กกต.ติวเข้มเครือข่ายประชาสัมพันธ์เลือกตั้ง หวังกู้ภาพลักษณ์เรียกความน่าเชื่อถือ "เลขาฯกกต."แจง"ราษฎร"ที่แบ่งเขต คือคนไทยกับคนต่างชาติที่เข้าเงื่อนไข ไม่ใช่แม่บ้าน-แรงงานต่างด้าว แขวะคนปูด งงว่าแกล้งโง่หรือหวังผลการเมือง
เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 ที่โรงแรมทีเคพาเลซ ถ.แจ้งวัฒนะ กทม. สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดอบรมให้ความรู้ภาคีเครือข่ายประชาสัมพันธ์ระดับจังหวัด รุ่นที่ 4 พื้นที่ 26 จังหวัดภาคกลาง เกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจในแนวปฏิบัติ กฎหมาย กฎ ระเบียบที่ปรับปรุงเปลี่ยนไปตามห้วงเวลาและสถานการณ์ และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่ถูกต้องเหมาะสมไปสู่ประชาชน โดยคาดหวังจะเพิ่มจำนวนประชาชนออกมาใช้สิทธิเพิ่มมากขึ้น ลดจำนวนบัตรเสีย พร้อมทั้งมีการแลกเปลี่ยนความคิดในการประชาสัมพันธ์ของภาคีเครือข่าย
โดย นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.กล่าวในการเป็นประธานการเปิดอบรม ว่า ใกล้จะมีการเลือกตั้ง ซึ่งนับถอยหลังในแต่ละวัน กกต.มีทำงานน้อยลงแต่ทุกอย่างอยู่ในแผน อาจจะเร็วกว่าแผนไปด้วยซ้ำ ถือเป็นเรื่องที่ดี กกต.ทำงานตามกฎหมายแต่ว่าเราทำงานแต่ละอย่างออกไปไม่ได้ง่าย ไม่ราบรื่น อย่างสองสามวันที่ผ่านมา เราเจอ 2 - 3 เรื่องที่ต้องอธิบาย เราอาจจะขาดทักษะ วิธีการหรือช่องทางในการสื่อสารกับประชาชน อย่างเช่นเรื่องราษฎร เรื่องการแบ่งเขต ซึ่งที่จริงแล้วเป็นข้อเท็จจริง แต่คนรอบข้างที่เกี่ยวข้องเอาไปอธิบายโดยมีแรงรูงใจทางการเมือง ทำให้คนสำคัญผิดทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงหลายประการ
อย่างคำว่า "ราษฎร" เป็นราษฎรตามกฎหมายทะเบียน ซึ่งหลังประกาศจำนวน ส.ส.พึงมีแต่ละจังหวัด เราเอาจำนวนราษฎรที่กระทรวงมหาดไทยประกาศมาคำนวณ แต่การประกาศสองครั้งหลังมีการแยกผู้มีสัญชาติไทยกับผู้ไม่มีสัญชาติไทยออกจากกัน ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาก็ไม่เกิดปัญหา แต่ครั้งนี้เกิดปัญหาชวนสงสัย ขอยืนยันว่า สำนักงาน กกต.และ กกต.ทำงานภายใต้กฎหมาย ไม่ได้คิดขึ้นเอง คำว่า "ราษฎร" ตามความเข้าใจของคนทั่วไปอาจจะถูก แต่ "ราษฎร" ตามกฎหมายที่นำมาใช้ มีคนบอกเอาคนต่างด้าว แรงงานต่างด้าว มาคำนวณด้วย ขอชี้แจงว่า ไม่ใช่ ราษฎรตามกฎหมายทะเบียนราษฎรนั้น 1.คนไทยแท้ๆ คือผู้ที่มีเลข 3 นำหน้าในบัตรประจำตัวประชาชน
โดยคนที่เป็นราษฎรมีเงื่อนไข 2 ประเภท คือ 1.คนไทยที่มีสัญชาติไทย 2.คนไม่มีสัญชาติไทย ซึ่งไม่ใช่คนที่เป็นแรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานในประเทศไทย แต่เป็นราษฎร ต้องมีเลขประจำตัว 13 หลักทุกคน แต่คนต่างด้าวจะได้รับเลข 13 หลัก คือ 1.ต้องเข้าเกณฑ์ตามกฎหมายไทย คือ พ.ร.บ.บัตรประชาชน และกฎหมายทะเบียนราษฎร ซึ่งเป็นเรื่องความมั่นคง โดยคนต่างด้าวประเภทนี้ถือเป็นประเภทที่ 8 ไม่ถือสัญชาติไทย ได้รับอนุญาตให้อยู่ในเมืองไทยโดยถูกกฎหมาย และมีใบสำคัญคนต่างด้าวหรือคนที่แปลงสัญชาติ และเงื่อนไขที่ 2 มีทะเบียนบ้านในประเทศไทย ซึ่งคนกลุ่มที่ 2 นี้ ไม่ใช่แรงงานต่างด้าวที่มาทำงานในไทย แม้จะเข้าเมืองถูกกฎหมายก็จริง แต่ไม่เข้า 2 เงื่อนไข จึงไม่ถือเป็นราษฎร
ทั้งนี้ ต่างชาติที่เข้าเงื่อนไขตามกฎหมายทะเบียนราษฎร เขามาทำงานให้บ้านเรา เสียภาษี ซึ่งคนกลุ่มนี้นำมาใช้ในการคำนวณจำนวน ส.ส.เท่านั้น แต่ก็ยังไม่ใช่ผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้ง
"คนไทยก็ไม่ได้มีสิทธิเลือกตั้งทุกคน ถ้าไม่เข้าเกณฑ์หรือมีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมาย ราษฎรมีสองประเภท คือ ราษฎรตามกฎหมาย ไม่ใช่ราษฎรตามความรู้สึกนึกคิดของใคร เรื่องถัดมาเรื่องการแบ่งเขต เราทำตามกฎหมาย ไม่ได้บอกว่าแบ่งเพื่อให้คนพอใจ ยิ่งครั้งนี้เราแบ่งมีเกณฑ์ให้จำนวนราษฎรในแต่ละเขตใกล้เคียงกันมากที่สุด เช่น กรุงเทพฯ มี 50 เขตการปกครอง มีเขตเลือกตั้ง 33 เขต เมื่อคำนวณเขตต้องมีการผ่าแขวง เหมือนโคราชก็ต้องผ่าอำเภอ ผู้สมัครในครั้งนี้น่าจะมีการแข่งขันเข้มข้น 5 - 6 พรรค หวังชัยชนะทุกพรรค ทุกคนมีฐานเสียงตัวเอง เราแบ่งตามกฎหมาย แต่ไม่รู้ว่าใครจะได้ประโยชน์ไม่ทราบ จะบอกว่าใครพอใจ ผมตอบไม่ได้ แต่ตอบได้ว่าเราทำตามกฎหมาย" นายแสวง กล่าว
นายแสวง กล่าวถึงการตั้งคำถามต่อการขอเวลาจัดการเลือกตั้ง 45 วัน ว่าเป็นการขอเวลามากไปหรือขอเพื่อช่วยใครนั้น ซึ่งในขณะนี้ยังไม่มีพรรคการเมืองใดที่มีสาขาครบเพียงพอที่จะส่งผู้สมัครครบทุกจังหวัด ย้ำว่า กกต.คิดเพื่อพรรคการเมือง เพราะไม่มีพรรคใดสามารถส่งผู้สมัครได้ครบทั่วประเทศ และคิดเพื่อประเทศชาติ อยากให้การเลือกตั้งเรียบร้อย สมมติว่าหากยุบสภา มีกฎหมายยุบสภาเลย หน้างานก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่มีกฎหมาย กกต.ต้องเดินอีกแบบหนึ่ง ทั้งนี้ ในการแข่งขันจะไม่มีอะไร แต่จะมีคนทักท้วงหลังผลการเลือกตั้งเมื่อรู้ว่าแพ้ อาจจะสร้างความเสียกับชาติ ซึ่ง กกต.ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น และ กกต.คิดเรื่องความพร้อมของพรรคการ
เมือง การแบ่งเขตจะเกิดขึ้นตามกฎหมาย การแบ่งเขตเหมือนพื้นฐานการแข่งขัน ต้องมีขั้นตอนกระบวนการ ต้องใช้เวลา กฎหมายเขียนไว้อย่างนั้น จึงไม่สามารถแบ่งเขตไว้ก่อน หรือมีกฎหมายแล้วประกาศแบ่งเขตทันที แต่สามารถเร่งขั้นตอนการทำงานในส่วนธุรการของ กกต.ขณะนี้เป็นไปตามแผนงานในการประกาศเขตเลือกตั้ง
นายแสวง กล่าวถึงความน่าเชื่อถือของ กกต.ในสายตาของสังคม ว่า ความน่าเชื่อถือ บางครั้งเราพูดความจริง คนยังไม่เชื่อถือ คิดว่าเราตกอยู่ในสถานการณ์นี้ เราไม่อยากให้เป็นแบบนี้ ต้องแก้ไข เราเชื่อว่าทำดีอยู่แล้ว แต่ต้องแก้ไขเรื่องการสื่อสารให้ดี ซึ่ง กกต.มีบทเรียนหลายเรื่องที่ผ่าน สิ่งไหนที่ต้องปรับปรุง เราต้องฟังความเห็นจากสังคม นั่นเรียกว่าการบริหารสังคมที่เปราะบาง มีความหวั่นไหวกับทุกเรื่อง สมมติฐานเกี่ยวกับตัว กกต.บางเรื่องทำให้เราทำงานยาก ซึ่งเป็นโจทย์ที่นอกเหนือจากการปฏิบัติหน้าที่ การอยู่กับสังคมให้ได้รับความน่าเชื่อถือ อันอับแรกต้องทำงานให้ดีก่อน และการสื่อสารให้ดีขึ้น ส่วนตัวหวังว่าเมื่อทุกคนที่ผ่านการอบรมวันนี้จะนำความรู้ไปใช้เกิดประโยชน์กับสำนักงาน กกต.ดังนั้น จึงอยากจะฝากในเรื่องความน่าเชื่อถือ และอีกเรื่องเป็นแนวโน้มที่ดีคือความร่วมมือ ครั้งนี้เราได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เริ่มมีองค์กรต่างๆ ที่เห็นต่างกับ กกต.เข้ามาร่วมงานกับ กกต.มากขึ้นในการจัดการเลือกตั้ง
"เราตกอยู่ในที่นั่งลักษณะนี้ ทำเราต้องมาอธิบายเรื่องเหล่านี้ ครั้งแรกคนยังไม่เข้าใจและทำท่าไม่อยากจะเข้าใจด้วยซ้ำไป เหมือนจะว่าแกล้งโง่ หรือดิสเครดิต หรือไม่เข้าใจจริงๆ ผมก็ไม่ทราบ แต่นี่คือสถานะของเราที่อยู่แบบนี้ ซึ่งผมไม่อยากเป็นหรอก แต่คนเป็นกรรมการจะเก่ง ไม่เก่งไม่สำคัญ อย่างแรกต้องน่าเชื่อถือทั้งผู้แข่งขันทั้งกองเชียร์ ถ้ากรรมการไม่น่าเชื่อถือแข่งอะไรก็ไม่สำเร็จ และกรรมการต้องรับผิดชอบเมื่อจบงานเอง เราก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น ความน่าเชื่อถืออย่างหนึ่งเกิดจากการทำงานที่ดี แต่ยืนยันเราก็ทำดีอยู่แล้ว" นายแสวง กล่าว
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี