"เศรษฐา-อุ๊งอิ๊ง" เปิดตึกสันติฯ ประชุมคกก.พัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาตินัดแรก ‘อุ๊งอิ๊ง’นั่งรองประธาน คกก.พัฒนาระบบสุขภาพ มุ่งแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ขอทุกภาคส่วนหนุน 30 บาทพลัส พร้อมประกาศนำร่อง 4 จังหวัดใช้บัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทุกโรค ทุกที่ ทั้งรพ.รัฐ-เอกชน-ร้านขาย-แล็บ เริ่ม ธ.ค.นี้
เมื่อวันที่ 24 ต.ค. 2566 ที่ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2566 โดยเป็นการประชุมนัดแรก โดยน.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในฐานะรองประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข รวมถึง กระทรวง ทบวง กรม ที่มีหน่วยงานแพทย์พยาบาล อาทิ กระทรวงการอุดมศึกษาฯ กระทรวงกลาโหม กระทรวงดิจิทัลฯ รวมถึง สมาคมโรงพยาบาลเอกชนและ สปสช. เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง
โดยมีการหารือถึง 5 นโยบายเร่งด่วนเพื่อยกระดับในการยกระดับ 30 บาท โดยใช้บัตรประชาชนเพียงใบเดียวรักษาได้ทุกที่ทุกเครือ ทั้งในและนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล คลินิก แล็บ และร้านขายยา นำร่อง 4 จังหวัดประกอบด้วย แพร่ เพชรบุรี ร้อยเอ็ด และนราธิวาส ส่วนการเข้าถึงบริการในเขตกรุงเทพมหานคร จะนำร่องที่โรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน) และศูนย์บริการสาธารณสุข 60 รสสุคนธ์ มโนชญากร เป็นโรงพยาบาลผู้ป่วยนอกเฉพาะทางร่วมกับโรงพยาบาลแม่ข่ายและเตรียมพร้อมโรงพยาบาลราชวิถีสองเป็นโรงพยาบาลรับส่งต่อผู้ป่วยจึงคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในเดือนธันวาคม 2566 นี้
โดยน.ส.แพทองธาร กล่าวว่า หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของคนไทยทุกคนมาตั้งแต่ปี 2544 ซึ่งในปัจจุบันครอบคลุมประชาชนมากกว่าร้อยละ 99.6 ช่วยให้เข้าถึงบริการมากขึ้น ลดภาระค่าใช้จ่ายทางสุขภาพ และลดจำนวนครัวเรือนที่ยากจนจากรายจ่ายด้านสุขภาพได้ แต่ยังต้องพัฒนาต่อเนื่อง ซึ่งการแก้ไขจุดที่เป็นปัญหาและความทุกข์ของประชาชนคือ ความเหลื่อมล้ำในการรับบริการ ความแออัด และระยะเวลารอคอยการรักษา โดยเฉพาะโรงพยาบาลในเขตเมือง ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัล และนวัตกรรม มาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพระบบบริการ ตั้งแต่ส่งเสริมป้องกัน ตรวจวินิจฉัย ดูแลรักษา นัดหมาย ส่งต่อ และเชื่อมโยงจัดการฐานข้อมูลทั้งหมด เพื่อมุ่งสู่ก้าวต่อไป คือยกระดับหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ารักษาได้ทุกที่ ให้ประชาชนทุกระดับสามารถใช้บัตรประชาชนใบเดียวเข้ารับบริการสุขภาพได้ทุกหน่วยบริการ ไม่ว่าจะเป็นของรัฐ เอกชน คลินิก และร้านขายยาใกล้บ้าน
รวมทั้งพัฒนาคุณภาพ การให้บริการที่สะดวก รวดเร็ว มีทางเลือกที่เหมาะสม ลดขั้นตอนบริการ ตอบสนองต่อปัญหา และความต้องการ โดยยืดหลัก "ผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง" เช่น นัดหมายออนไลน์ ใบรับรองแพทย์อิเล็กทรอนิกส์ ดูแลผู้ป่วยที่บ้าน พื้นที่ห่างไกลให้เข้าถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางได้ทันท่วงที ไร้ข้อจำกัด ผ่านระบบ Telemedicine การส่งยาและเวชภัณฑ์ไปยังบ้านผู้ป่วย ซึ่งตนมั่นใจว่า หากทุกภาคส่วนร่วมมือกัน จะยกระดับหลักประกันสุขภาพฯ ของไทยให้ดีขึ้นได้อย่างยั่งยืน
ด้านนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เรื่องบัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่ จะนำร่องใน 4 จังหวัด คือ แพร่ เพชรบุรี ร้อยเอ็ด และนราธิวาส ที่สามารถเข้ารับบริการได้ทุกเครือข่าย ทั้งในและนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งหลังจากนี้จะเร่งพัฒนาระบบบันทึกข้อมูล ระบบยืนยันตัวตน และเชื่อมโยงข้อมูลเครือข่ายบริการ ทั้งโรงพยาบาล คลินิก ร้านยา และแล็บที่สนใจเข้าร่วม ซึ่งจะทำให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สนับสนุนงบประมาณ และจ่ายชดเชยให้หน่วยบริการได้เร็วขึ้น โดยจะได้รับงบประมาณเหมาจ่ายรายหัวล่วงหน้า กรณีผู้ป่วยนอกจะจ่ายชดเชยใน 3 วัน และผู้ป่วยในจ่ายชดเชยทุก 7-14 วัน รวมถึงจะมีการเพิ่มคู่สาย สายด่วน 1330 ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อช่วยนัดหมายบริการ ยืนยันตัวตน การไปรับยาใกล้บ้าน เป็นต้น โดยเพิ่มอาสาสมัคร เช่น พยาบาลเกษียณ หรือคนพิการ เข้าร่วมบริการประชาชน
นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า เรื่องมะเร็งครบวงจรจะครอบคลุมทั้งงานส่งเสริมป้องกัน คัดกรอง ตรวจวินิจฉัย รักษา และดูแลผู้ป่วย โดยจะมีการคิกออฟทีม Cancer Warior ทั้งระดับกระทรวง ระดับเขตสุขภาพ และระดับจังหวัดในปลายเดือนตุลาคมนี้ เพื่อดูแลประชาชนทุกจังหวัดให้มีความรู้ และตระหนักในการป้องกันโรคมะเร็ง โดยเฉพาะโรคมะเร็งสำคัญคือ มะเร็งตับ มะเร็งท่อน้ำดี มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง มะเร็งเต้านม และมะเร็งปากมดลูก, คิกออฟฉีดวัคซีน HPV ป้องกันมะเร็งปากมดลูกในหญิงอายุ 11-20 ปี 1 ล้านโดส ในวันที่ 8 พ.ย. และคิกออฟคัดกรองพยาธิใบไม้ในตับฟรี 1 แสนคน ภายในเดือนพฤศจิกายน
นอกจากนี้ จะเพิ่มการเข้าถึงการตรวจวินิจฉัยด้วยเทคโนโลยี PET/CT Scan SPECT/ CT การแพทย์เฉพาะบุคคล การรักษาด้วยยาเคมีบำบัด ยามุ่งเป้า และรังสีรักษาให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ใช้เวลาเดินทางไม่เกิน 2 ชั่วโมง ส่วนสถานชีวาภิบาล ดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิง บ้านติดเตียง ผู้ป่วยที่รับการดูแลแบบประคับประคอง ตั้งแต่ระยะแรกจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการที่มีมาตรฐานมากขึ้น เพิ่มคุณภาพชีวิต ลดภาระค่าเดินทาง ลดความกังวลครอบครัว จะพัฒนาคนเพื่อรองรับระบบชีวาภิบาลเพิ่มขึ้น 5,000 คน สร้างระบบชีวาภิบาลในทุกโรงพยาบาล บริการที่บ้าน ชุมชน และ Telemedicine รวมทั้งจัดตั้งสถานชีวาภิบาลในชุมชน เช่น วัดคำประมง จังหวัดสกลนคร และขยายสิทธิครอบคลุมทั้ง 3 กองทุนสุขภาพ โดยเป้าหมาย 100 วันแรก จะจัดตั้งสถานชีวาภิบาลทุกเขตสุขภาพและใน 7 เขต มีการจัดบริการ Hospital at Home หรือ Home Ward ทุกจังหวัด โดยจะมีการเปิดสถานชีวาภิบาลตันแบบ
ในเดือนธันวาคม
สำหรับการเพิ่มการเข้าถึงบริการในเขตกรุงเทพมหานคร 50 เขต 50 โรงพยาบาล จะนำร่องโรงพยาบาลประจำเขตดอนเมืองระยะที่ 1 โดยยกระดับโรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน) เป็นโรงพยาบาลทุติยภูมิขนาด 120 เตียง ยกระดับศูนย์บริการสาธารณสุข 60 รสสุคนธ์ มโนชญากร เป็นโรงพยาบาลผู้ป่วยนอกเฉพาะทางร่วมกับโรงพยาบาลแม่ข่าย และเตรียมพร้อมโรงพยาบาลราชวิถี 2 เป็นโรงพยาบาลรับส่งต่อผู้ป่วย คาดว่าจะเปิดให้บริการ
ทั้ง 3 ส่วนได้ภายในเดือนธันวาคม
ขณะที่เรื่องสุขภาพจิตและยาเสพติด ยึดหลักการ "เพื่อนแท้มีทุกที่" ให้ประชาชนเข้าถึงบริการคุณภาพตั้งแต่ระยะแรก และสามารถกลับไปใช้ชีวิตในชุมชนได้ โดยจัดตั้งมินิธัญญารักษ์ทุกจังหวัด เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการบำบัดรักษาพื้นฟูผู้ป่วยยาเสพติด ตามหลักการเปลี่ยนผู้เสพเป็นผู้ป่วยซึ่งปัจจุบันมีมินิธัญญารักษ์แล้ว 35 จังหวัด 64 โรงพยาบาล มีกลุ่มงานจิตเวชทุกอำเภอ และมีหอผู้ป่วยจิตเวชทุกจังหวัด นอกจากนี้ จะส่งเสริมสุขภาพจิตเชิงรุกในชุมชน ค้นหากลุ่มเสี่ยงในชุมชน บริการฉุกเฉินจิตเวช เพิ่มการเช้าถึงบริการจิตเวชทางไกล และการฟื้นฟูผู้ป่วยระยะยาวในชุมชน และสังคม
ด้านนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การขับเคลื่อนนโยบายทั้ง 5 ด้าน นี้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา จึงเห็นควรตั้งคณะกรรมการติดตามการขับเคลื่อนและการดำเนินการให้เป็นไปอย่างบูรณาการและมีประสิทธิภาพ โดยให้น.ส.แพทองธาร เป็นประธานคณะกรรมการ และมีคณะกรรมการจากทุกภาคส่วนเข้าร่วม เพื่อดำเนินการเป็นรูปธรรม ก่อให้เกิดความมั่นคงทางสุขภาพในระยะยาวของประเทศให้คนไทยแข็งแรง ประเทศชาติมั่นคง นำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านอุตสาหกรรมการแพทย์ และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพสร้างเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป ---017
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี