ขอให้ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยกัน
‘บิ๊กตู่’ปลุกคนไทย
ย้ำทำเพื่อชาติและความสุขทุกคน
ลั่นวาจาที่สงขลาจะทำให้ดีกว่าเดิม
รทสช.คิกออฟปูพรมพร้อมหาเสียง
ชู5ประเด็นเน้นแก้ปัญหาปากท้อง
‘จุรินทร์’เปิด8นโยบายลอตสอง
โพลล์ชมกระแส‘ปชป.’กลับมาพุ่ง
นายกฯบิ๊กตู่ยกคณะเยือนจังหวัดสงขลาปลุกคนไทยให้ ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยกัน ย้ำขอทำเพื่อชาติและความสุขของทุกคน ในขณะที่ รทสช.คิกออฟหาเสียง “ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ” นำร่องชู 5 นโยบายโดนใจ แก้ปัญหาปากท้องเพิ่มสิทธิบัตรสวัสดิการพลัส เป็น1,000 บาท ไปจนถึงการปลดหนี้ด้านประชาธิปัตย์ “จุรินทร์” นำทัพแถลง 8 นโยบายล็อตสอง ย้ำอินเตอร์เน็ตฟรี 1 ล้านจุด-เรียนฟรี ป.ตรี ไปจนถึงการดูแลผู้สูงอายุ ในขณะที่ ซูเปอร์โพล เผยกระแส “จุรินทร์-ปชป.” กลับมาพุ่ง หลัง “ชวน-บัญญัติ” ประกาศหนุน
เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2566 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม คณะเดินทางไปตรวจราชการที่ จ.สงขลา โดยนายกฯยังใส่เฝือกอ่อนที่มือด้านขวา ที่มีอาการอักเสบ ขณะที่มือด้านซ้ายยังคงใส่ที่พยุงข้อมือเพื่อป้องกันการติดเชื้อบริเวณที่มีรอยจากการถอดสายใส่ยาฆ่าเชื้อ
ทันทีทีเดินทางถึง จ.สงขลา นายกฯได้เข้าสักการะศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสงขลา ณ ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสงขลาโดยนายกฯได้ไหว้เทวดา ฟ้า ดินซึ่งตั้งอยู่ภายนอกศาลเจ้าและเข้าไปยังบริเวณที่ตั้งโต๊ะพิธีภายในศาลเจ้าซึ่งมีดอกไม้ ธูปเทียน น้ำชา อาหาร ผลไม้ โดยนายกฯได้สักการะองค์เจ้าพ่อหลักเมือง เสี่ยง ฮ๋อง เหล่า เอี๋ย และเทพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆภายในศาลเจ้า พร้อมได้ตีกลอง ตีระฆัง ตีฆ้อง เอาฤกษ์ เอาชัยเพื่อความเป็นสิริมงคลในโอกาสเดินทางมาตรวจราช จ.สงขลา จากนั้นนายกฯร่วมถ่ายภาพกับนายกสมาคมฯและคณะกรรมการก่อนเดินแวะทักทายประชาชนและนักท่องเที่ยวที่มารอต้อนรับอย่างเป็นกันเอง
สำหรับศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสงขลาแห่งนี้ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยเชื้อสายจีน ทั้งในจังหวัดสงขลาและใกล้เคียง ตามความเชื่อของชาวสงขลาเชื้อสายจีนได้อัญเชิญองค์เทพศักดิ์สิทธิ์ช่วยปกปักรักษาเมืองโดยตามความเชื่อของชาวสงขลาเชื้อสายจีนนั้น ผู้ใดที่มากราบไหว้สักการะศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสงขลา และเทพเจ้าภายในศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสงขลา มักจะประสบความสำเร็จ
กองเชียร์แห่ต้อนรับตะโกน’ลุงตู่สู้ๆ’
จากนั้นนายกฯเดินทางมาตรวจเยี่ยมพื้นที่ก่อสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลาเชื่อม อ.เมืองสงขลา กับ อ.สิงหนคร ณ ท่าแพขนานยนต์ อ.เมืองสงขลา จ.สงขลาโดย มีนายเจือ ราชสีห์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ว่าที่ผู้สมัครพรรครวมไทยสร้างชาติ และร.ต.อ.อรุณ สวัสดี อดีต ส.ส.เขต 4 สงขลา พรรคพลังประชารัฐ นายสายัณห์ ยุติธรรม อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐ ว่าที่ผู้สมัครพรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วมให้การต้อนรับ ทันทีที่มาถึงได้มีประชาชนมอบดอกไม้ให้การต้อนรับ พร้อมตะโกนเชียร์ว่า “ลุงตู่สู้ๆๆ”และ”ชาวสงขลารักลุงตู่” ตลอดเส้นทาง
โดยนายกฯได้กล่าวมอบนโยบายและพบปะประชาชน ตอนหนึ่งว่าวันนี้ได้มีโอกาสมาเยือนสงขลาอีกครั้งหนึ่งโดยเฉพาะชาวสิงหนคร พี่น้องชาวสงขลาและพื้นที่ใกล้เคียง เห็นทุกคนหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสดี และเห็นข้างทาง ก็น่ารักทุกคนให้การต้อนรับตนอย่างอบอุ่นด้วยรอยยิ้มซึ่งช่วงเช้าตนได้สักการะศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ก็ขอพรให้ประเทศชาติและประชาชนมีความสุข ปลอดภัยและให้เราได้ทำงานได้สำเร็จ เพื่อพี่น้องของเราทั้งประเทศโดยเฉพาะชาวสงขลาด้วยในวันนี้
รับปากพิจารณาหลายโครงการ
นายกฯกล่าวว่าโดยหลายโครงการที่เสนอมานั้นพร้อมนำไปพิจารณาให้ แต่ปัญหาตอนนี้ มีอย่างเดียวระยะเวลาจำกัด โดยเฉพาะช่วงนี้เป็นช่วงท้ายๆของรัฐบาลแต่ตนก็จะรับไปที่เสนอมาจะรับไปศึกษาและจัดทำเข้าแผนได้ก็จะพิจารณาให้ เพราะเห็นใจความเดือดร้อนของประชาชนโดยเฉพาะเรือข้ามฟาก ที่ต้องนั่งรอใช้เวลานาน ทราบว่าวันนี้เรือแพขนานยนต์มี 3 ลำ วิ่งเช้าถึงกลางคืน น่าจะหามาวิ่งซัก10ลำ ก็จะไปดูให้ว่าจะทำได้อย่างไร โดยเฉพาะในส่วนของราคาด้วยเพราะเดือดร้อนเรื่องใช้เวลารอนาน แออัดและค่าเดินทางค่าโดยสารแพงหรือไม่ ตนจะรับไปศึกษาตรงนี้ เป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญ
“ภาคใต้ผมให้ความสำคัญมากที่สุด เพราะที่ผ่านมาไม่ค่อยมีอะไรผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันและพยายามให้มาตลอดหากรวมยอด ก็ถือว่าให้จำนวนมากแล้ว ต้องทำในเรื่องที่ไม่ได้ทำ วันนี้ก็รับมาเรื่องที่จะทำใหม่ผมจะสั่งให้ทบทวนทั้งหมดว่า เรื่องไหนทำได้บ้างแต่ต้องเข้าตามกรอบวิธีการงบประมาณ”นายกฯย้ำ
นายกฯกล่าวอีกว่า วันนี้มาก็ดีใจเห็น ทุกคนพูดยิ้มแย้มแจ่มใส พอฟังโครงการต่างๆเจ็บท้องเลยว่า ทำไม ไม่ทำมาก่อนนี้ จะได้เริ่มทำที่ใหม่ๆกว่านี้บ้าง กลับมาทำเรื่องเดิมๆไม่เข้าใจ ยืนยันว่ารับไปทุกเรื่อง และจะหาวิธีพิจารณาว่าจะทำกันอย่างไร โดยต้องให้เกิดผลสัมฤทธิ์
เมื่อนายกฯพูดถึงช่วงนี้ได้มีเด็กหญิงคนหนึ่งมายืนฟังที่บริเวณหน้าเวทีนายกฯได้เรียกขึ้นมาเวทีพร้อมกับอุ้มก่อนกล่าวว่า“รู้แล้วว่าส่งเด็กมาหานายกฯ นายกฯใจอ่อนใช่ไหม เด็กตกใจที่คนเยอะไม่ใช่ตกใจลุงใช่ไหม ลุงใจดี จะตาย”
ประกาศลั่นต้องทำได้ ถ้าได้ทำต่อ
นายกฯยังกล่าวอีกว่า ขอย้ำว่ารัฐบาลพยายามทำอย่างเต็มที่ให้ทุกคนมีความสุขและทั่วถึง ปัญหาอะไรต่างๆที่ซ้ำซากยาวนานต้องแก้ไข อาจจะไม่สำเร็จภายในครั้งเดียวแต่ต้องเดินหน้าไปเรื่อยๆทุกกิจกรรม ไม่ใช่ไปกี่ที ก็ซ้ำแต่ของเดิม สิ่งต่างๆเราทำมาเยอะพอสมควร วันนี้ก็มารับเรื่องนี้ต่อไป เพราะสำคัญทุกเรื่องโดยต้องร่วมมือและบูรณการกัน ที่ผ่านมาสิ่งที่เราทำสำเร็จแล้ว คือ การผ่านพ้นโควิดมาด้วยกัน วันนี้พอโควิดไปก็มีความต้องการในเรื่องอื่นๆเข้ามา ซึ่งตนก็เห็นใจ
จากนั้นมีประชาชนตะโกนว่า“นายกฯทำได้” นายกฯกล่าวตอบว่า “มันต้องได้ ถ้าได้ทำนะ”ก่อนจะหัวเราะ และกล่าวอีกว่า ตนก็ทำแบบนี้มาตลอดอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัว วันนี้รับฟังความเดือดร้อนอ่านเอกสารอะไรต่างๆ และมาฟังทุกคนในวันนี้ ก็เห็นว่ามีงานค้างอีกจำนวนมาก และขอย้ำว่า หลายอย่างไม่ใช่ให้แล้วจบเลย แต่ต้องศึกษาและผ่านขั้นตอนต่างๆ แต่รับว่าจะเร่งพิจารณาให้
แลงใต้อ้อน“รักจังหู้ หรอยแรง”
นายกฯกล่าวด้วยว่า วันนี้ยังไม่กล้าพูดใต้ พูดใต้กลายเป็นอีสานไปแล้วตอนนี้ ก่อนที่ชาวบ้านจะยุให้พูดใต้ ทำให้นายกฯกล่าวว่า“รักจังหู้ หรอยแรง”และกล่าวว่าเดี๋ยวไปหัดต่อต้องหัดให้ได้“ได้ม้าย” พร้อมกล่าวด้วยว่า วันนี้ไม่ต้องพูดเยอะ ให้เสียเวลา เพราะรู้ว่าท่านต้องการอะไรและตนต้องทำอะไร วันนี้ดีใจที่มาพบกันและต้องทำเป็นความรับผิดชอบของนายกฯและรัฐบาลที่ต้องทำแบบนี้ ทำให้ต่อเนื่องจะได้เริ่มสิ่งใหม่ๆได้บ้าง ไม่ใช่วนกลับของเก่าไม่ได้
ทั้งนี้ ระหว่างที่นายกฯกล่าวบนเวทีได้มีเสียงเชียร์จากประชาชนตะโกนดังอย่างต่อเนื่อง จนนายกฯต้องกล่าวแซวว่า“ผู้ว่าฯ เอามาจากไหน น่าจะพาไปตะโกนหน้าทำเนียบ”
ชี้ช่วงท้ายรบ.ไม่ปกติ เข้าโหมด ลต.
นายกฯกล่าวอีกว่า สรุปว่าตนจะรับไปดูแลให้ แต่วันนี้เป็นช่วงท้ายของรัฐบาลด้วย มันต้องไปสู่การเลือกตั้งที่ว่าตนไม่อยากพูดตรงนี้ หลายอย่างมันไม่ปกติที่จะต้องทำ แต่ก็รับปากไว้ว่าต้องดำเนินการต่อเนื่องด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งที่ต้องทำให้ได้จากนั้นนายกฯ ได้แนะนำคณะที่เดินทางมาด้วยกับประชาชน พร้อมกล่าวว่า ตอนนี้ตนจำหน้าคนได้มากขึ้น แต่ลืมชื่อคนลง
ย้ำรัฐบาลต้องดูแลทุกจว.ทุกภาค
นายกฯกล่าวว่าถ้าคุยแล้วอีกนาน คุยแล้ว นายกฯชอบ ไม่เครียดสนุก ความเป็นจริงด้วย ถ้าเราไม่ดูแลกัน ใครจะดูแลทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่นทุกจังหวัดเดือดร้อนมีปัญหาทุกจังหวัด รัฐบาลต้องดูแลแบบนี้ แต่ต้องดูแลไม่ให้มีปัญหากระทบกับเรื่องอื่นๆ โดยเฉพาะงบประมาณรู้อยู่แล้วว่าจำกัดวันนี้รัฐบาลพยายามลงทุนนี้หารายได้เข้าประเทศ ถ้ามีรายได้เยอะมาก็จะดูแลประชาชนได้มากขึ้น เป็นสิ่งที่วางระยะยาว นั่นคือวิสัยทัศน์ ถ้าไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่มีแผน ไม่มียุทธศาสตร์ก็เลิกพูด เพราะทำอะไรไม่ได้เลิกทำต่อ แบบนี้ใช้ไม่ได้ตนไม่ได้ว่าใคร
นายกฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า“ขอให้ทุกคนมีความสุข รักกันมากๆ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชนนั่นคือ หัวใจของนายกฯ”ก่อนที่ลงเวทีพบปะทักทายกับประชาชนพร้อมถ่ายรูปร่วมกับชาวบ้านที่มาต้อนรับเป็นจำนวนมาก ก่อนที่นายกฯออกเดินทางไปพบปะประชาชนชาวหาดใหญ่ที่ตลาดสันติสุข และตลาดกิมหยง อ.หาดใหญ่
ขณะที่เวปไซต์ของทำเนียบรัฐบาลขึ้นภาพพล.อ.ประยุทธ์ ไปตรวจราชการที่ภาคใต้พร้อมบรรยายภาพว่า นายกฯกำลังเดินทักทายกับประชาชนที่ตลาดกิมหยง อ.หาดใหญ่ และพูดว่า ขอให้ทุกคนก้าวเดินข้างหน้าไปด้วยกัน เพื่อความสุขของคนไทยทุกคน
รทสช.คิกออฟ‘ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ”
ก่อนหน้านี้ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยนโยบายหาเสียง ภายใต้เคมเปญ“ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ”ตามยุทธศาสตร์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรคว่า นโยบายภายใต้เคมเปญนี้ถือเป็นความตั้งใจของพรรคที่จะสานต่อโครงการต่าง ๆ ที่รัฐบาลปัจจุบันภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ดำเนินการไปแล้ว ซึ่งปรากฏผลชัดเจนว่าทำให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และสามารถช่วยให้ประชาชนคลายความเดือดร้อนในช่วงวิกฤตไปได้
“พรรครวมไทยสร้างชาติจะสานงาน“ทำต่อ”ตามยุทธศาสตร์ของ พล.อ.ประยุทธ์ และพร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนอีกหลายโครงการ เพื่อแก้ไขปัญหาปากท้องและความเป็นอยู่ของประชาชนทุกกลุ่มทุกช่วงวัย เพราะความเดือดร้อนของประชาชนไม่สามารถรอได้”นายพีระพันธุ์ ย้ำ
นำร่องชู5นโยบายโดนใจแก้ปากท้อง
นายพีระพันธุ์กล่าวอีกว่าพรรคจึงได้นำร่องหาเสียงด้วย 5 นโยบายโดนใจ ที่พร้อมช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย ลดภาระหนี้ สร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้ชีวิต และขจัดปัญหาอุปสรรคด้านกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม ประกอบด้วย 1.เพิ่มสิทธิ ‘บัตรสวัสดิการพลัส’ เป็น 1000 บาท/เดือน และสิทธิเบิกฉุกเฉิน 10,000 บาท/คน 2.ตั้ง ‘กองทุนฉุกเฉินประชาชน’ วงเงิน 3 หมื่นล้านบาท 3.คืน 30% เงินสะสมชราภาพ ให้ผู้ประกันตน ตามมาตรา 33 4.โครงการ ‘ปลดหนี้ด้วยงาน’ 5.รื้อกฎหมายที่รังแกประชาชน และเป็นอุปสรรคการทำกิน
เพิ่มสิทธิ‘บัตรสวัสดิการพลัส’
โดยนโยบายการเพิ่มสิทธิ ‘บัตรสวัสดิการพลัส’ นโยบายนี้เป็นโครงการ “ทำต่อ” จากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีอยู่แล้ว โดยให้สิทธิเพิ่มเป็น1,000 บาทต่อเดือน ซึ่งจัดสรรจากเงินงบประมาณที่รองรับโครงการนี้อยู่แล้ว ขณะเดียวกัน ผู้ถือบัตรยังมีสิทธิกู้ฉุกเฉินในวงเงิน 10,000 บาทต่อคน โดยสามารถนำบัตรนี้ไปเป็นหลักประกันเงินกู้กับธนาคารออมสินซึ่งมีโครงการให้สินเชื่อรายย่อยในวงเงิน 10,000 บาทอยู่แล้ว
“บัตรนี้มีความน่าเชื่อถือ เพราะรัฐบาลเป็นคนจ่ายเงิน สามารถใช้เป็นหลักประกันอะไรก็ได้ ขณะที่ทางธนาคารออมสินก็มีโครงการให้เงินกู้แก่ชาวบ้านรายย่อยในวงเงิน 10,000 บาทอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาแทบจะไม่ค่อยได้ปล่อยกู้ เพราะคนที่มาขอกู้ซึ่งเป็นชาวบ้านระดับฐานรากไม่ค่อยมีหลักประกัน กลายเป็นว่ามีโครงการให้ มีวงเงินให้ แต่ปล่อยกู้ไม่ได้ ก็สามารถใช้บัตรนี้ซึ่งเป็นบัตรที่รัฐจ่ายเงินแน่นอนทุกเดือนอยู่แล้ว ไปเป็นหลักประกันเงินกู้ให้กับธนาคารออมสิน โดยสามารถหักคืนเงินกู้จากบัญชีของผู้กู้ได้เลย ทำให้บัตรใบเดียวสามารถใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง” นายพีระพันธุ์ กล่าว
กองทุนฉุกเฉินประชาชน3หมื่นล้าน
นายพีระพันธุ์กล่าวว่าส่วนนโยบายเกี่ยวกับ“กองทุนฉุกเฉินประชาชน”กองทุนนี้จะช่วยแก้ปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้านจำนวนมากที่มีความจำเป็นและต้องการเงินฉุกเฉินไปใช้จ่าย โดยวงเงินงบประมาณสำหรับกองทุนนี้ จะมาจากการนำกองทุนที่มีอยู่แล้วประมาณ 30กว่ากองทุน หลายกองทุนไม่ได้สร้างประโยชน์อะไร มาจัดระบบใหม่ และตั้งเป็นกองทุนฉุกเฉินเพื่อให้ประชาชนกู้ยืมไปใช้ในกิจการหรือการทำมาหากินที่ประสบปัญหา โดยคาดว่าจะรวบรวมวงเงินได้ประมาณ 3หมื่นล้านบาท ส่วนหลักเกณฑ์การขอกู้ยืมจากกองทุนฉุกเฉินประชาชนก็จะมีความผ่อนคลายมากกว่าเงื่อนไขของสถาบันการเงิน ทั้งนี้เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านระดับล่างที่ไม่สามารถดำเนินการตามกฎเกณฑ์หรือระเบียบของสถาบันการเงิน ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น
คืนเงินสะสมชราภาพ-ปลดหนี้ด้วยงาน
ส่วนกลุ่มแรงงาน ที่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 หากประสบปัญหาเดือดร้อนหรือต้องการเงินฉุกเฉิน ก็สามารถเบิกเงินสะสมชราภาพ มาใช้ก่อนได้ 30% โดยไม่ต้องรอครบกำหนดอายุ ทำให้คนกลุ่มนี้สามารถมีเงินทุนหมุนเวียนใช้สอยจากเงินสะสมของตัวเอง สำหรับนโยบาย“ปลดหนี้ด้วยงาน” ปัจจุบัน มีคนจำนวนมากที่มีหนี้สินและไม่สามารถหาเงินมาใช้หนี้ แต่พวกเขาเหล่านั้นยังมีพลังความสามารถที่จะทำงานได้ ขณะที่ ภาครัฐเองก็ต้องการคนที่จะมาดูแลปัญหาหลายเรื่อง เช่น ผู้ป่วยติดเตียง คนสูงอายุ คนด้อยโอกาส หรือกระทั่งการสอนหนังสือเด็กๆ และเมื่อคนที่มีความสามารถเหล่านี้มีปัญหาด้านหนี้สิน ก็สามารถใช้หนี้แทนด้วยการทำงานได้
รื้อกฎหมายที่รังแกปชช.-อุปสรรคทำกิน
ในส่วนของนโยบายเกี่ยวกับการ“รื้อกฎหมายที่รังแกประชาชนและเป็นอุปสรรคการทำกิน” นั้น พรรครวมไทยสร้างชาติได้ดำเนินการเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยมีการร่างกฎหมายสำคัญหลายฉบับเพื่อแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชน เช่น ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับที่ดิน ซึ่งที่ผ่านมาพบว่า ประชาชนจำนวนมากประสบความเดือดร้อนเรื่องที่ดินทำกิน ที่มีสาเหตุจากความไม่ชัดเจนของกฎหมาย ความซ้ำซ้อนของกฎหมายหลายฉบับของแต่ละหน่วยงานที่ถือกฎหมายคนละฉบับ ทำให้ประชาชนถูกดำเนินคดี ด้วยเรื่องที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์และไปอยู่ในแนวเขตอุทยานแห่งชาติ หรือพื้นที่ป่าสงวนต่างๆ
ที่ผ่านมารัฐบาลได้อนุมัติผลปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐ แบบบูรณาการหรือที่เรียกว่า “One map” จำนวน 11 จังหวัดในภาคกลาง ไปเมื่อปี2565และจะนำมาใช้แก้ปัญหาเรื่องที่ดินทับซ้อน ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้มีสิทธิครอบครอง มีสิทธิทำกินในที่ดินนั้นโดยไม่ต้องกลัวว่าจะโดนฟ้องขับไล่หรือถูกดำเนินคดีอีกต่อไปและจะได้มีการดำเนินการในพื้นที่อื่นๆต่อไปอย่างต่อเนื่อง ากนั้นจะปรับแก้กฎหมายนโยบายที่ดินแห่งชาติเพื่อดำเนินการต่อยอดให้ผู้ยากไร้ไม่มีที่ทำกินมีโอกาสมีที่ทำกินมากขึ้น
“กฎหมายทุกวันนี้ออกมาจากคนที่ถือกฎหมายคิดเองเขียนเอง โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการทำกิน ซึ่งมีหน่วยงานเกี่ยวข้องเยอะแยะไปหมด ก็ต้องเอากฎหมายเหล่านี้มาแก้ ซึ่งรัฐบาลปัจจุบันที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็มีนโยบายเกี่ยวกับที่ดินตามนโยบายคณะกรรมการที่ดินแห่งชาติแต่ก็ยังไม่สามารถเคลียร์ได้อีกหลายเรื่องก็ต้องแก้กฎหมายต่อไป”นายพีระพันธุ์ ย้ำ และว่าเตรียม เปิดนโยบายใหญ่ต้นเดือนเมษายน
“ทั้ง5นโยบายนี้ ถือเป็นการนำร่องหาเสียง ก่อนการเปิดตัวนโยบายทั้งหมดของพรรครวมไทยสร้างชาติบนเวทีปราศรัยใหญ่ของพรรค คาดว่าจะมีขึ้นในต้นเดือนเมษายนนี้ ทุกพรรคต่าง ก็มีแนวทาง หรือประเด็นที่คิดว่าตัวเองต้องแก้ไข เป็นที่น่าดีใจที่ทุกพรรคมองเห็นปัญหาของประชาชน เพียงแต่ว่าปัญหาไหนที่ประชาชนเป็นกังวลมากที่สุด ที่สำคัญ คือพรรคไหนทำได้แน่ ตรงนี้ของเราทำแล้ว ทำอยู่และจะทำต่อและเราทำได้แน่นอน”นายพีระพันธุ์ย้ำ พร้อมทั้งแสดงความมั่นใจว่าทุกนโยบายของพรรครวมไทยสร้างชาติสามารถทำได้จริงและทำได้ทันทีได้อย่างแน่นอน
จุรินทร์นำปชป.โชว์8นโยบายล็อต2
ด้าน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค พร้อมด้วยนายนิพนธ์ บุญญามณี นายอลงกรณ์ พลบุตร ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรค ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ทั้งหมดเป็นคณะกรรมการนโยบายของพรรค ได้ร่วมกันแถลงเปิด 8 นโยบาย ชุดที่ 2 เพิ่มเติมหลังจากเมื่อวันที่13 ม.ค.พรรคได้เปิดนโยบายไปแล้ว 8 นโยบาย เพื่อสู้ศึกการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น
ลั่นชู‘อินเตอร์เน็ตฟรี1ล้านจุด’
โดยนายจุรินทร์ กล่าวถึง 8 นโยบายใหม่ ที่ได้ประกาศในวันนี้ ประกอบด้วย นโยบายที่ 1 “อินเทอร์เน็ตฟรี 1 ล้านจุด ทุกหมู่บ้าน ทุกห้องเรียน” ซึ่งหมู่บ้านดังกล่าว หมายถึงชุมชนในเขตเมือง เขตเทศบาล เขตหน่วยการปกครองท้องถิ่น รวมทั้งในพื้นที่ชุมชนของกรุงเทพมหานครด้วย ซึ่งจะมีทั้งหมดประมาณ 80,000 หมู่บ้าน/ชุมชน และจะมีอินเทอร์เน็ตฟรี รวมกันในหมู่บ้าน/ชุมชน ประมาณ 6 แสนจุด สำหรับห้องเรียน ทั่วประเทศมีประมาณ 350,000 ห้อง โดยจะจัดให้มีอินเทอร์เน็ตฟรีประมาณ 400,000 จุด รวมอินเทอร์เน็ตฟรี 1 ล้านจุด ทุกหมู่บ้าน/ชุมชน ทุกห้องเรียน
เรียนฟรีป.ตรี-ตรวจสุขภาพฟรี
นโยบายที่ 2 “เรียนฟรี ถึงปริญญาตรี สาขาที่ตลาดต้องการ” จากการสำรวจเบื้องต้น โดย อว. พบว่ามีสาขาที่ตลาดต้องการ มีอยู่อย่างน้อยจำนวน 1.8 แสนคน โดยประมาณ ใน 12 สาขาสำคัญ หากประชาธิปัตย์ เป็นแกนตั้งรัฐบาล จะสนับสนุนให้มีการเรียนฟรีถึงปริญญาตรีในสาขาที่เป็นความต้องการของตลาด เพื่อให้เรียนจบแล้วมีงานทำ สนองตลาดนำการผลิตทางการศึกษาได้ทันที
นโยบายที่ 3 “ตรวจสุขภาพฟรี รักษาฟรี โดยใช้บัตรประชาชนใบเดียว” นโยบายนี้ มี 2 เรื่องอยู่ในนโยบายเดียวกัน เรื่องที่ 1 คือ รักษาฟรี ที่เป็นมาตรการในการรักษาพยาบาล เรื่องที่ 2 คือตรวจสุขภาพฟรี เป็นมาตรการในการป้องกัน ดังนั้นถ้าพบว่ามีปัญหาสุขภาพก็จะทำการตรวจรักษาได้ทันท่วงที ถือเป็นการต่อยอดนโยบายเดิมของพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้ทำมาตั้งแต่อดีต
ผลักดันชมรมผู้สูงอายุรับ 3หมื่น
นโยบายที่ 4“ชมรมผู้สูงอายุรับ 30,000บาท ทุกหมู่บ้าน ทุกชุมชน” ปัจจุบันประเทศไทยมีชมรมผู้สูงอายุที่จดทะเบียนอยู่ประมาณ 30,000 ชมรม และถ้าประชาธิปัตย์เป็นการตั้งรัฐบาลก็จะช่วยสนับสนุนให้ผู้สูงอายุสามารถทำกิจกรรมรวมกลุ่มในลักษณะนี้ต่อไป เพื่อประโยชน์ทั้งทางด้านสุขภาพ ร่างกาย จิตใจและการอยู่ร่วมกันในสังคม รวมทั้งการส่งเสริมอาชีพเพื่อสร้างเงิน สร้างรายได้ให้กับผู้สูงอายุต่อไปด้วย
ช่วย‘SME ต้องมีแต้มต่อ3แสนล้าน’
นโยบายที่ 5 “SME ต้องมีแต้มต่อ3แสนล้าน SME คือตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ซึ่งมีทั้งภาคเกษตร อุตสาหกรรม บริการ และทุกภาคที่เกี่ยวข้อง โดย SME คิดเป็นกว่าร้อยละ 90 ของนิติบุคคลรวมกันทั่วทั้งประเทศ ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 3,200,000 ราย ก่อให้เกิดการจ้างงานถึง 12.6 ล้านคน
นโยบายที่ 6“ปลดล็อคกบข. และกองทุนเลี้ยงชีพ ให้ซื้อบ้านได้”ปัจจุบัน กบข. มีวงเงินอยู่ 1.2 ล้านล้านบาทโดยประมาณ และมีสมาชิก กบข.ถึง 1.2 ล้านคน รวมทั้งมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ วงเงินประมาณ1.4 ล้านล้านบาท และมีสมาชิกอยู่ถึง 3 ล้านคน เมื่อรวม 2 กองทุน จะมีวงเงินอยู่ประมาณ 2.6 ล้านล้านบาท และมีสมาชิกรวมกันประมาณ 4 ล้าน 2 แสนคน ซึ่งนโยบายปลดล็อคดังกล่าวจะทำให้สมาชิกจากทั้ง 2 กองทุนสามารถนำเงินส่วนหนึ่งมาซื้อบ้านได้ หรือนำมาลดหนี้บ้าน เช่น นำมาเป็นเงินต้น เพื่อให้ยอดเงินต้นลดลง สามารถผ่อนบ้านได้ครบถ้วน และมีบ้านเป็นของตัวเองได้เร็วขึ้น ซึ่งจะช่วยทั้งข้าราชการและผู้ที่ทำประกันสังคม รวมไปถึงผู้ใช้แรงงานด้วย
‘3ล้านบาทต่อยอดเกษตรแปลงใหญ่”
นโยบายที่ 7“3 ล้านบาทต่อยอดเกษตรแปลงใหญ่” เกษตรแปลงใหญ่ในปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 10,000 แปลง มีเกษตรกรเข้าร่วม 5 แสนราย ในพื้นที่กว่า 8 ล้านไร่ ถือว่าเกษตรแปลงใหญ่ เป็นเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาการเกษตรของประเทศ เป็นการลดต้นทุน เป็นการร่วมกันใช้เทคโนโลยี เป็นการร่วมกันต่อยอดสร้างนวัตกรรมร่วมกันในนามกลุ่มซึ่งได้ผลสัมฤทธิ์ที่ดีเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าดีกว่าต่างคนต่างทำ และการทำเกษตรแปลงใหญ่จะสามารถขับเคลื่อนการเกษตรไปสู่ความสำเร็จได้มากกว่า สร้างผลิตภาพได้สูงกว่า ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ประชาธิปัตย์สนับสนุน และพร้อมที่จะมีเงิน3ล้านต่อยอดให้แต่ละกลุ่มแต่ละแปลง
ค่าตอบแทน อกม.1พันต่อเดือน
นโยบายที่ 8 “ค่าตอบแทน อกม. (อาสาสมัครเกษตรประจำหมู่บ้าน) 1,000 บาทต่อเดือน” เพื่อที่จะช่วยให้กระทรวงเกษตรฯได้มีอาสาสมัครที่จะเป็นผู้ไปช่วยดูข้อมูล และประสานงานลึกลงไปถึงระดับหมู่บ้าน ครัวเรือน ที่ทำการเกษตร เพราะเกษตรเป็นเรื่องสำคัญ และเป็นฐานรากใหญ่ในการขับเคลื่อนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ จึงจำเป็นต้องมีอาสาสมัครเพื่อไปขับเคลื่อนสิ่งเหล่านี้ให้ประสบความสำเร็จ สำหรับสร้างเศรษฐกิจให้ประเทศฐานรากต่อไป
“ทั้งหมดก็ไม่ได้แปลว่าปชป.มีนโยบาย 8+8 เป็น16 แต่เรายังมีนโยบายอื่นๆอีกหลายนโยบาย เกือบจะเรียกว่าเป็นร้อยนโยบาย แต่ที่จะนำมาแถลงข่าวเปิดตัวนั้นจะได้คัดมาเฉพาะนโยบาย ที่ประชาชน จะเข้าถึงได้ง่ายและพรรคก็มีความประสงค์ที่จะนำมาไฮไลท์ ขีดเส้นใต้เป็นกรณีพิเศษเท่านั้นซึ่งนโยบายที่ได้แถลงมาทั้งหมดจะได้รวมถึงพื้นที่กรุงเทพมหานครด้วยไม่แยกจังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง”นายจุรินทร์ ระบุ
โพลกระแส‘จุรินทร์-ปชป.’กลับมาพุ่ง
วันเดียวกัน สำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เสนอผลสำรวจ เรื่อง จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ในใจประชาชน กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวน 1,102 ตัวอย่าง โดยสรุปว่า
พรรคปชป.และหัวหน้าพรรค นายจุรินทร์ ยังคงอยู่ในใจของประชาชนส่วนใหญ่และได้รับแรงสนับสนุนจากอดีตผู้นำพรรคปชป.ทั้งนายชวน หลีกภัย อดีตนายกฯและนายบัญญัติ บรรทัดฐานยิ่งทำให้กระแสความนิยมของประชาชนต่อพรรคปชป.พุ่งสูงโดดเด่นขึ้นจากที่เคยสำรวจพบในปีที่แล้วที่เคยสำรวจการรับรู้ความพอใจของประชาชนต่อผลงานของหัวหน้าพรรคนายจุรินทร์ เรื่องการประกันรายได้เกษตรกร พืชเศรษฐกิจได้แก่ ข้าว ข้าวโพด ยางพารา ปาล์ม และมันสำปะหลัง อยู่ที่ร้อยละ 60 กว่า ขึ้นมาอยู่ที่กว่าร้อยละ 80 เป็นต้น จึงอาจกล่าวได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์กำลังได้รับคะแนนนิยมกลับมาเพิ่มสูงขึ้นในการสำรวจครั้งนี้