ก็ยังอยู่ในอันดับที่แย่มาก การทุจริตคอร์รัปชันในปัจจุบัน มีหลากหลายรูปแบบ ที่อันตรายที่สุดคือทุจริตเชิงนโยบาย และการเอื้อประโยชน์ ตราบใดที่พรรคการเมือง ยังใช้เงินจากนายทุน เพื่อหาเสียงจำนวนมาก สุดท้ายเมื่อมีอำนาจ ก็ต้องเอื้อประโยชน์ให้นายทุน เมื่อการเมืองเป็นแบบนี้ ระบบราชการก็ทำกัน จนเป็นเรื่องปกติ
จี้แก้กม.เอาผิดพวกโกงมาลงโทษ
พรรคไทยภักดี จึงมีแคมเปญ “รบแตกหักคนโกงชาติ” ซึ่งเป็นมาตรการปราบการทุจริต ที่เอาจริงเอาจัง จับต้องได้เช่น 1.การยกเลิกแบงก์ 1,000 บาท เพราะเงินผิดกฏหมาย ทุนสีเทา ส่วนใหญ่จะใช้เงินสด ต้องสนับสนุนเป็นสังคม ลดการใช้เงินสด 2.สนับสนุนการใช้ Digital Banking โดยเฉพาะการชำระเงินผ่านมือถือ ซึ่งถือว่า สังคมไทยมีความชำนาญมากขึ้น และทุกอย่างจะถูกบันทึกหลักฐาน ที่สำคัญระบบนี้จะได้ผล ต้องใช้คู่กับการยกเลิกแบงก์ 1,000บาท 3.การจ่ายสินบน เงินใต้โต๊ะ เงินทุจริต ให้มีการแก้กฏหมาย จากมีความผิด ทั้งผู้ให้และผู้รับ แก้เป็นให้ประชาชนเป็นผู้เสียหาย 4.อื่นเช่น ความตั้งใจของผู้มีอำนาจ การกำหนดระยะเวลาของการขอใบอนุญาต การเปิดเผยข้อมูล ให้ตรวจสอบได้
พรรคไทยภักดีคิดว่า มาตรการเพียงไม่กี่ข้อที่เสนอมา จะสามารถจัดการปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันได้ ไม่น้อยกว่า90% ถ้ามีความจริงใจ ในการแก้ปัญหา หัวใจสำคัญของการปราบการทุจริต อยู่ที่ความตั้งใจของผู้มีอำนาจ และทัศนคติของประชาชน แต่หลักๆ ถ้าผู้มีอำนาจเอาจริงเอาจัง กล้าตัดสินใจ ทุกอย่างจะง่ายขึ้น เพราะการปราบการทุจริต ต้องตระหนักในสิ่งนี้ทุกวัน ไม่ใช่ปีหนึ่ง มาช่วยยกมือกันที แล้วก็จบไป
‘สมบูรณ์’ชื่นชมนโยบาย’พีระพันธุ์’
ที่ทำการพรรคพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ซ.อารีย์5 กทม.นายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎรและอดีต สส.ตรัง เดินทางสมัครเป็นสมาชิกพรรค รทสช.เมื่อมาถึงนายสมบูรณ์ เขียนใบสมัครต่อหน้านายทะเบียนและดำเนินการตามขั้นตอนของพรรคก่อนให้สัมภาษณ์ว่า ตนได้ลาออกจากพรรคเก่าเมื่อวานนี้(8ธันวาคม) และคิดว่าชีวิตทางการเมืองจะต้องเดินไปข้างหน้า วันนี้ถือเป็นวันฤกษ์ดีจึงได้เดินทางสมัครเป็นสมาชิกพรรครทสช.โดยมีแนวคิดว่า การทำงานในที่ที่มีความสุขเป็นสิ่งที่ดีที่สุดและคิดว่าที่นี่จะเป็นที่ที่ทำให้ตนทำงานได้อย่างมีความสุขจึงตัดสินใจที่จะมาร่วมงานกับพรรคเพื่อทำงานให้กับพี่น้องประชาชนชาว จ.ตรัง อีกครั้ง
นายสมบูรณ์กล่าวว่า จากการที่ตนได้ติดตามนโยบายของ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรคและนายเอกนัฎ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค เห็นว่าทั้งสองประกาศแนวคิดที่เน้นเรื่องการสร้างความเป็นธรรมและเสมอภาคเท่าเทียมให้กับประชาชนทุกคน รู้สึกชื่นชมและเชื่อว่าเป็นสิ่งที่พี่น้องประชาชนทุกคนต้องการจึงอยากจะเป็นส่วนหนึ่งที่เข้ามาช่วยทำงานร่วมกับพรรค ที่ผ่านมาตนเคยได้มีโอกาสร่วมงานกับนายพีระพันธุ์ เมื่อสมัยเข้ามาเป็น สส.ครั้งแรกเมื่อปี2544และได้เข้าไปอยู่ในคณะกรรมาธิการ ปปช.สภาผู้แทนราษฎร ซึ่ง นายพีระพันธุ์ เป็นประธานอยู่ ทำให้มีโอกาสร่วมทำงานด้วยกันหลายปี ทราบว่า นายพีระพันธุ์ เคยเป็นผู้พิพากษามาก่อน และเห็นว่าเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ เป็นผู้นำที่ดี โดยเฉพาะการตั้งใจทำงานในฐานะผู้แทนราษฎรที่มีแนวคิดและวิธีการนำเสนอที่ทำให้ตนประทับใจมาก
ขณะที่ นายเอกนัฎ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค ตนก็เห็นว่าเป็น สส.รุ่นน้องที่เป็นคนหนุ่มไฟแรงมีความตั้งใจ ได้เห็นความมุ่งมั่นในการทำงานเพื่อสังคม ทำให้อยากมาร่วมงานด้วย ทั้งหมดทำให้เห็นได้ว่าภาพของพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นพรรคที่ทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง วันนี้ผมจึงตั้งที่จะมาร่วมทำพรรคการเมืองให้ก้าวสู่การเป็นสถาบันทางการเมือง ดูแลให้ความยุติธรรมกับพี่น้องประชาชน ซึ่งคิดว่าเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการมากที่สุดคือ การได้รับความเป็นธรรม”นายสมบูรณ์ กล่าว
ขอโอกาสชาว’ตรัง’เลือกเป็นสส.
นายสมบูรณ์ยังกล่าวถึงบรรยากาศทางการเมืองในพื้นที่ จ.ตรังว่า จากที่ลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องเห็นได้ว่าประชาชนค่อนข้างตื่นตัวขึ้นเรื่อยๆ ในส่วนตัวของตนที่ขอเสนอตัวลง สมัคร สส.เขต4 จ.ตรัง ก็มั่นใจว่าจะได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนในพื้นที่ เพราะในการเลือกตั้ง 4ครั้งที่ผ่านมาคะแนนของตนพัฒนาเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ โดยในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อปี 2554 ตนยังเป็นผู้ที่ได้รับคะแนนเลือกตั้งสูงที่สุดใน จ.ตรัง ครั้งนี้จึงอยากขออาสาเข้าไปรับใช้พี่น้องชาว จ.ตรังอีกครั้งหนึ่ง
ปชป.ลุยใต้หนุนสร้างศก.ท้องถิ่น
นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้สมัคร สส.ของพรรคในจังหวัดชายแดนใต้ว่า จากการเดินทางไปเยี่ยมเครือข่ายร้านต้มยำกุ้งในประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีจำนวนกว่า 5000ร้านและสร้างยอดขายโดยรวมได้กว่าปีละกว่า 2แสนล้านบาท ซึ่งจากการหารือร่วมกันพบว่าวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตอาหารที่จำหน่ายกว่า50% เป็นวัตุดิบที่นำเข้าจากเมืองไทย ซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 3 หมื่นล้านบาทต่อปี จึงขอให้ผู้สมัครสส.ทุกเขตในชายแดนใต้ให้หารือกับประชาชนในแต่ละพื้นที่ว่า หากมีท่านใดสนใจที่จะปรับพื้นที่การผลิตทั้ง พืชไร่ พืชส่วน และ ปศุสัตว์ พรรคจะให้การสนับสนุนโดยจะให้กรมวิชาการเกษตรช่วยให้ข้อเสนอแนะในการปรับพื้นที่ให้เหมาะสมแต่ละด้าน และจะดำเนินการให้กระทรวงพาณิชย์จับคู่ธุรกิจกับผู้ประกอบการในประเทศมาเลเชีย ตามแนวทางเกษตรผลิตพาณิชย์ตลาด ซึ่งเชื่อว่าเราจะสามารถสร้างผลประกอบการให้กับประชาชนในพื้นที่ได้กว่าปีละ 3 หมื่นล้านบาท
นายนิพนธ์ กล่าวว่า ด้วยทฤษฎี Local economic การสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่น ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด จะสามารถเปลี่ยนพื้นที่ภาคใต้ให้มีความสำคัญในด้านความมั่นคงทางอาหาร ทั้งผลผลิตเพื่อสนับสนุนร้านต้มยำกุ้ง และการสร้างอาหารด้านต่างๆ เพื่อผู้บริโภคทั่วไปและอาหารฮาลาล เพื่อจำหน่ายให้กับตลาดมุสลิมทั่วโลก ซึ่งมีมูลค่าหลายล้านๆ ต่อปี ที่จะสามารถสร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีให้กับพี่น้องประชาชนในภาคใต้ได้แน่นอน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี