สูงวัยรับเบี้ยคนชราเหมือนเดิม
รบ.ยันไม่สะดด
โยนรัฐบาลใหม่เคาะหลักเกณฑ์
รอคกก.ผู้สูงอายุฯกำหนด
นายกฯแจงเหตุปรับเงื่อนไข
คนแก่เพิ่มขึ้นต้องจัดงบให้พอ
นายกฯแจงปรับเกณฑ์เบี้ยคนชราตามคกก.ผู้สูงอายุฯกำหนด ต้องบริหารงบให้เพียงพอถึงอนาคต เพราะผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขอที่ประชุม ครม.อย่าไปต่อล้อต่อเถียง เหตุรองโฆษก รบ.แจงแล้ว ด้านมท.1ย้ำออกระเบียบใหม่ให้สอดคล้องกับ
รธน.รัฐบาลนี้วางแผนไว้ให้ แล้วแต่รัฐบาลใหม่จะทำอย่างไรต่อ ขณะที่รมว.พม.สำทับเบี้ยยังชีพไม่สะดุดไม่ตกหล่นจ่าย100% ชี้หน้าที่รัฐบาลใหม่เคาะหลักเกณฑ์ จะนำนโยบายที่หาเสียงมาใช้ก็ได้ แต่ถ้าอยากจ่าย3พัน ต้องหางบมาเพิ่มให้ได้ 9 เท่า ฝากถึงรบ.ใหม่คิดถึงคนทุกกลุ่ม เฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขดีกว่า ด้านกฤษฎีกาแจงรัฐธรรมนูญให้ช่วยเบี้ยยังชีพกับผู้สูงอายุที่ยากไร้รายได้ไม่พอเลี้ยงชีพ
ความคืบหน้ากรณีกระทรวงมหาดไทย (มท.) ออกระเบียบวิธีจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุใหม่ โดยกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมว่า “เป็นผู้ไม่มีรายได้หรือมีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพตามที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามกฎหมายว่าด้วยผู้สูงอายุกำหนด” ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคม 2566
แจงคนชราเพิ่มต้องวางแผนใช้งบ
เมื่อวันที่ 15สิงหาคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์หลังประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ถึงเสียงวิจารณ์การปรับหลักเกณฑ์เบี้ยผู้สูงอายุที่ประกาศออกมาว่า ชี้แจงไปแล้ว เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่มาจากคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติที่มีหน้าที่ วันนี้เป็นการเตรียมการสู่อนาคตว่าจะใช้งบประมาณอย่างไรให้เพียงพอ เป็นเรื่องของรัฐบาลหน้าสามารถดำเนินการได้ ถ้ามีเงินงบประมาณพอ แต่สิ่งที่เราทำมันจำเป็นต้องทำ เพราะผู้สูงวัยมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ บางคนช่วยเหลือตัวเองได้ แต่บางคนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ดังนั้น เราต้องมาดูว่ามีเงินมากน้อยแค่ไหน จริงๆแล้วเรียกว่าเป็นการเผื่อแผ่แบ่งปันซึ่งกันและกันเราว่าอย่างนั้น คนที่มีรายได้สูงเขาได้เสียสละ อันนี้ไม่ได้ไปให้โดยตรง ให้ผ่านทางภาษีอะไรก็ว่ากันไป
นายกฯห้ามต่อล้อต่อเถียงปมเบี้ยคนแก่
มีรายงานข่าวจากที่ประชุมครม.แจ้งว่า ช่วงท้ายการประชุมครม. พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า มีการชี้แจงออกมาแล้ว ไม่อยากให้ไปต่อล้อต่อเถียงหรือทะเลาะอะไรกัน ทำให้นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้แสดงความเห็นว่า เห็น น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาชี้แจงแล้ว แต่เหมือนรองฯรัชดาพูดแบบนิ่มนวล ตอบโต้แบบผู้ดีเกินไป แต่อีกฝ่ายด่าเราเสียๆหายๆ ทั้งที่ไม่เป็นความจริงเลย ทำให้พล.อ.ประยุทธ์หัวเราะพร้อมกล่าวว่า “สงสัยผมชินแล้วมั้ง เขาด่าผมทุกวันมาตลอด 9 ปี”
ยันทำระเบียบใหม่สอดคล้องรธน.
ด้านพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทยกล่าวว่า เดิมกรมบัญชีกลางเห็นผู้มีรายได้อื่น เช่น บำนาญ คงจะรับเงินไม่ได้ต้องเรียกคืน ในที่สุดก็มีปัญหา จนรัฐบาลต้องจ่ายเงินคืนให้ จากนั้นกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)ส่งเรื่องให้กฤษฎีกาตีความ ซึ่งกฤษฎีกาตีความว่าระเบียบที่ออกนี้ไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้ว่า ประชาชนต้องมีรายได้เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ โดยเฉพาะผู้ยากไร้ รัฐบาลต้องช่วยเหลือ ฉะนั้นการกำหนดว่าจะให้ใครตามระเบียบเดิมไม่ได้แล้ว จึงเป็นที่มาของการออกระเบียบใหม่ ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้
รอกก.ผู้สูงอายุวางหลักเกณฑ์
“อย่างไรก็ตาม การให้ต้องทั่วถึงเป็นธรรม มีคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติเป็นผู้กำหนดว่าจะทำอย่างไรถึงจะเป็นธรรม ถ้าให้ทั่วถึงจ่ายทุกคนก็ได้ หรือกำหนดกลุ่ม คนที่มีรายได้มากอาจไม่ต้องจ่ายก็ได้ ซึ่งระเบียบนี้เปิดทางไว้ แต่ถ้าคณะกรรมการผู้สูงอายุยังไม่กำหนด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.)ก็จ่ายแบบเดิมได้ ทั้งผู้ที่ได้รับอยู่แล้วและผู้ที่จะอายุครบ 60 ปีใหม่จ่ายตามเกณฑ์เดิมได้”พล.อ.อนุพงษ์กล่าวและว่า รัฐบาลชุดนี้ไม่มีอำนาจทำ เพราะผูกพันรัฐบาลใหม่แล้ว เนื่องจากใช้งบประมาณมาก ตนมองตอนนี้ประชาชนจะได้ประโยชน์ทั่วถึงตามรัฐธรรมนูญเป็นธรรม มีรายได้เพียงพอดำเนินชีวิต หนทางเราเตรียมไว้ให้แล้ว ออกทางไหนก็ได้ แต่ต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้
พม.ย้ำเบี้ยชราไม่สะดุดได้ครบ100%
นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทย (มท.)ไม่ได้โยนมายังพม. เขาทำตามระเบียบตามกฎหมาย เพราะทุกคนไม่อยากทำผิด รัฐธรรมนูญ เปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยนตาม และต้องรอคณะกรรมการผู้สูงอายุฯกำหนดเกณฑ์ รวมถึงเป็นแนวทางเลือกตามมารยาทแล้วอยู่ที่รัฐบาลใหม่ว่าให้ทำอย่างไร ความกังวลว่าเวลาให้ต้องคำนึงถึงกลุ่มอื่นของสังคมด้วย ซึ่งมีเด็ก 21 ล้านคน คนพิการ 3 ล้านคน ผู้สูงอายุ 11 ล้านคน ขณะนี้ทุกคนที่ได้รับเบี้ยยังชีพยังได้รับเหมือนเดิมทุกประการ 100% ไม่มีใครตกหล่น ไม่สะดุด เพราะมีบทเฉพาะกาลอยู่ งบประมาณก็จะเอาไว้แล้ว งบปี 2567 เพิ่มเป็น 110,000 ล้านบาท เพราะผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น
อยากจ่าย3พัน/คนต้องเพิ่มงบ9เท่า
นายจุติยังเปิดเผยด้วยว่า ผู้สูงอายุที่แสดงสิทธิ์ 11 ล้านคน รับอยู่ 89,000 ล้านบาท มีคนที่จนจริงๆเพียง 4 ล้านคน ต้องถามว่าคนที่เป็นรัฐบาลมีงบประมานที่จำกัด จะเอาเงินไปช่วยคนที่จนที่สุดของประเทศก่อนหรือไม่เท่านั้นเอง หากรัฐบาลใหม่มาและบอกว่าพร้อมให้เงินเดือนละ 3,000 บาท ก็ต้องไปเก็บภาษีมาให้ได้ปีละ 720,000 ล้านบาท ปัจจุบันพม.ได้งบประมาณอยู่ 8,000 ล้านบาท ต้องไปหางบประมาณมาอีก 9 เท่า ยืนยันด้วยว่า ไม่ได้วางกรอบหรือเงื่อนไขระยะเวลา ให้คณะกรรมการผู้สูงอายุฯเคาะหลักเกณฑ์ เป็นหน้าที่ของรมว.คลัง นายกรัฐมนตรีคนใหม่ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ เป็นคนเลือกว่าจะให้อย่างไร
โต้ก้าวไกลวาทกรรมก็พูดได้
ส่วนที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ออกมาแสดงความเห็นว่าเป็นการลักไก่ ช่วงรัฐบาลรักษาการนั้น นายจุติกล่าวว่า วาทกรรมก็พูดได้ แต่อยู่ที่สามัญสำนึก จิตสำนึก และทำให้คนส่วนใหญ่เถอะ ตนไม่ทะเลาะกับการเมือง อยากฝากทุกคน ใครจะทำอะไรก็ได้ แต่ความสะใจ ไม่ได้ให้อะไรใครซักคนเดียว ซึ่งการเลือกตั้งจบไปแล้วตั้ง 2 เดือนให้คนไทยรักกันดีกว่า ขอร้อง
ตปท.มีการพิสูจน์สิทธิลำบากจริง
ผู้สื่อข่าวถามถึงการกำหนดการปรับหลักเกณฑ์ของผู้มีรายได้น้อยจะวัดอย่างไร นายจุติ กล่าวว่า ต้องไปดูที่รัฐธรรมนูญปี 2560 ระบุว่า ผู้ไม่มีรายได้เพียงพอจะตัดที่ตัวเลขหรือเส้นแบ่งความยากจน แต่สิ่งที่นักการเมืองทุกคนไม่เคยพูดให้ประชาชนทราบ ว่า ประเทศที่เจริญแล้วที่เราทำตามเขา เขามีการพิสูจน์สิทธิ เช่น ออสเตรเลีย เยอรมัน อังกฤษ สหรัฐฯคือ วัดว่าคุณลำบากจริง รายได้ไม่พอจริงก็ควรไปช่วยเหลือ
“วันนี้เราบอกว่าเราให้ถ้วนหน้าก็โอเค ถ้ามีสตางค์ วันนี้คุณยังเห็นเด็กที่ยังไม่มีเงินได้เรียนหนังสือ กองทุนเสมอภาคเพื่อการศึกษายังอยากมีงบประมาณเพิ่มขึ้น ดังนั้น จะให้กระจายทุกกลุ่ม หรือไม่ หรือจะให้เฉพาะกลุ่ม คนเป็นรัฐบาลก็ต้องมองให้ถ้วน ผมว่าขอให้คิดถึงความเป็นมนุษย์อย่าไปคิดถึงคะแนนเสียง”นายจุติกล่าว
ไทยไม่ได้ออกแบบเป็นรัฐสวัสดิการ
นายจุติยังระบุว่า เดิมรัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่าไม่ควรรับเงินซ้อนจากรัฐ ซึ่งถูกต้องแล้ว และอันใหม่ระบุให้คนที่รายได้ไม่เพียงพอ ก็ต้องไปดูว่าตรงนั้นคืออะไร ไม่มีอะไรยาก ทำใจให้สบาย และด้วยมารยาทตนคงไม่ไปเรียกคณะกรรมการผู้สูงอายุฯมาประชุม เพราะเป็นหน้าที่ของนายกฯ รมว.คลัง และรัฐมนตรีพม. คนใหม่ นอกจากนี้ อยากให้แยกให้ออกว่านโยบายพรรคการเมืองกับนโยบายรัฐบาล และโครงสร้างประเทศ โครงสร้างการคลัง
นายจุติกล่าวด้วยว่า ประเทศไทยไม่ได้ออกแบบมาเพื่อเป็นรัฐสวัสดิการ ถ้าต้องเปลี่ยนระบบเป็นระบบรัฐสวัสดิการต้องมีคนรับผิดชอบมาก วันนี้มีผู้ยื่นเสียภาษี 11 ล้านคน เสียภาษีจริงเพียง 4 ล้านคน ต้องขยายฐานภาษีและภาษีมูลค่าเพิ่มของต่างประเทศเขาอยู่ที่ 22 % ของไทยเราอยู่ที่ 7% ภาษีภาษีรายได้บุคคลธรรมดาเขาอยู่ที่ 39% แต่เราอยู่ที่ 20-22% ส่วนภาษีท้องที่เขาอยู่ที่ 12% เราอยู่ที่ 0.5-1% ฉะนั้น เราต้องถามว่าคนไทยพร้อมหรือยัง คุยกันทั้งประเทศ นักการเมืองพรรคการเมืองก็ต้องฟังทุกกลุ่ม เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่ ขอให้คิดถึงทุกกลุ่ม รักทุกคน เฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุขดีกว่า
รธน.60เขียนให้รัฐดูแลสูงวัยยากไร้
ด้านนายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกากล่าวถึงระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงิน เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ของอปท. 2566 ที่เพิ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาว่า เรื่องนี้เป็นนโยบายของรัฐที่กำหนดในรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 48 วรรค 2 ได้เขียนไว้ว่ารัฐต้องดูแลบุคคลที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปซึ่งยากไร้และไม่มีรายได้เพียงพอในการดำรงชีพ ซึ่งในรัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้านี้ไม่ได้เขียนแบบนี้ ระบุชัดว่าเราให้ความช่วยเหลือคนที่ควรช่วยเหลือ เพราะเราไม่ได้เป็นรัฐสวัสดิการ แต่เป็นการดูแลช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ส่วนที่รัฐบาลจะกำหนดให้เป็นการให้ที่มากขึ้น ในลักษณะเป็นสวัสดิการนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับแนวนโยบายของรัฐบาล รวมทั้งการกำหนดด้วยว่าจ่ายใครบ้าง
นายปกรณ์กล่าวต่อว่า ปัญหาเรื่องนี้มีการกำหนดระเบียบเพิ่มเติมขึ้นมาโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า ใครที่รับเงินจากรัฐไปแล้ว เช่น บำเหน็จ บำนาญ จากรัฐไปแล้วห้ามรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุอีก ซึ่งเรื่องนี้คณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นว่ากำหนดแบบนั้นไม่ได้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญกำหนดว่าหากมีอายุ 60 แล้วเป็นผู้ยากไร้นั้นกำหนดว่ารัฐต้องดูแล รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดว่าเป็นผู้รับเงินจากแหล่งเงินอื่นของรัฐแล้วห้ามรับเงินเบี้ยผู้สูงอายุ ซึ่งหากไปกำหนดในลักษณะนั้นอาจขัดรัฐธรรมนูญได้
แล้วแต่รบ.ใหม่ให้ทุกคนหรือยากไร้
“ดังนั้น ทางออกเรื่องนี้จึงให้ออกเกณฑ์ที่ชัดเจนเป็นข้อๆได้แก่ 1.เป็นคนไทยอายุไม่ต่ำกว่า 60 ปี และ 2.เกณฑ์เรื่องความยากไร้ ไม่มีรายได้พอดำรงชีพ ซึ่งการดูเรื่องความยากไร้ของคนอาจดูเกณฑ์รายได้ตามเส้นความยากจนหรือกำหนดเกณฑ์ที่เหมาะสมขึ้นมาให้ชัดเจนว่าจะอ้างอิงจากส่วนไหน ทั้งนี้ ในกฎหมายยังกำหนดบทเฉพาะกาลว่า ใครที่ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุอยู่ปัจจุบัน ก็ยังได้รับอยู่” นายปกรณ์กล่าวและว่า ส่วนที่สองคือ เงินที่ได้รับอยู่ไม่ได้น้อยกว่าเดิม ส่วนจะให้มากกว่าเดิมหรือไม่เป็นเรื่องของรัฐบาลใหม่ที่จะกำหนดผ่านเกณฑ์คณะกรรมการผู้สูงอายุฯ ซึ่งการกำหนดเรื่องเกณฑ์ความยากไร้ทำให้เกิดความชัดเจนและไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องไปถามว่าหากมีรายได้มากควรจะรับเงินผู้สูงอายุหรือไม่ หรือว่าเราจะช่วยเหลือเฉพาะผู้ยากไร้
บทเฉพาะกาลคุ้มครองคนได้สิทธิ์เดิม
การที่นักการเมืองบอกว่าเรื่องนี้เป็นสิทธิ์ที่คนไทยควรได้ทุกคน เลขาธิการกฤษฎีกากล่าวว่า ก็ต้องย้อนกลับไปดูตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดว่ารัฐบาลมีหน้าที่ดูแลคนอายุ 60 ปีขึ้นไปที่ยากไร้ ส่วนจะมีเกณฑ์ที่ดูแลทุกคนหรือทุกกลุ่มถือเป็นแนวนโยบายของแต่ละรัฐบาลที่จะทำเพิ่มขึ้น ซึ่งรัฐบาลก็จะดูงบประมาณที่มีด้วย หากมีงบประมาณเพิ่มขึ้นก็อาจให้เพิ่มได้ สำหรับบทเฉพาะกาลนั้น จะมีผลคุ้มครองคนที่ได้รับสิทธิ์อยู่แล้วตลอดไป ส่วนรายใหม่จะมีการตรวจสอบและขึ้นทะเบียนตามเกณฑ์ของคณะกรรมการผู้สูงอายุฯชุดใหม่ เรื่องนี้ไม่มีใครลักไก่ใครได้ เพราะทุกฝ่ายจ้องดูเรื่องนี้อยู่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี