‘เจษฎ์-สิริพรรณ’ประสานเสียงการเมืองหลังการเลือกตั้งสุดวุ่นวาย ‘เจษฎ์’ ชี้ตั้งรัฐบาลช้าไม่แปลก ยกต่างประเทศใช้เวลากว่า 400 วัน มอง ส.ว. 250 เสียงตัวขัดขวาง เชื่อหากไม่มี ส.ว.’พรรคเพื่อไทย’ไม่มีวันจับมือ’ก้าวไกล’ ด้าน ‘สิริพรรณ’หวั่นถ่ายโอนอำนาจไม่สันติ ทำประเทศไทยเผชิญ”หน้าฝนที่ร้อนระอุ”
วันนี้ ( 16 มิ.ย.) สมาคมแห่งสถาบันพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้ง จัดเสวนาวิชาการ เรื่อง "ทิศทางการเมืองไทยภายหลังการเลือกตั้ง ปี 2566 โดยมี ศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก นักวิชาการทางกฎหมาย ร่วมเสวนา
โดย รศ.ดร.เจษฎ์ มองว่า หลังเลือกตั้งจะมีการนำกฎหมายมาใช้เยอะแยะ ที่น่าเห็นใจเพราะว่ามีการเปลี่ยนกฎหมายไปเรื่อยๆ รวมถึงตนเองก็ยังงง พอเปลี่ยนบ่อย ถึงเวลาใช้จริง ไม่ได้ใช้ตัวแม่บทกฎหมาย แต่มีกลไกที่มากำกับในสิ่งที่เราไม่ได้เป็นคนสร้าง เช่น ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งต้องยอมรับว่า ภายหลัง พ.ศ.2475 มีระบอบดังกล่าวมานานแล้ว ไม่ใช่เราเป็นคนสร้างขึ้นมา ทั้งนี้ การเปลี่ยนรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายบ่อยๆไม่ดี อะไรที่ดีอยู่แล้วควรเก็บไว้ อย่าไปแก้ ส่วนไหนเป็นปัญหาก็หยิบมาแก้ไข ส่วนที่ไม่ดีแต่เกิดการเปลี่ยนแปลงก็มีการทำได้ภายหลัง
นายเจษฎ์ ยังกล่าวอีกว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างรอการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งไม่ต้องแปลกใจที่อาจจะล่าช้า เพราะอย่างประเทศเยอรมัน หรือเบลเยี่ยม ยังใช้เวลาถึง 400 กว่าวัน เมื่อเทียบกันแล้วการจัดตั้งรัฐบาลไทยจึงไม่ได้ล่าช้า แต่ที่เป็นปัญหา คือ แม้จะได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่ง แต่สุดท้ายหากสภาล่างเสียงไม่ถึงครึ่งก็อยู่ลำบาก ท้ายที่สุดก็จะเกิดกลไกที่ตนมองว่าไม่ควรเกิดขึ้นคือ การเข้ามารักษาความสงบแห่งชาติมันจะทำให้บ้านเมืองลุกลามบานปลาย และจบปลายทางด้วยการรัฐประหาร ดึงพรรคพวกเข้ามาบริหาร
“ปัญหามากที่สุดในการจัดตั้งรัฐบาล คือ การมี ส.ว. 250 เสียง จะต้องคอยขัดว่าจะต้องให้ได้ 376 เสียง หากไม่มี เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยไม่มีวันจับมือกับพรรคก้าวไกลเด็ดขาด นี่คือสิ่งที่อดีต คสช.ได้ทำไว้เพื่อช่วยเสียงข้างน้อยให้จัดตั้งรัฐบาลได้ และถ้าจะมองถึงขนาดนี้ก็มองให้ไกลกว่านี้ โดยการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจไปด้วยเลย จะได้ไม่ต้องมีปัญหา หรือจะให้ ส.ว. ร่วมโหวตกฎหมายด้วยเลย ย้ำว่าสิ่งที่ทำให้เกิดปัญหา คือ คสช. “
ด้าน ศ.ดร. สิริพรรณ มองว่า ทิศทางการเมืองไทยหลังเลือกตั้งที่เห็นชัดเจน คือบทบาทของโซเชียลมีเดียกับการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14-15 พ.ค. พบข้อมูลว่ามีคนใช้โซเชียลมีเดีย อย่างเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ไลน์ ทวิตเตอร์ ทั้งหมด 83 ล้านบัญชี และ 84% ของประชากรไทยมีบัญชีโซเชียล เท่ากับอีก 16% ไม่มีบัญชีโซเชียล ซึ่งอาจจะเป็นเด็ก หรือผู้ที่ไม่ได้สนใจการเมือง ทั้งนี้ สิ่งที่เห็นได้ชัดเป็นอันดับแรก คือการใช้ # เพื่อแสดงจุดยืนทางการเมือง และเชิญชวนให้คนไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง เป็นการกระตุ้นการมีส่วนร่วมทางการเมือง ขณะเดียวกัน พรรคก้าวไกลเองก็ใช้โซเชียลมีเดียในการกำหนดนโยบาย นอกจากนี้ สิ่งที่อยากจะพูด คือว่า ผลการใช้โซเชียลมีเดียนั้น อีกด้านหนึ่งคือเป็นการสร้างความใกล้ชิด สนิทสนมมากขึ้นกับพรรคการเมือง
นอกจากนี้ ประเด็นต่อมา คือ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในความเป็นชนบทของไทย แต่เดิมหากเราดูผลการเลือกตั้ง จะเห็นว่า พรรคก้าวไกล สามารถชนะทั้งในเมืองและพื้นที่ชนบท ดังนั้นไม่มีชนบทแบบเดิมอีกต่อไปแล้ว และเกิดคำถามว่า ทำไมคนส่วนใหญ่ ถึงย้ายขั้วไปเลือกพรรคก้าวไกล และโดยส่วนใหญ่ของผู้ที่ย้ายขั้วคือ ฝ่ายอนุรักษ์นิยม ซึ่งตนมองว่า เพราะสิ่งที่เขาต้องการ คือ การตอบคำถามในเชิงเศรษฐกิจ ประสิทธิภาพในการบริหาร
ศ.ดร.สิริพรรณ ยังพูดตอนหนึ่งถึงรัฐธรรมนูญว่า ความเป็นธรรมของประชาชน ไม่ใช่ดูว่าจะต้องไปดูหรือแก้มาตราไหน และไม่ใช่ให้การตีความไปอยู่ที่เฉพาะนักกฎหมายหรือนักรัฐศาสตร์ เพราะฟังนักกฎหมาย 10 คน ก็บอกความต้องการไม่ตรงกัน บางครั้งคนเดียวกันพูดสองครั้งก็ไม่เหมือนกัน และถามว่าทำไมประเทศไทยถึงตกอยู่ในภาวะของการแช่แข็งทางการเมือง เพราะก็ผ่านการเลือกตั้งมาแล้วกว่า 1 เดือน จริงอยู่ที่ต่างประเทศใช้เวลานานกว่านี้ในการจัดตั้งรัฐบาล เพราะเป็นรัฐบาลผสม แต่ไม่มีประเทศไหนในโลก ที่ กกต.มีระยะเวลาถึง 60 วัน ในการพิจารณาประกาศผลการเลือกตั้ง จึงมองว่านี่คือปัญหา แต่หากถามว่าเป็นความผิดของรัฐธรรมนูญหรือไม่ ก็คงไม่ เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดไว้แบบนี้
"เชื่อว่า กกต. ไม่มีลับลมคมใน แต่ประชาชนเรียนรู้กับประวัติศาสตร์การเมืองไทยมายาวนาน จนทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจ ซึ่งเป็นพิษสงร้ายแรงต่อรัฐบาลใหม่ ที่จะเกิดขึ้นได้ แต่จินตนาการว่าพรรคนั้นจะเปลี่ยนขั้ว พรรคนี้จะไปรวมกับพรรคนั้น นี่คือความบั่นทอนของกติกาที่สร้างต่อตัวสถาบันการเมือง"
ศ.ดร.สิริพรรณ ยังกล่าวถึงประเด็นการถือหุ้นของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โดยเปรียบเทียบกับกรณีของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ว่าหากจำไม่ผิด กกต.ได้ยื่นคำร้องให้ศาลวินิจฉัย วันที่ 16 พ.ค. 62 ศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลา 7 วัน จึงมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรก่อนทีจะเลือกประธานสภา แต่กรณีนายพิธาไม่แน่ใจว่า ถ้าจะยื่นคำร้องไปศาลรัฐธรรมนูญเข้าใจว่า จะต้องมีการถวายสัตย์ก่อน ดังนั้น ศาลรัฐธรรมนูญจะใช้เวลานานแค่ไหน ที่จะพิจารณามีคำสั่งทางใดทางหนึ่ง ถ้าดูครั้งที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญ ให้มีคำสั่งให้นายธนาธร หยุดปฏิบัติหน้าที่ก่อนที่จะมีการเลือกนายกรัฐมนตรี แล้วจึงวินิจฉัยว่านายธนาธร ถือหุ้นและขาดคุณสมบัติ
“กรณีนายพิธาถือหุ้น ไม่แน่ใจว่าเราจะได้เห็นคำวินิจฉัยก่อนหรือไม่ ดังนั้นประเด็นอยู่ที่การโหวตของสภา ซึ่งรัฐธรรมนูญได้ติดตั้งกลไก โจทย์ที่ใหญ่ที่สุด และดิฉันไม่ได้โฟกัสว่า นายพิธาจะได้เป็นนายกฯหรือไม่ แต่กลับมองว่า สิ่งที่ควรให้ความสำคัญคือ ความท้าทายในการถ่ายโอนอำนาจ อย่างสันติคือ การจากอีกขั้วหนึ่งไปยังอีกขั้วหนึ่งหลังการเลือกตั้ง ถ้าผ่านเดือนกรกฎาคม สิงหาคม ไปได้อย่างสงบ สันติ หาทางออกได้โดยฉันทามติ อาจจะไม่ใช่ทุกเรื่อง อย่างน้อยที่สุด เริ่มต้นนับหนึ่งคือการถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติ ประเทศชาติจะได้ไปต่อได้ แต่ถ้าไม่สามารถผ่านกรกฎาคม สิงหาคมไปได้ คิดว่า เราจะมีหน้าฝนที่ร้อนระอุ"
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี