“พิธา”อ้างสถาการณ์บอบบาง นำส.ส.ก้าวไกล ยื่นหนังสือประธานศาลฎีกา เรียกร้องสิทธิประกันในคดีแสดงออกทางการเมือง เตรียมใช้กลไกสภาตั้งญัตติด่วน ถามหาระบบยุติธรรมและการปฏิรูปยุติธรรมไทย
เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 66 ที่ศาลฎีกา สนามหลวง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค พร้อมด้วยคณะเกินทางมายื่นหนังสือถึงประธานศาลฎีกา ขอให้พิจารณาดำเนินการตามหลักนิติรัฐและความยุติธรรม
โดยเนื้อหาหนังสือความว่า ด้วยขณะนี้ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาในฐานความผิดจากการแสดงออกทาง การเมืองหลายคดีไม่ได้รับการเคารพสิทธิประกันตัว ทั้งที่ไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้ปล่อยตัวชั่วคราว หรือมี การกำหนดเงื่อนไขการประกันตัวที่ขัดต่อหลักความได้สัดส่วนและขัดต่อหลักสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ในคดีอาญาซึ่งสิทธิดังกล่าวเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้รับรองไว้และรัฐจึงเคารพสิทธิดังกล่าวนั้น และพึงระมัดระวังการใช้อำนาจรัฐในทางปฏิเสธสิทธิประกันตัวของประชาชน
กระทั่งได้มีกลุ่มคณาจารย์คณะนิติศาสตร์ทำจดหมายเปิดผนึกถึงประธานศาลฎีกา อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา และอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ เพื่อเรียกร้องให้ศาลพิจารณาปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีการเมืองทุกคดีตามหลักกฎหมาย และขอให้ศาลพิจารณายกเลิกกำหนดเงื่อนไขการประกันตัวที่ขัดต่อหลักความได้สัดส่วนและหลัก สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ในคดีอาญา
นอกจากนี้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ยังได้ ออกแถลงการณ์แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์การอดอาหารของ ทานตะวัน หรือตะวัน ตัวตุลานนท์ และ อรวรรณ หรือแบม ภู่พงษ์ เยาวชนนักกิจกรรมทางการเมืองในปัจจุบัน และขอให้ทุกฝ่ายปฏิบัติการตามสิทธิ หน้าที่ และอำนาจ โดย ยึดหลักสิทธิมนุษยชน เคารพในสิทธิและเสรีภาพ ทั้งเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ เปิดเผย ปราศจากอาวุธ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และสิทธิในกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะสิทธิที่จะได้รับการปล่อยตัว ชั่วคราว ซึ่งสิทธิและเสรีภาพดังกล่าวได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ และกฎหมายระหว่างประเทศด้านสิทธิ มนุษยชนที่ประเทศไทยให้การรับรอง ข้าพเจ้า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรดังมีรายนามตอนท้ายหนังสือนี้ ขอแสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ ที่บอบบางต่อสิทธิมนุษยชน และท่าทีของศาลยุติธรรมในการกำกับดูแลของประธานศาลฎีกาซึ่งมี หน้าที่และอำนาจในการดำเนินนโยบายเกี่ยวกับกิจการในศาลยุติธรรม รวมถึงการควบคุมหรือรักษาความเป็น เอกภาพของคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาล
ทั้งนี้ ตามนัยแห่งระเบียบราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ว่าด้วยการรายงานคดีสำคัญในศาลชั้นต้น และศาลชั้นอุทธรณ์ต่อประธานศาลฎีกา และการรายงานคดีและการตรวจสำนวนคดีในสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค พ.ศ. 2562 กำหนดให้ในคดีเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 107 - 135 ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นต้องรายงานคดีต่ออธิบดีผู้พิพากษาภาค และอธิบดีผู้พิพากษาต้องรายงานคดีต่อ ประธานศาลฎีกา โดยกำหนดให้มีการตรวจร่างคำพิพากษาหรือคำสั่งเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยตาม ข้อ 14 แห่งระเบียบดังกล่าว ระบุว่า “การตรวจร่างคำพิพากษาหรือคำสั่งตามข้อ 13 ให้ดำเนินการเพื่อรักษา แนวบรรทัดฐานของคำพิพากษาหรือคำสั่ง และให้การใช้ดุลพินิจของศาลเป็นไปโดยถูกต้องในแนวทางเดียวกัน ในกรณีที่ต่างไปจากแนวบรรทัดฐาน ควรมีเหตุผลพิเศษ และให้แสดงเหตุผลไว้ในร่างคำพิพากษาหรือคำสั่งด้วย ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม”
ข้าพเจ้าดังมีรายนามตอนท้ายหนังสือนี้ จึงใคร่เรียนสอบถามว่า การที่ศาลยุติธรรมมีคำสั่งไม่อนุญาต ปล่อยชั่วคราวระหว่างพิจารณาต่อผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาในฐานความผิดอันเนื่องจากการ แสดงออกทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ก็ดี มาตรา 116 ก็ดี หรือมาตราอื่นที่เกี่ยวข้องก็ดี ทั้งที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาว่าบุคคลดังกล่าวได้กระทำผิดจริงตามคำฟ้อง อันพึง สันนิษฐานว่าบุคคลดังกล่าวยังคงเป็นผู้บริสุทธิ์ตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ หรือมีการกำหนดเงื่อนไขการ ประกันตัวที่ขัดต่อหลักความได้สัดส่วนและขัดต่อหลักสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ในคดีอาญานั้น เป็น คำสั่งอันเนื่องจากการควบคุมความเป็นเอกภาพของคำสั่งศาลตามนัยแห่งระเบียบราชการฝ่ายตุลาการศาล ยุติธรรม ว่าด้วยการรายงานคดีสำคัญในศาลชั้นต้นและศาลชั้นอุทธรณ์ต่อประธานศาลฎีกา และการรายงาน คดีและการตรวจสำนวนคดีในสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค พ.ศ. 2562 ซึ่งอยู่ในการควบคุมกำกับดูแลหรือ บังคับบัญชาของท่านหรือไม่ ข้าพเจ้าขอเรียนว่า สถานการณ์ที่บอบบางต่อการประกันสิทธิเสรีภาพตามหลักสิทธิมนุษยชนและสิทธิ ที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยรับรองไว้ในปัจจุบัน อาจคลี่คลายได้ด้วยการที่ศาลยุติธรรม โดยกำกับดูแล หรือบังคับบัญชาของท่าน เคารพหลักนิติรัฐและจรรโลงความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมได้อย่างแท้จริง
นายพิธา กล่าวหลังยื่นหนังสือว่า อยากจะได้คำตอบจากฝ่ายตุลาการว่าสิ่งที่เกิดขี้นในเรื่องของอิสระของศาล และการมีคำพิพากษาที่ไม่มีเอกภาพ และการใช้ดุลยพินิจใช้สันนิษฐานว่าบริสุทธิ์ไว้ก่อนเป็นนโยบายของทางฝ่ายยุติธรรมหรือไม่ พร้อมถามว่ามีความยุติธรรมอยู่ในระบบยุติธรรมไทยหรือไม่ โดยตั้งความหวังว่าจะได้คืนความยุติธรรมให้กลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง
ผู้สื่อข่าวสอบถามว่า ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อตะวันกับแบม 2 นักกิจกรรมการเมืองที่อดอาหารและน้ำตอนนี้ใช่หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ทั้งใช่และไม่ใช่ เพราะมองว่าภาพใหญ่จริงๆ เป็นเรื่องของระบบไม่ควรมีเยาวชนมาเสี่ยงชีวิตหรือทรมานตัวเองแบบนี้ หลังจากนี้ทางพรรคก้าวไกลจะใช้ขั้นตอนต่อไปในกลไกของสภาในการตั้งญัตติด่วนถามถึงระบบยุติธรรมและการปฏิรูประบบยุติธรรมไทย เพื่อเป็นที่พิงหลังให้ประชาชนในวันที่ 1 ก.พ.
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี