จากกรณีนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร อดีตทนายความของพระพุทธะอิสระ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่าการกระทำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และพรรคก้าวไกล ที่เสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่…) พ.ศ. … เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง หรือไม่
โดยนายธีรยุทธ กล่าวอ้างในคำร้องว่าได้ยื่นคำร้องขอฉบับลงวันที่ 30 พ.ค. 66 เพื่อขอให้อัยการสูงสุดร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำของนายพิธาและพรรคก้าวไกลแล้ว แต่อัยการสูงสุดมิได้ดำเนินการภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสาม
ต่อมาเมื่อวันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติให้สอบถามอัยการสูงสุดว่ามีคำสั่งรับหรือไม่รับดำเนินการตามที่ร้องขอ หากมีคำสั่งรับคำร้องขอ ดำเนินการแล้วอย่างไร และผลการดำเนินการเป็นอย่างไร โดยให้แจ้งศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วันนั้น
ล่าสุด 28 มิ.ย.66 นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โพสต์แสดงความคิดเห็นทางข้อกฏหมายว่า ทำไมคำร้องที่ส่งศาลรัฐธรรมนูญเรื่องมาตรา 112 และศาลรัฐธรรมนูญได้สอบถามความคืบหน้าจากอัยการสูงสุด จึงสำคัญยิ่ง!
เมื่ออ่านคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 19/2564 วันที่ 10 เดือนพฤศจิกายน 2564 ฉบับเต็มในคดีที่ นาย ณฐพร โตประยูร ร้องขอให้วินิจฉัยว่าการชุมนุมและปราศรัยของผู้ชุมนุมแปดคน ได้แก่ อานนท์ นําภา, ไมค์-ภาณุพงศ์ จาดนอก, รุ้ง-ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล, เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์, อั๋ว-จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์, สิริพัชระ จึงธีรพานิช, สมยศ พฤกษาเกษมสุข และ อาทิตยา พรพรม เข้าข่ายเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขหรือไม่
ศาลรัฐธรรมนูญรับคําร้องเฉพาะการกระทําในการชุมนุมปราศรัยที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิตเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ของอานนท์, ไมค์-ภาณุพงศ์ และรุ้ง-ปนัสยา เรื่องศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สอง และที่สาม คือ เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรค 1 และสั่งการให้ผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สอง และที่สาม รวมทั้งกลุ่มองค์กรเครือข่ายเลิกกระทำการดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย
ดังนั้นการที่นายพิธาและพรรคก้าวไกลนำประเด็นเรื่องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 หรือการที่จะให้มี สสร.เพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ทุกหมวด ไปใช้ในการหาเสียงตามที่นายธีรยุทธ ร้องต่ออัยการสูงสุดและศาลรัฐธรรมนูญนั้น จึงมีความสุ่มเสี่ยงที่จะเข้าข่ายตามที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยห้ามบุคคลในเครือข่ายการเซาะกร่อนบ่อนทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
โดยศาลรัฐธรรมนูญมีวินิจฉัยว่า เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรค 1 และสั่งการให้ผู้ถูกร้องที่หนึ่ง ที่สอง และที่สาม รวมทั้งกลุ่มองค์กรเครือข่ายเลิกกระทำการดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย ตามมาตรา 49 วรรค 1
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี