"ก้าวไกล"ผนึก"เป็นธรรม"ชงตั้งกมธ.วิสามัญแก้ปัญหา"ผู้ลี้ภัย" ดันใช้กลไกนิติบัญญัติ จี้รัฐบาลใหม่ให้ความสำคัญ
เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2566 ที่รัฐสภา ส.ส.พรรคก้าวไกล นำโดยน ายมานพ คีรีภูวดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พร้อมด้วย นายกัณวีร์ สืบแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม แถลงถึงการเสนอขอยื่นญัตติเรื่องขอให้สภาผู้แทนราษฎร ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาและหาแนวทางแก้ไขปัญหากรณีผู้ลี้ภัยจากการสู้รบในพื้นที่พักพิงชั่วคราว 9 แห่งในประเทศไทย และผู้หนีภัยจากการสู้รบแนวชายแดนไทยพม่า
นายมานพ กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ลี้ภัยและผู้หนีภัยการสู้รบในประเทศไทยมีทั้งหมด 70,000 - 90,000 คน กระจายอยู่ใน 4 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดแม่ฮ่องสอน , จังหวัดตาก , จังหวัดกาญจนบุรี และจังหวัดราชบุรี บุคคลเหล่านี้ได้เข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2528 และไม่ได้คงอยู่ในสถานะที่ไม่ได้ถูกยอมรับว่าเป็นผู้ลี้ภัยอย่างเป็นทางการเพราะประเทศไทยไม่ได้ลงนามว่าด้วยเรื่องผู้ลี้ภัย สถานะของผู้ลี้ภัยจึงใช้คำว่าผู้พักพิงชั่วคราว เพราะฉะนั้นในระยะเวลาเกือบ 40 ปี ที่ได้อาศัยอยู่ในประเทศไทย ชีวิตความเป็นมนุษย์ความเป็นคนในสถานะที่เป็นผู้ลี้ภัยอยู่อย่างยากลำบาก ซึ่งประเทศไทยต้องแก้ปัญหาทั้งในระยะสั้นและระยะยาวให้ได้ ซึ่งในบทบาทสภาผู้แทนราษฎร จึงขอเสนอให้จัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อที่จะแก้ไขเรื่องนี้ เพื่อที่จะสามารถดึงบุคคลภายนอกที่มีความเชี่ยวชาญแต่ละด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิทธิมนุษยชน เรื่องการกลับประเทศ เรื่องความมั่นคง และเรื่อง อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเข้ามาเป็นคณะกรรมการวิสามัญได้ เพื่อพิจารณาว่าจะแก้ไขปัญหาคนเหล่านี้ในระดับภายในประเทศอย่างไร จะร่วมมือกับนานาประเทศได้อย่างไร และประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นปัญหาจะร่วมมือกันอย่างไร
ด้าน นายกัณวีร์ กล่าวว่า ความจำเป็นที่ต้องมีกรรมาธิการ เพื่อใช้กรอบของกฎหมายในการแก้ไขปัญหาต่างๆ พร้อมอธิบายรายงานสถานการณ์โลกว่า เรื่องของการกลับประเทศต้นกำเนิดโดยสมัครใจเป็นเรื่องที่ดีที่สุด และแนวทางในการแก้ปัญหา โดยการตั้งถิ่นฐานในประเทศใหม่เป็นเรื่องยาก เพราะมีปริมาณคนกว่า 1 ล้านคนต่อปี นอกจากนี้ การผสมกลมกลืนในประเทศลี้ภัย ที่จะผสมกลมกลืนกันได้ดังนั้นกรรมาธิการจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญนักวิชาการและฝ่ายนิติบัญญัติในการจัดทำแนวทางแก้ปัญหาผู้ลี้ภัยแบบยั่งยืนโดยใช้ฝ่ายนิติบัญญัติเข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งอยากให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง ให้ความสำคัญไม่ว่าจะเป็น นายกรัฐมนตรีคนใหม่หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทยหรือรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเลขาสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เป็นกรรมการอยู่ในสภาความมั่นคงแห่งชาติด้วย
นายมานพ กล่าวเพิ่มเติมว่า เราจะประสานภาคประชาชนภาควิชาการที่มีประสบการณ์เรื่องนี้อย่างยาวนาน และจะดำเนินการในลักษณะเป็นคณะทำงาน ดำเนินการทำงานคู่ขนานไปก่อน เพื่อความรวดเร็ว ทั้งนี้หากคณะรัฐมนตรีได้รับรองชัดเจนคณะทำงานจะเข้าไปพูดคุย กับผู้เกี่ยวข้องโดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดยจะไม่รอว่าการตั้งกรรมาธิการจะสำเร็จเมื่อใด เพราะเห็นว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนใหม่ไม่ควรละเลยในประเด็นนี้และควรให้ความสำคัญ
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี