“เลือกตั้ง-รัฐประหาร” 2 ด้านที่วนเวียนเป็น “วัฏจักรทางการเมืองไทย” ตลอด 90 ปี นับตั้งแต่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยเมื่อปี 2475 ซึ่งในตอนแรกหลายคนคิดว่าวงจรนี้จะสิ้นสุดลงโดยเฉพาะหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี 2535 นำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 ที่ถูกเรียกว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน แต่แล้วการรัฐประหารก็กลับมาอีกครั้งในปี 2549 ซ้ำร้ายปัญหายังซับซ้อน
มากขึ้นเมื่อประชาชนแตกแยกแบ่งเป็นฝักฝ่าย
“สงครามเสื้อสี” ระหว่างมวลชนที่คิดต่างกันทางการเมืองดำเนินมาอย่างยืดเยื้อยาวนานหลังรัฐประหาร 2549 และไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงเมื่อใด ขณะที่การรัฐประหารในปี 2557 ก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์สงบอย่างแท้จริง ความขัดแย้งระหว่างมวลชนเสื้อสียังไม่จางหายก็มีความขัดแย้งระหว่างคนต่างวัยเกิดขึ้นมาอีก แต่อีกด้านก็มีความพยายาม “หาทางออกจากวังวนความขัดแย้ง” หนึ่งในนั้นคือการเกิดขึ้นของ “พรรคไทยสร้างไทย” ที่หัวหน้าพรรคอย่าง “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” ผู้คร่ำหวอดในวงการเมืองมา 30 ปี หวังให้เป็น “ทางเลือก” คลี่คลายวิกฤต
l ที่มาที่ไปของการตั้งพรรคไทยสร้างไทย : ความตั้งใจมาตั้งพรรคมี 2 อย่าง อย่างแรกเราเป็นนักการเมือง 30 ปีไม่เคยทิ้งพื้นที่ ลงพื้นที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับชาวบ้านตลอด ฉะนั้นชาวบ้านเห็นก็จะวิ่งมากอด มาร้องไห้ มาระบายทุกข์ แล้วก็ว่าฝากความหวังไว้ว่าขอให้มาช่วยเขาให้ได้ แล้วอีกเหตุผลหนึ่งคือลูกกำลังโตขึ้น เริ่มทำงานกัน ก็เหมือนคนรุ่นใหม่ทั่วไปที่มองไม่เห็นอนาคตของประเทศ ว่าทำไมมันถึงมีปัญหากัน แล้วประเทศจะไปอย่างไร เราก็ตอบลูกไม่ได้ เราก็อยู่ตรงการเมืองแต่มันก็ไม่หลุดพ้นจากปัญหาการเมืองเสียที มันก็เลยทำให้เศรษฐกิจก็ไปไม่ได้
ก็เลยเป็นเหตุว่าตอนแรกจะหยุดหรือจะทำงานต่อ แต่พอเห็นประชาชนยังลำบาก คนยังเหนื่อยยากอยู่ เราก็ยอมเหนื่อยกันอีกสักรอบเพื่อเป็นเสาเข็ม เป็นฐานราก เราก็จะได้สร้างคนรุ่นใหม่ๆ เข้ามา เพื่อให้เขามาทำหน้าที่ในการทำพรรค ดังนั้น มันก็เลยเป็นที่มาของการตั้งพรรค และชื่อพรรคว่าไทยสร้างไทย ก็คือถ้าเราไม่ช่วยกันแล้วใครจะช่วยเรา คนไทยก็ต้องช่วยกัน
l 30 ปีของการทำงานการเมือง มาตั้งพรรคเองเป็นอย่างไรบ้าง : ก็เป็นครั้งแรกที่มาตั้งพรรคเอง เดิมก็เริ่มจากพลังธรรมแล้วก็ไปไทยรักไทย แล้วจริงๆ ตอนนั้นหยุดการเมืองไปแล้วนะ ตั้งแต่รัฐประหาร (2549) แล้วก็ถูกตัดสิทธิ์5 ปี ครบปี 2555 แต่ก็หยุดการเมืองต่อเพราะไปทำเรื่องศาสนาแล้วก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เราชอบ แต่พวกเราหลายคนที่เป็นมืออาชีพทางด้านการเมืองที่ทำผลงานประสบความสำเร็จมาในสมัยรัฐบาลพลังธรรมหรือไทยรักไทย ก็ถูกเรียกกลับไป บอกว่าพรรคไม่มีใครแล้ว ไปช่วยหน่อย ในนามของพรรคเพื่อไทยตอนนั้น อยากได้มืออาชีพไปช่วย
ในที่สุดก็ไป แต่ไม่ได้ไปคนเดียว พวกเก่าๆพวกรุ่นใหญ่ ก็ถ้ามันเป็นสถาบันการเมืองมันก็จะดี เราก็เลยเข้าไปทำงานกัน จากนั้นก็เป็นครั้งแรกที่ออกมาแล้วก็มาสร้างพรรคเอง ถามว่าเหนื่อยกายไหม? เหนื่อย! แต่มันสบายใจ เพราะเรามีจุดมุ่งหมายชัดเจนว่าเราทำเพื่อให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทำเป็นภารกิจสุดท้ายแล้วเพื่อให้ประเทศไทย สร้างประเทศไทยที่มันดีที่สุดส่งมอบให้ลูกหลานเราหรือคนรุ่นต่อไป
เรามีเป้าหมายแบบนี้ก็ไม่เครียด คือเราก็พยายามเสนอตัวเองว่าเราคือทางรอด คือทางออกของประเทศ เราไม่มีวาระแอบแฝงที่จะต้องทำเพื่อผลประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่ง เรามาทำให้กับประชาชนที่เป็นนายใหญ่เรา ก็ไม่เครียดในเรื่องนี้ และเรายืนยันว่าเราเป็นพรรคของเราเองไม่ได้เป็นนอมินีของใคร เราเป็นพรรคใหม่แต่หัวใจเดิม ก็คือยึดมั่นในประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เป็นประชาธิปไตยที่อยากจะทำเพื่อประชาชนจริงๆ และแน่นอนเราไม่สนับสนุนการรัฐประหาร เพราะทำให้ประเทศตกลงและเวียนอยู่ในวงจรนี้ไม่จบเสียที ติดอยู่แบบนี้
l สำหรับคนที่ติดตามการเมืองจะรู้จักคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ในฉายา “เจ้าแม่กทม.” เรื่องนี้มีที่มาอย่างไร : มันมาจากตอนที่อยู่พรรคพลังธรรม เป็นรัฐมนตรี 2 กระทรวง ดูแลเรื่องกรุงเทพฯ คืออยู่ที่คมนาคมกับมหาดไทย ตอนนั้นท่านจำลอง (พล.ต.จำลอง ศรีเมือง-หัวหน้าพรรคพลังธรรม) ให้ดูแล กทม. และผู้ว่าฯกทม. ก็เป็นของพลังธรรม มันก็เลยกลายเป็นว่างานด้านจราจร การวางแผนแม่บทรถไฟฟ้า ทางด่วน การสร้างรถไฟฟ้าสายแรก การทำเรื่องน้ำท่วม ต่างๆ เหล่านี้เลยกลายเป็นคนมองว่าเรารับผิดชอบ กทม. เลยเรียกเราเป็นเจ้าแม่ กทม.
มันมาก่อนที่เราจะไปอยู่พรรคไทยรักไทยแล้วได้รับมอบหมายให้ดูแล กทม. ดังนั้นคำว่าเจ้าแม่ กทม. มันมาจากการทำงาน แต่คนนึกว่าเราไปอยู่พรรคการเมืองแล้วดูแล กทม. ฉายานี้มาตั้งแต่ตอนอยู่พลังธรรม มาจากการทำงานที่ท่านจำลองไว้วางใจ จริงๆ เรื่องแก้ฝุ่นพิษตั้งแต่ตอนนั้น ตั้งแต่เขายังไม่เรียก PM2.5 ทำโครงการอย่างรถควันดำไม่ให้เข้ากรุงเทพฯ ทำศูนย์ขนถ่ายสินค้าไม่ให้รถใหญ่เข้ากรุงเทพฯ จริงๆ ก็ทำตั้งแต่ตอนนั้น
l อะไรคือความคาดหวังจากการตั้งพรรคไทยสร้างไทย : อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง 17 ปีมานี้ ตั้งแต่รัฐประหารปี 2549 เกิดรัฐประหารมา 2 ครั้ง มันทำให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองสูง มันเป็นการแย่งอำนาจ เป็นสงคราม 2 ขั้วระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยที่เป็นพรรคใหญ่กับขั้วของทหาร ซึ่งก็ผลัดกันแย่งอำนาจ แต่ไม่ว่าใครชนะประชาชนก็แพ้ เพราะถ้าไม่แพ้เศรษฐกิจมันคงดีขึ้น ประเทศมันคงไม่ตกต่ำลงทุกทาง และคงไม่ทำให้เกิดวิกฤตต่างๆ มากมาย
ดังนั้น เราก็คาดหวังว่าเราเสนอตัวเป็นทางเลือกใหม่ เป็นทางรอดของประเทศ โดยที่แน่นอนว่าเราจะเป็นพรรคการเมืองที่ไม่ไปสนับสนุนการที่จะทำให้เกิดวิกฤตของชาติอีก เช่น ไปทำเพื่อใครบางคน หรือไปทำเรื่องที่มันเกิดความขัดแย้งที่มันจะทำให้สังคมแตกแยก และแน่นอนว่าตลอดเวลาที่ทำงานมาเราก็ไม่มีเรื่องทุจริตโกงกิน ทำผลงานให้ประเทศมากมาย ตั้งแต่ทำรถไฟฟ้าสายแรก ทำแผนแม่บททางด่วน แผนแม่บทรถไฟฟ้า จนมาถึง 30 บาทรักษาทุกโรค เราก็ทำด้วยความซื่อสัตย์ ไม่เคยถูกอภิปราย ไม่เคยถูกตรวจสอบ
“มันเป็นช่วงชีวิตสุดท้ายของเรา ก็อยากจะใช้ประสบการณ์ที่เรามีอยู่ การทำงานการเมืองหรือว่าจะผลักดันนโยบายได้ มันจะต้องมีประสบการณ์และเขี้ยวพอที่จะรู้เท่าทันรัฐราชการ และรู้กฎหมายที่จะผลักนโยบายออกไปได้ ไม่ใช่ใครลอยมา เป็นเอกชนแล้วประสบความสำเร็จมาบริหารราชการได้ง่าย ประเทศไม่ใช่สนามทดลองงานของใคร แล้วเราก็เจอมาเยอะ จากนายแบงก์ใหญ่ๆ พอมาอยู่ในระบบราชการในอดีต งานไม่ออกเลย”
ดังนั้นเราคิดว่าเรามีคน 3 รุ่น รุ่นก่อตั้งมีประสบการณ์บริหารบ้านเมืองมา 20-30 ปี ดังนั้นเราเขี้ยวพอจะผลักดันนโยบายได้ เรามีคนใหม่ๆ ที่มีความรู้ความสามารถในด้านเฉพาะทาง อย่างคุณสุพันธุ์ มงคลสุธี นโยบายเราต้องการนำเรื่อง SME มาเป็นวาระแห่งชาติ ต้องการสร้างคนตัวเล็กตั้งแต่พนักงานบริษัท พ่อค้า-แม่ค้ารายเล็ก SME ไปจนถึงผู้ใช้แรงงาน เกษตรกร เด็กจบใหม่90% ของประเทศต้องการความช่วยเหลือ 2 ด้าน คือด้านเงินทุนและเรื่องกฎหมายที่กดทับ เราก็มีคำตอบตรงนี้ให้
ก็ต้องบอกว่าพอเรามีคนรุ่นกลางที่เก่งๆ แบบนี้ อย่างตอนนี้เราต้องดิจิทัลใช่ไหม ก็มีคุณฐากร ตัณฑสิทธิ์ ที่เก่งเรื่องนี้เข้ามาช่วย แล้วเรามีเด็กรุ่นใหม่ที่เขามีหัวคิดก้าวหน้า มีความทันสมัย เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จเข้ามาช่วย ดังนั้น ตัวเองก็ทำหน้าที่แค่เป็นเสาเข็มกับฐานราก เป็นสะพานเชื่อมโยงคนเหล่านี้ เพื่อที่จะมาช่วยกันสร้างประเทศไทยที่ดีที่สุดส่งมอบให้กับคนรุ่นต่อไป
l ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 14 พ.ค. 2566 พรรคไทยสร้างไทยส่งผู้สมัครกี่คน : สส.บัญชีรายชื่อเรามี 97 คน สส.แบ่งเขต 327 คนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเสนอ 3 คน เราเอาคน 3 รุ่น จริงๆ คุณสุพันธุ์ก็รุ่นใหญ่ แต่ถือเป็นภาค Real Sector ที่ทำเรื่องSME มาสำเร็จ เราก็อยากให้เขามาทำเรื่องนี้ แล้วก็ตัวแทนของคนที่อายุน้อยลงไป ก็คือศิธา (น.ต.ศิธา ทิวารี)
l กระแสตอบรับเป็นอย่างไรบ้าง : เวลาลงพื้นที่ประชาชนก็ตอบรับเราดีนะ บอกว่าเห็นด้วยที่ออกมาตั้งพรรคเอง อยากให้มีโอกาสไปทำงาน อย่าทิ้งประชาชน อย่างภาที่อยู่ในป้ายหาเสียงเป็นของจริงหมด คือชาวบ้านวิ่งมาร้องไห้ มากอด มีเอาเงินมาให้ด้วยแม้เขาจะจน แต่เขารู้เราเป็นพรรคใหม่ เอามาให้10 บาท 20 บาท 100 บาท ทุกเวทีปราศรัย ซึ่งมันไม่เคยเกิดปรากฏการณ์แบบนี้ แต่มันเกิดขึ้นเพราะเหมือนกับเป็นปรากฏการณ์ที่เขาหวังกับเราจริงๆ
l ในทางการเมืองแต่ละพรรคก็มีฐานเสียงของตนเอง บางพรรคอยู่ภาคใต้ บางพรรคอยู่ภาคเหนือ-ภาคอีสาน แล้วพรรคไทยสร้างไทยวางยุทธศาสตร์อย่างไร : ไทยสร้างไทยเราเป็นพรรคใหม่ ก็ไม่ง่าย คนก็ยังสงสัยว่าเป็นนอมินีหรือเปล่า เราพรรคเดียวไม่เกี่ยวใคร ออกมาแล้วออกมาเลย เราตั้งใจมาทำแบบนี้แล้วก็เป็นภารกิจสุดท้ายที่จะสร้างประเทศที่ดีที่สุดส่งมอบให้ลูกหลานเรา
จุดยืนเราคือประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไม่สนับสนุนรัฐประหาร และไม่สนับสนุนการที่พรรคฝั่งประชาธิปไตยที่มีวาระแอบแฝงทำเพื่อคนใดคนหนึ่งแล้วนำประเทศไปเจอวิกฤต อันนี้เราพูดชัดเจน ดังนั้นถามว่าฐานที่ตั้งเราอยู่ตรงไหน พอเราเป็นพรรคใหม่เราไม่ดึงใครที่มาจากพรรคเดิม นอกจากเขาเห็นด้วยกับอุดมการณ์ของเราแล้วก็ออกมา บางคนก็อาจเห็นใจเรา ดังนั้นเราจะมี สส. เก่าน้อย คือ สส. ปัจจุบันที่เพิ่งหมดวาระไป
แต่เราคิดว่าสิ่งที่ประชาชนผูกพันกับเรา ก็จะมีพื้นที่กรุงเทพฯ แล้วก็พื้นที่อีสานกับภาคเหนือตอนบน ที่เราไปทำงานเยอะๆ ในห้วงหนึ่ง แล้วอย่างภาคใต้ก็จะเป็น 3 จังหวัดชายแดนช่วงที่เราทำงานเราไปผูกพันกับเขาเยอะ ก็จะมีตรงนี้เหมือนกับคนรู้จักเราเยอะหน่อย เป็นฐานจริงๆอีสานก็จะเยอะที่สุด แล้วพอเราเป็นพรรคการเมืองใหม่ เราเสนอแนวทางใหม่ เสนอว่าเราเคยอยู่ในซีกพรรคฝั่งประชาธิปไตยที่เป็นพรรคใหญ่แล้วเราก็เห็นปัญหาว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมมันถึงเกิดรัฐประหาร 2 ครั้ง
พอเราเป็นพรรคใหม่ เราขายไอเดียว่ามันต้องออกจากวงจรความขัดแย้ง 17 ปี ตั้งแต่รัฐประหารปี 2549 ที่ทำให้ประเทศตกต่ำลงทุกทาง เราคิดว่าทุกคนต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อเหตุการณ์นี้ ใน 17 ปีนี้เราแทบจะไม่ได้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่ได้อยู่ในรัฐบาลไหนเลย แม้ว่าฝั่งเพื่อไทยเขาจะเป็นรัฐบาลก็ไม่ได้เข้าไป ยกเว้นมาลงเลือกตั้งปี 2562 เท่านั้นเอง ที่เข้ามาหลังเลือกตั้งเพียงช่วงหนึ่งแล้วก็ลาออกมาคนเข้าใจว่า 17 ปีแห่งความขัดแย้งสุดารัตน์ทำงานเต็มที่ แต่จริงๆ 17 ปีนี้ สุดารัตน์ไม่ได้อยู่ในท่ามกลางความขัดแย้งเลย
ดังนั้นเราจึงเสนอไอเดียว่ามันต้องยุติสงครามความขัดแย้ง การแย่งอำนาจของ 2 ขั้ว และไม่จำเป็นต้องไปเลือกพรรคเดิมขั้วเดิมซึ่งมันทำให้เกิดปัญหา ตีกันมา 17 ปีแล้วประชาชนก็ยากลำบากมากขึ้น พรรคใหม่อย่างไทยสร้างไทยจะเป็นทางรอด จะเป็นทางออกให้ เราพยายามเสนอแบบนี้เพราะเรามีครบหมด 1.เราไม่ใช่คู่ขัดแย้ง
2.หลักคิดของเราคือประชาธิปไตย 3.เรามีคนมีประสบการณ์ เราเก๋าพอจะบริหารบ้านเมืองได้ ไม่ต้องมานั่งเสียเวลาเรียนรู้ใหม่ หรือตอบคำถามไม่ชัดเจน เรามั่นใจว่าเราคิดได้และทำเป็น
แต่ก็ต้องบอกว่าเราไม่รู้หรอกว่าประชาชนจะซื้อไอเดียนี้ไหม ว่าพอหรือยังกับ 17 ปี ถ้าพอแล้วไปถางทางใหม่ มันตันทุกทางก็ไปถางทางใหม่ร่วมกับไทยสร้างไทย เพื่อชัยชนะที่แท้จริงของประชาชน ซึ่งก็พยายาม ถ้าประชาชนเห็นด้วยประเทศไทยรอดแน่ แต่วันนี้ก็ต้องยอมรับว่าการโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) กระแสของพรรคใหญ่ๆ เขาพยายามมาก ซึ่งประชาชนเองพอเบื่อฝั่งหนึ่งก็จะไปเลือกอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งมันก็เป็นอย่างนี้มา 17 ปีเล้ว แต่พอเป็นแบบนี้แล้วมันรอดจริงไหม? มันก็ไม่รอดนะ แล้วเดี๋ยวก็ไปเจอสงครามครั้งใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม
“17 ปีมันสอนเรามาแล้ว เราอยากจะบอกประชาชนว่าอย่าไปเลือกเพราะความกลัวฝั่งหนึ่งหรือเกลียดฝั่งหนึ่ง เลยจำใจต้องไปเลือกอีกฝั่งหนึ่ง แล้วท้ายที่สุดอีกฝั่งก็พาไปเจอวิกฤตอีกเหมือนเดิม แต่ไปกับไทยสร้างไทยไม่เจอวิกฤต ไม่มีเหตุที่จะทำให้เกิดรัฐประหารใหม่ แล้วก็ไม่ไปทำเพื่อผลประโยชน์ของใครเป็นส่วนตัว แต่เราจะทำประโยชน์เพื่อประชาชน เพราะประชาชนคือนายใหญ่ของเรา”
l มีการประเมินตัวเลข สส. ที่จะได้จากการเลือกตั้งครั้งนี้ไว้อย่างไรบ้าง : ตัวเลขถามว่าประเมินไหม? อย่างในอีสานเราก็ไม่รู้ว่าจะได้เท่าไรแต่เรามีคนที่ทำงานพื้นที่ที่ดีๆ แล้วกัน เราก็เอาจริงเอาจังกันอยู่ 50 กว่าเขตในอีสาน ใน กทม. ก็ประมาณ 10 เขต ในภาคเหนือประมาณ 15 เขตภาคใต้อาจจะน้อยหน่อย ประมาณ 5 เขต ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายเราจะได้เท่าไร อย่าง กทม. มีที่แข็งแรง10 เขต แต่จะสอบได้กี่เขตก็ไม่รู้เหมือนกัน
l มองข้ามช็อตไปถึงการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง พรรคไทยสร้างไทยวางแนวทางอย่างไรบ้าง : การฟอร์มทีมตั้งรัฐบาล เงื่อนไขเรา 1.ต้องเป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข 2.มีนโยบายปราบทุจริตอย่างจริงจัง ต้องทำงานเพื่อผลประโยชน์ประชาชนไม่ใช่เพื่อคนใดคนหนึ่ง 3.สร้างเศรษฐกิจฐานราก 4.ดูแลคนตั้งแต่เกิดจนแก่ และ 5.แก้รัฐธรรมนูญให้ประชาชนเป็นคนเขียน เลือก สสร. (สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ) เรามี 5 ข้อนี้ ถ้าใครจะมาร่วมทำงานก็ต้องคุยเรื่อง 5 ข้อนี้ให้ชัด
l ไม่ปิดกั้นพรรคการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น? :วันนี้แทบจะพูดไม่ได้เลยนะเพราะมันลับลวงพรางกันหมด พรรคใหญ่ฝั่งประชาธิปไตยก็ตอบไม่ชัดว่าจะร่วมกับลุงหรือเปล่า? แต่พรรคไทยสร้างไทยเราไม่ได้มองตัวพรรค แต่เราอาจจะมองเรื่องตัวบุคคล ต้องขอโทษจริงๆ มันเป็นจุดยืนของเราตั้งแต่เป็น สส. เมื่อปี 2535 ว่าเราไม่เอารัฐประหาร ไม่เอาคนนอกมาเป็นนายกฯ แล้วเราก็ไม่อยากได้ตัวบุคคลที่ทำรัฐประหารกลับมาปกครองบ้านเมือง ไม่เช่นนั้นมันก็จะสร้างค่านิยมว่ารัฐประหารคือเรื่องปกติของประเทศ ดังนั้นอันนี้ก็เป็นข้อแม้ข้อหนึ่ง
ตัวพรรคก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ใช่เอาตัวคนที่เคยทำรัฐประหารมาเป็นนายกฯ เอาอย่างนี้ตัวพรรคเราถือเป็นสถาบันนะ เราไม่ได้เหนือกว่าเขาหรือเขาจะเหนือกว่าเรา ถือว่าเราเคารพในระบบคือระบบพรรคการเมือง ระบบสภา คือทุกพรรคเราร่วมได้หมด แต่อาจจะติดที่ตัวบุคคลและวัตถุประสงค์ด้วย เช่น วัตถุประสงค์มาทำเพื่อประโยชน์แอบแฝงแล้วทำให้ประเทศไปเจอวิกฤต แบบนี้เราก็ไม่เอา
“อยากจะฝากอย่างนี้ พอทีกับความขัดแย้ง17 ปี ไทยสร้างไทยคือคำตอบ พรรคไทยสร้างไทยพรรค ส-เสือ เบอร์ 32” คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวในตอนท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี