ศาลปกครองสูงสุดยืนตามชั้นต้น ทุเลาบังคับคดีให้ ‘ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร’ กลับเข้ารับราชการไว้ก่อน หลังกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ เคยมีคำสั่งปลดออกปมเผาทรัพย์สินชาวบ้านบางกลอย –ชี้ปลัด ทส.มีคำสั่งปลดไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไม่ได้แต่งตั้งกรรมการสอบสวน-ไม่แจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวานนี้ (16 มีนาคม 2566) ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นทุเลาการบังคับตามคำสั่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ลงโทษปลดนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ออกจากราชการ ไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
ทั้งนี้ คดีดังกล่าวสืบเนื่องจากนายชัยวัฒน์ ยื่นฟ้องกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ,ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ,คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ(ป.ป.ท.) ผู้ถูกฟ้องที่ 1-3 หลังป.ป.ท.ชี้มูลความผิดนายชัยวัฒน์ ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญา โดยการเผาทำลายทรัพย์สินของชาวบ้านบางกลอยในป่าแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี
ส่วนที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามศาลปกครองชั้นต้น ระบุเหตุผลว่าในชั้นนี้เห็นว่าการที่ ป.ป.ท. มีมติว่า การกระทำของนายชัยวัฒน์เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงแก่ผู้หนึ่งผู้ใด มิใช่การมีมติชี้มูลความผิดที่เกี่ยวกับการกระทำทุจริตในภาครัฐ จึงเห็นว่าป.ป.ท. น่าจะไม่มีอำนาจหน้าที่ในการไต่สวนข้อเท็จจริงและชี้มูลความผิดทางวินัยผู้ฟ้องคดีในความผิดฐานดังกล่าว และมติของป.ป.ท.ดังกล่าวย่อมไม่ผูกพันปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็น ผู้บังคับบัญชาของนายชัยวัฒน์ที่จะพิจารณาโทษทางวินัยและถือเอารายงานการไต่สวนข้อเท็จจริง และความเห็นของป.ป.ท.มาเป็นสำนวนการสอบสวนทางวินัยของคณะกรรมการสอบสวนวินัย
ทั้งนี้ การที่ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีคำสั่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลงโทษปลดนายชัยวัฒน์ออกจากราชการ ในความผิด ทางวินัยฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหาย อย่างร้ายแรงแก่ผู้หนึ่งผู้ใด โดยมิได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นทำการสอบสวนและมิได้แจ้งข้อกล่าวหาดังกล่าวให้นายชัยวัฒน์ทราบ คำสั่งลงโทษปลดนายชัยวัฒน์ออกจากราชการตามฐานความผิดดังกล่าว จึงน่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมาย
นอกจากนี้ยังเห็นว่า การมีคำสั่งปลดนายชัยวัฒน์ออกจากราชการย่อมมีผลให้นายชัยวัฒน์ต้องพ้นจากการ เป็นข้าราชการสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งนอกจากนายชัยวัฒน์จะได้รับความเดือดร้อนเสียหาย จากการไม่ได้รับเงินเดือน สิทธิประโยชน์ และสวัสดิการต่าง ๆ ตามสิทธิที่พึงมีพึงได้ในฐานะ ข้าราชการพลเรือนแล้ว ยังต้องขาดโอกาสและความเจริญก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ราชการ ซึ่งขณะยื่นคำฟ้องนี้ นายชัยวัฒน์ยังเหลือระยะเวลารับราชการได้อีกไม่เกิน 2 ปี เท่านั้น อีกทั้งยังปรากฏข้อเท็จจริงตามคำชี้แจงของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปลัดกระทรวงทรัพยากรฯว่า ภายหลังจากมีคำสั่งปลดนายชัยวัฒน์ออกจากราชการ ปลัดกระทรวงทรัพยากรฯได้มีคำสั่งแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญมาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักระดับสูง สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์แทนนายชัยวัฒน์ ซึ่งหากศาลได้มีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งที่พิพาทในภายหลัง นายชัยวัฒน์อาจไม่มีโอกาสได้กลับเข้ารับ ราชการในตำแหน่งเดิม
ส่วนที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามอุทธรณ์ในประเด็นนี้ว่านายชัยวัฒน์ สามารถใช้สิทธิ เรียกร้องค่าเสียหายจากคำสั่งพิพาทได้เห็นว่า คดีนี้นายชัยวัฒน์มิได้มีคำขอให้ศาลมีคำพิพากษา หรือคำสั่งให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชดใช้ค่าเสียหายจากการมีคำสั่งดังกล่าว และแม้ว่าในภายหลังนายชัยวัฒน์จะได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการที่ปลัดกระทรวงทรัพยากรฯมีคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย มาด้วยก็ตาม แต่การฟ้องเรียกค่าเสียหายย่อมไม่อาจที่จะทดแทนความเสียหายต่อสถานภาพ แห่งสิทธิและหน้าที่ของนายชัยวัฒน์ในกรณีนี้ได้ ดังนั้น อุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามในประเด็นนี้จึงฟังไม่ขึ้น เห็นได้ว่าการให้คำสั่งพิพาทมีผลใช้บังคับต่อไปจะทำให้เกิดความ เสียหายอย่างร้ายแรงแก่ผู้ฟ้องคดีที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลัง ซึ่งการที่ศาลฯจะมีคำสั่งทุเลา ซึ่งการบังคับตามคำสั่งทางปกครองที่พิพาทมีผลเพียงให้นายชัยวัฒน์กลับเข้ารับราชการในตำแหน่งเดิมในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลเท่านั้น และถือเป็นมาตรการทางกฎหมายในการช่วยบรรเทาหรือยับยั้งความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตแก่นายชัยวัฒน์ที่หากแม้ต่อมาศาลปกครองจะมีคำพิพากษาว่าคำสั่งทางปกครองนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายก็เป็นการยากแก่การแก้ไขเยียวยาในภายหลัง
ดังนั้น การที่ศาลปกครองชั้นต้น มีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครองดังกล่าว จึงเป็นเพียงวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษาเท่านั้น อีกทั้งข้อเท็จจริงในชั้นนี้ปรากฏว่า หลังจากที่ปลัดกระทรวงทรัพยากรฯได้มีคำสั่งแต่งตั้งนายสุเทพ เกตุเวชสุริยา ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 4 แทนนายชัยวัฒน์ ปัจจุบันนายสุเทพได้เกษียณอายุราชการ ปลัดกระทรวงทรัพยากรก็ได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้นายชัยวัฒน์ไปดำรงตำแหน่งดังกล่าว กรณีจึงยังไม่อาจถือได้ว่าคำสั่งให้ทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครองที่พิพาท ไม่ทำให้เกิดอุปสรรคต่อการบริหารงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการบริหารราชการแผ่นดิน ในการปฏิบัติหน้าที่ปกป้องดูแลผืนป่าแต่อย่างใด กรณีจึงมีเหตุผลอันสมควรที่ศาลจะมีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครองที่พิพาทไว้เป็นการชั่วคราว
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี