ประธานกกต.แจงคดี‘พิธา’
อย่าโยงการเมือง
ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่ข้อเท็จจริง
รอรวบรวมหลักฐานให้ครบ
รับรองผลเลือกตั้งใน60วัน
ว่าที่20สส.มีลุ้นเลือกตั้งใหม่
‘บิ๊กตู่’ย้ำเป็นห่วงบ้านเมือง
ประธาน กกต.ระบุรับรองผลเลือกตั้งได้ก่อน 60 วันแน่ เผยมีเรื่องร้องเรียน 280 เรื่อง ว่าที่ 20 สส.มีหนาว ได้ลุ้นเลือกตั้งใหม่ ส่วนคดีหุ้นสื่อ “พิธา” กำลังรวบรวมหลักฐาน ย้ำทำตามระเบียบก.ม. ไม่มีเกมการเมือง ทุกคดีอยู่ที่ข้อเท็จจริง-หลักฐาน ด้านก้าวไกล พร้อมชี้แจงแค่รอให้ กกต. เชิญไป ด้าน “บิ๊กตู่” บอกเป็นห่วงบ้านเมืองพร้อมทำให้ประเทศและประชาชนเข้มแข็ง
เมื่อเช้าวันที่ 3 มิถุนายน ที่ท้องสนามหลวงนายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการรับรองผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.)คาดว่าจะรับรองร้อยละ95ได้เมื่อไหร่เพราะพรรคการเมืองคาดหวังว่ากกต.จะรับรองได้ไวเพื่อพรรคการเมืองจะได้จัดตั้งรัฐบาล
โดยนายอิทธิพรกล่าวว่าก็เร็วกว่าครั้งที่แล้วและเร็วกว่า 60วันแน่ๆ ยังมีขั้นตอนทางกฎหมายบางประการที่ กกต.มีหน้าที่ดำเนินการก็คือ การตรวจสอบก่อนว่า 95,000 กว่าหน่วยเลือกตั้ง มีหน่วยไหนที่จะต้องมีเหตุ สั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ ออกเสียงลงคะแนนใหม่ หรือนับคะแนนใหม่ซึ่งกระบวนการดังกล่าวจะเข้าสู่การพิจารณาของกกต.ในเร็วๆนี้หลังจากนั้นกระบวนการจะใช้เวลาไม่มากก็จะมีความชัดเจนว่าจะประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการได้เมื่อไหร่
เมื่อถามว่าเบื้องต้นคาดว่าปลายเดือนมิถุนายนนี้น่าจะประกาศได้หรือไม่เพราะครบรอบ30วันในวันที่ 13 มิถุนายน นายอิทธิพร กล่าวว่า ก็จะพยายาม อันนี้ขึ้นกับข้อเท็จจริงอย่างที่ได้กล่าวไป ทั้งนี้ คาดว่าภายในสัปดาห์หน้า จะมีความชัดเจน กกต.ตระหนักดีถึงความจำเป็นของการประกาศผลการเลือกตั้งจะต้องไม่ช้าแต่มีขั้นตอนทางกฎหมายที่จะต้องปฏิบัติอย่างที่ได้เรียนไปแล้ว ขอย้ำว่าจะพยายามทำให้เร็วที่สุด
ร้องเรียนเพียบว่าที่20สส.มีหนาว
เมื่อถามว่า มาจนถึงขณะนี้กกต.มีคำร้องที่เกี่ยวกับว่าที่ส.ส.ที่ชนะการเลือกตั้ง ที่จะทำให้ไม่ได้ประกาศรับรองเยอะหรือไม่ นายอิทธิพร กล่าวว่า ตัวเลขคำร้องมีกว่า 280 เรื่อง ส่วนผู้ที่เลือกตั้งชนะ ถ้าจำไม่ผิดมีประมาณ 20 กว่าคน ซึ่งตอนนี้จะต้องขอตรวจสอบก่อนว่ามีหลักฐานชัดเจนหรือไม่ โดยจะต้องมีการสั่ง 3 อย่าง คือ 1.สั่งเลือกตั้งใหม่ 2.สั่งนับคะแนนใหม่ และ 3.สั่งออกเสียงลงคะแนนใหม่
เมื่อถามว่าตามกฎหมายที่ให้ประกาศรับรองร้อยละ95เบื้องต้นจะมีการรับรอง475 คนใช่หรือไม่ นายอิทธิพร กล่าวว่า“ใช่ ตัวเลขเป็นเช่นนั้น แต่เราคิดว่า ถ้าเผื่อประกาศได้100% ได้ เราก็ประกาศ เพราะกฎหมายระบุว่า ประกาศร้อยละ95 เป็นอย่างต่ำ”
หุ้นสื่อ‘พิธา’เริ่มพิจารณาเร็วๆนี้
เมื่อถามว่ากรณีหุ้นสื่อของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์หัวหน้าพรรคก้าวไกลตอนนี้คำร้องอยู่ในขั้นตอนไหนแล้ว นายอิทธิพร กล่าวว่าอยู่ระหว่างรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานจากกกต.ซึ่งจะเข้าสู่การพิจารณาของ กกต.ในไม่ช้านี้เมื่อถามว่าคาดว่าจะมีการส่งศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยเพื่อให้สิ้นข้อสงสัยหรือไม่นายอิทธิพรกล่าวว่ายังตอบไม่ได้เพราะเรายังไม่เห็นข้อเท็จจริงพยานหลักฐาน ตอบไปก่อน คงไม่ได้
เมื่อถามว่าคดีของนายพิธาต่างจากคดีถือหุ้นสื่อของคนอื่นหรือไม่อย่างเช่นนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า นายอิทธิพร กล่าวว่า คดีหุ้นทุกคดี จะขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง พยานหลักฐานที่นำเสนอต่อเรา เราจะพิจารณาตัดสินไปตามหลักฐานที่มี ถ้าเห็นว่าพยานหลักฐานไม่พอ ก็ขอให้สอบเพิ่ม หรือศึกษาเพิ่มได้ ตอนนี้เรายังไม่เห็นพยานหลักฐานที่เป็นทางการที่เป็นการทำงานของกกต.ฉะนั้นตนจึงไม่สามารถที่จะพูดอะไรไปได้มากกว่านี้
เมื่อถามว่าพยานหลักฐานตอนนี้มีเพียงพอ หรือยังต้องเพิ่มอะไรหรือไม่ นายอิทธิพร กล่าวว่า ยังตอบไม่ได้ เพราะสำนักงานกกต.ยังไม่เสนอเรื่องขึ้นมา อยู่ในระหว่างการดำเนินการของสำนักงานฯ
เมื่อถามว่าอย่างกรณีผู้ที่ถูกร้อง คือนายพิธาจะต้องมีการเรียกมาชี้แจงหรือไม่นายอิทธิพรกล่าวว่า ขึ้นอยู่กับกระบวนการ ถ้าจะเรียกก็คงไม่ใช่ กกต.เรียกจะต้องเป็นสำนักงานฯเรียก
ทำอย่างเต็มที่/ไม่มีใครกดดัน
เมื่อถามว่ามีคนมองว่ากรณีคำร้องนายพิธาเหมือนเป็นการเล่นงานทางการเมืองของฝ่ายการเมือง นายอิทธิพลกล่าวว่าเราไม่เคยดูเรื่องนั้น ทุกคำร้อง เราต้องใช้พื้นฐานของระเบียบว่าด้วยการสืบสวนและไต่สวนของกกต.เป็นหลักในการพิจารณา ตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งแรก
เมื่อถามว่าโซเชียลมีการกดดันการตรวจสอบคดีหุ้นของนายพิธานายอิทธิพร กล่าวว่า“ไม่มี กกต.และสำนักงานฯ ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่มาโดยตลอด”
‘ ก.กพร้อมชี้แจงหุ้นสื่อ’พิธา’
นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล(ก.ก.)ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ออกระบุว่าขณะนี้ทางกกต.อยู่ระหว่างรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานกรณีหุ้นสื่อไอทีวีของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีซึ่งจะเข้าสู่การพิจารณาของกกต.ในไม่ช้านั้น ได้มีการประสานมายังพรรคให้ไปชี้แจงข้อมูลหรือยังว่า ขณะนี้ทางพรรค ยังรอหนังสือจากทางกกต.อยู่ ซึ่งทางพรรคได้เตรียมความพร้อมในการชี้แจงไว้หมดแล้ว พร้อม มั่นใจว่าโต้แย้งได้ทุกประเด็น แต่ในส่วนรายละเอียด ต้องรอทาง กกต.
นายกฯเป็นห่วงบ้านเมืองทุกวัน
วันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ก่วงอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ว่า เป็นห่วงทุกวัน บ้านเมือง น่าเป็นห่วง น่าเป็นห่วงทุกวันไหมเล่า นายกฯต้องเป็นห่วงบ้านเมืองทุกวัน ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ต้องห่วงทุกวัน ต้องมีความพร้อมให้ประเทศ และประชาชนปลอดภัยแข็งแรง ก็เท่านั้นแหละ ชีวิตนายกฯ
เมื่อถามว่ามองอย่างไรมีคนกดดันให้นายกฯเก็บของออกจากทำเนียบรัฐบาล นายกฯตอบว่า“ไม่ได้มอง มองว่าเขาไม่ได้คิด ไม่เข้าใจอะไรมั้ง”เมื่อถามว่า การกดดันแบบนี้ทำได้หรือไม่พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า “คิดเอาเอง”
รทสช.ให้เกียรติพรรคอันดับ1ตั้งรบ.
นายธนกร วังบุญคงชนะ รมต.ประจำสำนักนายรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่าตนยังยืนยันการจัดตั้งรัฐบาลให้เกียรติพรรคอันดับ1และ2จะเห็นได้ว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรค และแคนดิเดตนายกฯพรรครวมไทยสร้างชาติ และตนไม่เคยไปก้าวล่วง พาดพิงหรือให้ความเห็นในการจัดตั้งรัฐบาล เราเข้าใจระบอบประชาธิปไตย
“แต่ข่าวที่ออกมาก็ต้องยอมรับว่า ว่าที่รัฐบาลเองนั้นแหล่ะเปิดประเด็น บางครั้งพูดในทำนองไม่ค่อยดีกับฝ่ายตนเท่าไหร่ ก็ทำให้ผมต้องชี้แจงเพราะอาจจะทำให้ประชาชนสับสนได้เท่านั้นเอง”นายธนกร ย้ำ
ทุกฝ่ายห่วงปท.มีเคลื่อนไหวขู่ชุมนุม
ส่วนที่นายกฯระบุว่าเวลานี้อยากให้บ้านเมืองสงบนายธนกรกล่าวว่าพล.อ.ประยุทธ์ มีความเป็นห่วง เพราะอยากให้บ้านเมืองเดินหน้าไปสู่สิ่งที่ประชาชนคาดหวังเพราะตลอดระยะเวลา 7-8 ปีที่ผ่านมาพล.อ.ประยุทธ์ได้สร้างคุณูปการให้กับประเทศมากมาย มีการพัฒนาในทุกๆ ด้านทั้งเศรษฐกิจ คมนาคม การท่องเที่ยว
“ในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาลใหม่ ตนเข้าใจว่า ทุกฝ่ายก็ห่วงใยประเทศ เพราะมีการเคลื่อนไหวขู่ชุมนุมคิดว่าตรงนี้จะนำไปสู่ความขัดแย้งอีกซึ่งนายกฯ ก็ห่วงในเรื่องเหล่านี้ ไม่อยากให้มีความขัดแย้งแบบเดิม เราเดินมาไกลแล้ว ช่วงนี้ต้องปล่อยให้กลไกเดินหน้าไปและทุกฝ่ายต้องยอมรับกติกาบ้านเมือง เราอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ก็ต้องว่าไปตามกฎหมาย พรรคที่ได้อันดับ1อันดับ2ก็จัดตั้งรัฐบาลไป แล้วเราก็มีรัฐบาลมาบริหารประเทศ ส่วนใคร จะเป็นฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาลก็ว่ากันไป”นายธนกร ระบุ
ไม่ควรกดดันกกต./เชื่อรับรองรอบคอบ
ส่วนที่ดูเหมือนขณะนี้มีกระแสกดดันไปที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ในการประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.นายธนกร กล่าวว่าทุกอย่าง ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ต้องว่าไปตามกฎหมาย เพราะมีระยะเวลาอยู่ซึ่งกกต.ก็เร่งพิจารณาอยู่ แต่จะไปเร่งให้ได้ดั่งใจตามที่เราต้องการ ตนคิดว่าก็ไม่น่าจะใช่ ซึ่งต้องมีกระบวนการในการตรวจสอบเรื่องต่าง ๆ ก็ต้องเห็นใจกกต.เพราะต้องใช้เวลาในการพิจารณาอย่างรอบคอบ เราไม่ควรไปกดดัน กกต.
ส่วนกระแสข่าวพรรครวมไทยสร้างชาติ จะมีการรวมกับพรรคพลังประชารัฐ นายธนกร กล่าวว่า การไปรวมพรรคตนไม่เคยได้ยิน และ ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ทั้งนี้พรรครวมไทยสร้างชาติกับพรรคพลังประชารัฐ มีความคุ้นเคยกันอยู่แล้ว เพราะผู้ใหญ่ทั้ง 2 พรรคทั้งพล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐก็คุ้นเคยกันมานาน
ยันร่วมมือกันทำงาน-ไม่มีปัญหา
เมื่อถามว่าการร่วมกันเพื่อทำงานทางการเมือง มีโอกาสเป็นไปได้ มากกว่าการรวมพรรคในเวลานี้ นายธนกร กล่าวว่า ในการทำงานร่วมกันทำได้อยู่แล้ว เพราะที่ผ่านมาเราเป็นรัฐบาลมาด้วยกัน อย่างว่าแต่พรรคพลังประชารัฐเลย แม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนาที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลเก่า เราก็ทำงานด้วยกันมายาวนาน หัวหน้าพรรคทุกพรรคก็ให้เกียรติ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งการทำงานร่วมกันในอนาคต ก็เป็นเรื่องที่ไม่มีปัญหาอะไร
ส่วนความชัดเจนในการปรับกลยุทธ์พรรครวมไทยสร้างชาตินายธนกรกล่าวว่าเลขาธิการพรรคกำลังหารืออย่างไม่เป็นทางการกับทีมงานอยู่ซึ่งต้องรอการรับรองส.ส.ของพรรคก่อนถ้าเราเป็นฝ่ายค้านก็ต้องมีการตรวจสอบอย่างเข้มข้น และมีทีมงานซับพอร์ต ยืนยันว่าพรรคมีอยู่แล้วด้วยความที่พรรคเกิดใหม่อะไรที่ที่จะทำให้ดีที่สุดหรือดีกว่าเดิมให้เป็นที่ยอมรับของพี่น้องประชาชนมากขึ้นก็ต้องทำคู่ขนานกันไป
‘สุชาติ’ยันอยู่กับ’บิ๊กตู่’ไม่ซบพปชร.
นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงแนวคิดของ นายจเด็จ อินสว่าง ส.ว. เสนอตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ว่า เป็นความคิดของแต่ละบุคคล แต่อันดับแรกขอตอบกรณีที่มีเรื่องกระแสข่าวลือของตนว่าจะออกจากพรรครทสช.กลับไปอยู่พรรคพลังประชารัฐ
“ขอยืนยันว่าไม่มี และจะอยู่กับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค รทสช. ขอย้ำว่า อยู่กับลุงตู่จะไปไหนได้”นายสุชาติ ย้ำ
ทางด้านนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.คลัง ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงแนวคิดเสนอตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ตอบโจทย์การเมืองในเวลานี้ ว่า ยังไม่ใช่เวลา เพราะประเทศไทยยังไม่มีอะไรที่วิกฤต ซึ่งการจัดตั้งรัฐบาลกำลังดำเนินการตามขั้นตอนที่ถูกต้อง
ผู้สื่อข่าวถามว่าแสดงว่ามั่นใจว่าทุกอย่างจะดำเนินการไปตามขั้นตอนของกฎหมาย นายสันติกล่าวว่าไปตามขบวนการลักษณะวิธีการ ส่วนใครจะเป็นอะไรอย่างไรเป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นไปตามปกติที่จะมีข้อจำกัดอะไรต่างๆ
ปัดพปชร.รอส้มหล่น/ย้ำผู้นำทำให้ถูกต้อง
เมื่อถามว่ามีข้อสังเกตเช่นเดียวกันว่าพรรคพปชร.อาจรอส้มหล่น นายสันติ กล่าวว่า”ไม่มี เรื่องของรัฐบาล ไม่มีส้มหล่น มีแต่เหตุผล ยืนยันไม่มีเรื่องส้มหล่นแน่นอน”
เมื่อถามกรณีที่มีความเป็นห่วงเรื่องคุณสมบัติของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล อาจส่งผลให้การเลือกตั้ง เป็นโมฆะเกิดขึ้น นายสันติ กล่าวว่า”อยู่ที่คนที่จะมาเป็นผู้นำของประเทศต้องมีความถูกต้องอันดับแรกในขั้นตอน คนเป็นนายกฯ คงไม่สามารถเอาแบบอย่างที่มีปัญหาอะไรก็แล้ว แต่มาเป็นได้”
‘พิธา-32ว่าที่สส.กทม.ถก ผู้ว่ากทม.6มิ.ย.
ขณะที่ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.)กล่าวกรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกลพร้อมว่าที่ส.ส.กทม.32คน เตรียมจะเข้าพบในวันที่ 6 มิ.ย.นี้ว่า เป็นการพูดคุยแบบเปิดเผย ไม่มีความลับ โดยพรรคก้าวไกล ได้ผู้แทนกรุงเทพฯ เยอะ เลยจะมาคุยกันว่าจะช่วยกันได้อย่างไรบ้าง
เมื่อถามว่าได้คุยกันเบื้องต้นแล้วหรือไม่ นายชัชชาติ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่คงมีการเตรียมกันไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้ดูรายละเอียด นายชัชชาติ กล่าวด้วยว่า ไม่มีอะไร คุยกันสนุกๆ
ปชช.อยากให้รบ.ใหม่แก้ปัญหาปากท้อง
ขณะที่ กรุงเทพโพลล์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้เปิดผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน1,120 คน เรื่อง“นโยบายที่คนไทยคาดหวัง หากได้รัฐบาลชุดใหม่”พบว่า เรื่องที่ประชาชนอยากขอให้ว่าที่รัฐบาลชุดใหม่ แก้ปัญหามากที่สุด คือ ปัญหาปากท้องค่าครองชีพสูง ข้าวของราคาแพง ร้อยละ 75.9 ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ร้อยละ 57.2 ปัญหายาเสพติด อาชญากรรม ร้อยละ 50.1 ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ร้อยละ 40.1 ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น ร้อยละ 34.4 ปัญหาการศึกษาการเรียนรู้ ร้อยละ 26.8 ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความแตกแยกในสังคม ร้อยละ 24 ปัญหาภัยธรรมชาติและโรคระบาด ร้อยละ 15.5 และอื่นๆ อาทิ แก้รัฐธรรมนูญ การศึกษา น้ำมันแพง ร้อยละ 2.3
คาดหวังลดค่าครองชีพ-ลดค่าไฟ-ค่ารถ
สำหรับนโยบายที่เฝ้ารอ และคาดหวัง จากว่าที่รัฐบาลชุดใหม่ คือ ลดค่าครองชีพเช่น ลดค่าไฟฟ้า รถไฟฟ้าราคาถูก ร้อยละ 67.1 ปราบปรามยาเสพติด ร้อยละ 45.9 สร้างงาน สร้างรายได้ ร้อยละ 44.3 สวัสดิการการรักษาฟรีทั่วไทย ร้อยละ 40.2 และสวัสดิการเด็กเล็ก ผู้สูงวัย ร้อยละ 39.8 ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ/เงินเดือนปริญญาตรี ร้อยละ 37.5 ปฏิรูปการศึกษา ร้อยละ 33.8 แก้ปัญหาเศรษฐกิจ ช่วยเหลือ SMEs ร้อยละ 32.3 ต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ร้อยละ 30.4 ปฏิรูปที่ดินทำกิน ร้อยละ 26.2 นโยบายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ร้อยละ 25.2 การปฏิรูปกองทัพ ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ร้อยละ 21.1 จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ร้อยละ 20.8 เลือกตั้งผู้ว่าราชการทุกจังหวัด ร้อยละ 15.7 และอื่นๆ อาทิ ไม่คาดหวัง หนี้นอกระบบ ประกันราคาสินค้าเกษตร ร้อยละ 2
พท.เดินหน้าสมรสเท่าเทียม
น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ในฐานะรักษาการโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทย ขอย้ำจุดยืนต่อ LGBTQ+ ไทยด้วยการยืนยันสนับสนุนและร่วมเป็นแรงส่งในการผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม เพื่อรับประกันสิทธิสมรสสำหรับคู่รักทุกเพศ ด้วยหลักของสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เรายึดถือแนวทางนี้ สอดคล้องกับการผลักดันความเท่าเทียมและความหลากหลายทางเพศ ที่พรรคเพื่อไทยได้รับมอบการส่งต่อเจตนารมณ์นี้มาจากพรรคไทยรักไทย ตั้งแต่ปี 2544 รัฐบาลที่นำโดย นายทักษิณ ชินวัตร มีการเสนอแนวคิดให้คนรักเพศเดียวกัน สามารถจดทะเบียนสมรสได้ตามกฎหมาย แต่ต้องยุติลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเกิดกระแสต่อต้านรุนแรง ในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีความพยายามให้มีกฎหมายรับรองคู่รักเพศเดียวกันอีกครั้ง ตามข้อเสนอของประชาชน นำไปสู่รูปแบบของ ร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิต (Civil Partnership Bill) ใน พ.ศ.2556 ตามบริบทสากลขณะนั้น และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีการยื่นเสนอร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม เพื่อให้ผ่านการพิจารณาโดยสภาผู้แทนราษฎร แต่ไม่สำเร็จ
พรรคเพื่อไทยมีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขกฎหมายคุ้มครองแรงงาน เพื่อคุ้มครอง สวัสดิภาพคนทำงานที่หลากหลาย รวมทั้งก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ หอสมุด หอศิลป์ เป็นพื้นที่แห่งการเเลกเปลี่ยนเรียนรู้ความหลากหลายทางเพศ เราเชื่อว่าเสรีภาพและความหลากหลาย คือพื้นฐานของการพัฒนาศักยภาพ ต่อยอดอุตสาหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางเพศได้อีกด้วย