รายการ “แนวหน้า ทอล์ก (Naewna Talk)” ไลฟ์สดผ่าน TikTok ช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในเวลา 16.00 น. โดยวันที่ 25 ต.ค.2566 มี 2 นักเคลื่อนไหวทางการเมือง “ทนายนกเขา” นิติธร ล้ำเหลือ เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย และ จตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน และอดีตแกนนำเสื้อแดงกลุ่ม นปช. ซึ่งทั้งคู่เป็นศิษษ์เก่า มหาวิทยาลัยรามคำแหง และผ่านยุคการชุมนุมใหญ่ “พฤษภาทมิฬ 2535” มาด้วยกัน แต่ได้ยืนอยู่กันคนละฝ่ายทางการเมืองก่อนจะกลับมารวมกันในปัจจุบัน โดยมี บุญยอด สุขถิ่นไทย เป็นผู้ดำเนินรายการ
นิติธร เล่าว่า ตนทำงานกับองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) มาตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาจนกระทั่งเรียนจบ ต่อมาในปี 2538 จึงได้ตั้งสำนักงานกฎหมายของตนเอง และประมาณปี 2542-2543 ก็ออกจากงาน NGO มาเป็นนักกฎหมายเต็มตัว ส่วนในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ตนทำงานข่าวกรองให้กับฝ่ายผู้ชุมนุม รวบรวมข่าวสารเพื่อประเมินและวางแนวทางการเคลื่อนไหว ซึ่งจะแตกต่างจากยุคที่มาเคลื่อนไหวกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพราะยุคนี้ถูกมอบหมายให้ทำงานด้านกฎหมายเป็นหลัก
ในช่วงปลายปี 2556 ซึงอุณหภูมิทางการเมืองเริ่มร้อนเมื่อมีข่าวรัฐบาลขณะนั้นเตรียมออกกฎหมายนิรโทษกรรม เวลานั้นตนประเมินแล้วว่าสุดท้ายต้องออกมาในแบบสุดซอยแน่นอน จึงเริ่มหาลู่ทางเคลื่อนไหวเพราะฝ่ายรัฐบาลเองก็ประกาศพื้นที่ควบคุมความมั่นคง เริ่มจากทดลองเคลือนมวลชนประมาณ 200 คน ตั้งแต่การสักการะพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 สักการะพระแก้วมรกต และสักการะศาลหลักเมือง
และเวลานั้นก็เริ่มมีการหารือกับกลุ่มของ สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ชุมนุมกันอยู่บริเวณย่านสามเสน ว่าจะสามารถเคลื่อนขบวนมาได้หรือไม่ เมื่อดูกฎหมายแล้วทำได้จึงเคลื่อนขบวน เกิดเป็นกลุ่ม กปปส. ขึ้น แต่การเคลื่อนไหวของ กปปส. ตนไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง ซึ่งเวลานั้นมีการชุมนุมหลายกลุ่ม อย่างกลุ่มตนคือ คปท. เน้นเรื่องปฏิรูปประเทศไทยและนิรโทษกรรม ส่วน กปปส. จะเน้นเรื่องนิรโทษกรรม กระทั่งเมื่อเรื่องนิรโทษกรรมไปต่อไม่ได้ จึงได้หารือกันอีกครั้งและร่วมกันในเชิงหลักการเคลื่อนไหวเรื่องปฏิรูปประเทศ กระทั่งมีการรัฐประหารในปี 2557
“ผมก็กลับมาทำมาหากินปกติ มีคดีช่วยเหลือชาวบ้าน โดนคดีด้วย ผมก็ยังนั่งคิดเรื่องปฏิรูปประเทศ นั่งดูกลไกต่างๆ แล้วเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ผมก็เลยออกมาเคลื่อน เห็นหลายสิ่งเริ่มบิดเบี้ยวภายใต้การบริหารของ พล.อ.ประยุทธ์ มีหลายเรื่องที่มันต้องการเตรียมการรองรับ ในเรื่องที่ควรมีการปรับโดยเฉพาะการปฏิรูปประเทศ ผมก็บอกให้แกลาออก ไม่ได้ให้แกยุบสภา แต่แกก็อยู่ของแกไป แล้วผมก็พูดเรื่องปฏิรูปประเทศ และที่สำคัญที่ผมพูด ผมไลฟ์สดในรายการประชาชนคนไทย ผมบอกต้องเตรียมการรองรับสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ จะเกิดความขัดแย้งเป็นสงคราม” นิติธร กล่าว
ทนายนกเขา กล่าวต่อไปว่า มีเพียง 2 ครั้งเท่านั้นที่อำนาจประชาชนขึ้นสู่จุดสูงสุด คือเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และฑฤษภาทมิฬ 2535 เพราะมีผลไปถึงการร่างรัฐธรรมนูญ ประชาชนไม่มีปีกซ้าย-ปีกขวา แต่หลังจากนั้นเกิดการใช้รัฐธรรมนูญที่นำไปสู่การเป็นเผด็จการรัฐสภา ซึ่งที่น่าสังเกตคือ ข้อเรียกร้องของประชาชนฝ่ายต่างๆ มีความคล้ายคลึงกัน แต่ดูเหมือนประชาชนถูกทำให้แตกแยกกันจนมีกำลังไม่มากพอจะต่อรอง ซึ่งยังคงเป็นอยู่จนถึงปัจจุบัน จึงเห็นว่าควรหาทางวางและเดินกันใหม่ ให้ประชาชนกลับมาเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นที่มาของการไปพบและหารือกับจตุพร
โดยตนได้เสนอความเห็นว่า หากมองรัฐธรรมนูญ มีโครงสร้างการเมืองการปกครอง มีนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ ด้านความมั่นคงมีทหาร ด้านความปลอดภัยมีตำรวจ มีธนาคาร มีระบบการช่วยเหลือ มีกรรมาธิการ มีองค์กรอิสระ แต่ปัญหาของประชาชน ความเป็นอยู่ สิทธิเสรีภาพ สาธารณสุข การศึกษา การต่างประเทศ ผู้มีอิทธิพล คอร์รัปชั่น 90 ปีแล้วไม่มีใครแก้ แม้จะมีการแก้รัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย แต่ปัญหาเหล่านี้ไม่เคยถูกแก้ โดยเฉพาะการผูกขาด การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในโครงการต่างๆ ของรัฐ และการได้รับผลประโยชน์จากการใช้ทรัพยากรของประเทศ
“การเริ่มต้นอาจจะไม่ได้รับความสนใจ อาจจะมองเป็นดรามา อาจจะมองเรื่องผลประโยชน์ แต่เราทำมา 2 ปี ทำทุกวันเพื่อสื่อสารกับประชาชนว่าในมุมแบบนี้มันมีเรื่องลึกลับซับซ้อน มีฉากบังหน้า มีกระบวนการสมคบคิดอย่างไร ทำเรื่องหนึ่งแต่ต้องการให้ผลออกอีกอย่างหนึ่ง มีการใช้กฎหมายแบบไหน อ้างอิงกฎหมายแต่ให้เกิดผลตรงกันข้าม ค่อยๆ เติมความรู้ประชาชน เราไม่ได้ทำแค่ในกรุงเทพฯ เรา 2 คนเดินทางไปต่างจังหวัด ทุกคนไม่ต้องปฏิเสธ เห็นผมกับพี่ตู่ (จตุพร) ใครก็มองว่าคนละข้าง แต่ความที่มองปัญหาและเป็นประชาชนเหมือนกัน” นิติธร กล่าว
ทนายนกเขา ยังกล่าวถึงกรณี ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีซึ่งต้องคำพิพากษาคดีธุรกิจ แต่เมื่อกลับจากต่างประเทศและได้รับพระราชทานอภัยโทษ ลดโทษจำคุกจาก 8 ปีเหลือ 1 ปี เพียงวันแรก็ไปนอนชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจอยู่จนถึงปัจจุบัน ว่า หากเทียบกับ เปรมชัย กรรณสูต (เศรษฐีที่ต้องคดีล่าสัตว์ป่า) ในวันที่เข้าเรือนจำมองเห็นได้ว่ามีสภาพร่างกายเจ็บป่วย แต่ไม่เห็นแบบเดียวกับกับกรณีของทักษิณ
ซึ่งประเด็นสุขภาพของทักษิณ จริงๆ ในเรือนจำมีกล้องวงจรปิด อย่างน้อยก็น่าจะมีภาพที่บอกเหตุ เช่น มีอาการช็อก หรือมีคำถามว่า ปัจจุบันทักษิณมีบัตรนักโทษ มีการทำประวัติอาชญากรรมหรือไม่ ส่วนการอ้างว่าต้องมาพัก รพ.ตำรวจเพื่อทำซีทีสแกน จริงๆ การทำซีทีสแกนไม่ใช่เรื่องใหญ่ มีหลายอาการที่ทำซีทีสแกน ดังนั้นทำแล้วจะกลับไปโรงพยาบาลราชทัณฑ์ก็ได้ อีกทั้งยาต่างๆ ที่จำเป็น โรงพยาบาลใดๆ ก็สามารถทำเรื่องเบิกเรื่องซื้อได้ และสำคัญที่สุดคือข้อมูลของผู้ต้องขังจะอ้างเรื่องข้อมูลผู้ป่วยไม่ได้ เพราะเป็นข้อมูลราชการซึ่งเป็นข้อมูลสาธารณะ
“ตอนนี้เขาใช้เรื่องนี้เป็นเรื่องคุ้มครอง และอาศัยดุลพินิจของราชทัณฑ์เป็นหลัก แต่ต่อไปนี้เราจะตรวจสอบการใช้ดุลพินิจ การใช้ดุลพินิจไม่สามารถเอาตามใจหรืออยากจะตัดสินอย่างไร ให้ความเห็นอย่างไร การใช้ดุลพินิจตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันต้องอธิบายเหตุผลได้ ขะเป็นการใช้ดุลพินิจแบบไม่มีเหตุผลไมได้” ทนายนกเขา กล่าว
ด้าน จตุพร กล่าวว่า หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 ตนก็เข้าสู่เส้นทางการเมือง ตั้งแต่พรรคพลังธรรม พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย ตามลำดับ ทั้งนี้ สถาบันพระปกเกล้า เคยทำงานวิจัยสอบถามความคิดเห็นของแกนนำเสื้อเหลือง (กลุ่มพันธมิตรฯ) และเสื้อแดง (กลุ่ม นปช.) พบว่า ความคิดเห็นเหมือนกันถึงร้อยละ 90 คือต่างก็รักชาติบ้านเมืองเหมือนกัน เพียงแต่มีบางเรื่องที่คิดต่างกัน และเมื่อนำเรื่องชาติบ้านเมืองเป็นตัวตั้งก็เลยไปจากเรื่องของพรรคการเมือง จึงได้คุยกับทนายนกเขาในหลายเรื่อง ทั้งการเมืองไทยจนถึงสถานการณ์อินโด-แปซิฟิก
ส่วนเรื่องภายในพรรคเพื่อไทย ตนเป็นคนที่เห็นต่างกับอดีตนายกฯ ทักษิณ แล้วยังอยู่ในพรรคได้นานที่สุด ซึ่งกรณีกฎหมายนิรโทษกรรม เจตนารมณ์เดิมคือต้องการให้นิรโทษกรรมเฉพาะประชาชนทุกฝ่ายโดยไม่รวมถึงแกนนำ และเป็นคดีชุมนุมทางการเมืองเท่านั้นไม่มีคดีอื่นๆ มาเกี่ยวข้อง ซึ่งตนก็พยายามทำความเข้าใจกับพรรคพวกเดียวกันว่าแกนนำต้องให้ประชาชนก่อน และตนยังเชื่อว่า หากวันนั้นยังไปในแนวทางนี้ จะไม่ต้องมีประชาชนไปติดคุกจำนวนมาก ตนเป็นคนหนึ่งที่ท้กท้วงเรื่องสุดซอย แต่เมื่อแปลงเป็นสุดซอยก็ทำให้เกิดสถานการณ์จนนำไปสู่การยึดอำนาจ
แม้แต่เรื่องจำนำข้าว ตนก็เตือนในวงยุทธศาสตร์ของพรรคว่าให้หยุด พูดจนมองหน้าบางคนไม่ติด แต่เขาก็ไม่หยุดกัน กระทั่งมาถึงเรื่องนายก อบจ. เชียงใหม่ รณรงค์ประชามติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญจนถูกจับติดคุก แต่ไม่มีการซัดทอดพรรคทั้งที่พรรคมอบหมายให้ดำเนินการ แต่พรรคเพื่อไทยกลับไปส่งบุคคลอื่นลงสมัครนายก อบจ. เชียงใหม่ แทน ซึ่งปัจจุบันก็ถูก ป.ป.ช. ชี้มูลคดีเปลี่ยยนพยานหลักฐานในคดีทายาทเครื่องดื่มชูกำลังชนตำรวจเสียชีวิต นั่นเป็นจุดที่ทำให้ตนกับอดีตนายกฯ ทักษิณ ยืนคนละข้างกัน และหลังจากนั้นทนายนกเขา-นิติธร ก็เข้ามาหาตน
“พอเราปล่อยวางในสิ่งที่ภาษากฎหมายเรียกว่ามีประโยชน์เกี่ยวข้อง ความรู้สึกทางการเมืองลง ผมกับพี่นกเขาเราก็นั่งจัดรายการกันมาร่วม 2 ปีแล้ว ต่างคนต่างทำการบ้าน ไม่ได้มาบอกว่าจะพูดอะไร คือต้องการจะใช้ความคิดให้พี่น้องประชาชนฟัง แล้วก็พูดกันทุกวัน ผมว่าหลากหลายเรื่อง จากเรื่องเบาก็ดังมากตามลำดับ เพราะอะไรก็ตามที่เราสามารถพูดตามเนื้อผ้า เมื่อก่อนความเป็นตัวตนเป็นนักการเมืองสังกัด อีกฟากหนึ่งก็จะไม่เชื่อ ก็จะวิพากษ์บ้าง ฟากคัวเองก็จะดี ไม่ดีก็จะไม่พูด แต่พอมายืนอยู่จุดนี้พูดทุกฟาก” จตุพร กล่าว
จตุพร กล่าวต่อไปว่า ส่วนรัฐบาลปัจจุบัน หากว่าไปตามเนื้อผ้า ตนเห็นว่าประชาชนสู้กันมา ติดคุกตะราง ถูกยึดทรัพย์ แต่เมื่อบรรดาผู้มีอำนาจเขากลับไปจับมือกันหมด ที่เหลือก็คือภาคประชาชนที่ไปไหนไม่ถูก ดังนั้นประชาชนต้องคิดกันเอง เพราะการไปฝากอนาคตกับนักการเมืองหรือผู้มีอำนาจ ท้ายที่สุดเมื่อเจขาดีกันประชาชนไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน ทั้งนี้ ปัจจุบันความอยากทางการเมืองของตนลดลง และมีความสบายใจมากขึ้น อีกทั้งทุกวันนี้ไม่จำเป็นต้องหาทางไปพูดในสภา แต่พูดตรงไหนก็ได้อยู่ที่ประเด็นนำเสนอ
ส่วนเรื่องการที่อดีตนายกฯ ทักษิณ กลับมาแล้วไม่ต้องเข้าเรือนจำแต่ไปนอนโรงพยาบาล ตนเห็นว่า เมื่อเราเรียกร้องต่อสู้หาความยุติธรรม เราต้องปฏิบัติอย่างเสมอภาค เรื่องนี้ต้องยอมรับว่าประชาชนจำนวนมากไม่สบายใจ ตนเข้าเรื่อยจำติดอยู่ปีกว่าๆ ก็ถือว่าไม่น้อย แต่ปัญหาคืออดีตนายกฯ ทักษิณ ไม่เคยต้องเข้าคุกแม้แต่วันเดียว หลายคนอาจคิดว่าเวลานี้กระแสต่อต้านอาจยังไม่แรง แต่มันจะสะสมความรู้สึกของคน ลองคิดดู คนไทยดูหนังเรื่องเปาบุ้นจิ้นแล้วไปทัวร์เมืองไคฟงมากกว่าคนจีนเสียอีก หากความยุติธรรมในเมืองไทยไม่ได้ก็อุตส่าห์ไปหาถึงเมืองจีน
“เราก็จะอดทนรอคอย ทำความจริงให้ปรากฏชัด หมายความว่าถ้าประชาชนมีข้อเท็จจริง สะสมพร้อมทั้งข้อเท็จจริงและอารมณ์ความรู้สึกตามลำดับ ผมเชื่อว่าทั้งสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงปลายปีนี้ไปจนถึงต้นปีหน้า จะมีอะไรเปลี่ยนแปลง นี่ไม่นับกระดานโลก สงครามฮามาส-อิสราเอล ซึ่งอาจจะลุกลาม สถานการณ์ที่ทุกคนคาดไม่ถึง ผลลัพธ์ที่จะกระทบมายังประเทศไทยและคนไทยที่อยู่ที่นั่น ถ้ามันเกินกว่าความรู้สึกก็จะนำพาสู่การเปลี่ยนแปลงในประเทศเราเหมือนกัน ซึ่งขณะนี้เราไม่ได้เตรียมการรับมืออะไร” อดีตแกนนำ นปช. กล่าว
ทั้งนี้ สามารถรับฟังคลิปเต็มย้อนหลังได้ที่นี่ https://www.youtube.com/watch?v=DqrlU2yBEp0
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี