"อี้-แทนคุณ’ยกเคส‘สส.ก้าวไกล’ คุกคามทางเพศ พบ 3 เรื่องแแปลกในกระบวนการตรวจสอบ
1 ธ.ค. 2566 นายแทนคุณ จิตต์อิสระ รักษาการประธานคณะกรรมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเสมอภาคระหว่างเพศ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวในรายการ “แนวหน้าTalk” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ซึ่งมี นายจิตกร บุษบา เป็นพิธีกร ในประเด็นการไปร่วมเคลื่อนไหวกรณีคุกคามทางเพศในพรรคก้าวไกล ว่า ตนตั้งข้อสังเกตกระบวนการตรวจสอบของพรรคก้าวไกล ไม่ลงมติขับ นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ หรือปูอัด สส.กรุงเทพฯ ออกจากพรรคแต่แรก ว่ามีเรื่องแปลก 3 ประการ
1.การดำเนินการด้านสิทธิมนุษยชนต่อผู้ถูกละเมิดต้องคำนึงถึงสิทธิของผู้เสียหายเป็นหลัก ซึ่งจะมี 4 ขั้นตอน คือการค้นหาความจริง การเปิดเผยความจริงว่าใครผิด-ถูก การจัดการความจริง และการเยียวยา โดยกระบวนการทั้งหมดต้องจำกัดวงให้แคบที่สุด เพราะการไปป่าวประกาศว่าผู้เสียหายถูกกระทำอย่างไรบ้างโดยละเอียดยิบเปรียบได้เหมือนการกระทำซ้ำต่อผู้เสียหาย เช่น หากเป็นคดีข่มขืนแล้วนำเหตุการณ์นั้นมาเล่าโดยละเอียด ผู้เสียหายก็เหมือนถูกข่มขืนซ้ำ
ส่วนที่บอกว่านำข้อความทั้งหมดระหว่างผู้เสียหายกับผู้ถูกกล่าวหามานำเสนอในลักษณะให้คณะลูกขุนพิจารณา ตนมองว่าทำได้แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความไม่รู้ และตนเชื่อว่าต่อให้เป็นระบบศาลที่ใช้ลูกขุนก็ไม่ได้ทำแบบนี้เพราะมีการใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ เรื่องนี้ระบุไว้ในหลักกฎหมายและกระบวนการพิจารณาด้วยว่า คดีล่วงละเมิดที่ผู้เสียหายเป็นเด็กหรือผู้หญิง การสอบสวนต้องใช้สหวิชาชีพ ใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ หรือหากให้ผู้ชายไปถามก็อาจไม่เข้าใจและมองเป็นเรื่องเล็กๆ หรือเรื่องสมยอม กลายเป็นการเหยียดซ้ำเติมไปอีก
2.การตัดสินใจอุ้ม ปูอัด-ไชยามพวาน ของ สส. 22 คน จากการประชุมรอบแรกที่มี สส. ทั้งหมด 128 คน เรื่องนี้ทำให้ สส. อีกคนที่ถูกขับออกจากพรรคก้าวไกลตั้งแต่แรก คือ นายวุฒิพงศ์ ทองเหลา หรือแจ้ สส. จังหวัดปราจีนบุรี ออกมาตัดพ้อว่าเป็นเพราะไม่มีเส้นหรือไม่ไม่พวก เรื่องนี้สะท้อนวิกฤติที่หนักมากของพรรคก้าวไกล ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก ก่อนหน้านั้นมีกรณีผู้สมัคร สส. ถูกร้องเรียนเรื่องเดียวกัน คนหนึ่งถูกขับแต่อีกคนยังอุ้มให้อยู่ต่อ เพื่อแสดงให้เห็นว่าได้ดำเนินการแล้ว แต่กรณี สส. 2 คน เชื่อว่าหากไม่มีแรงกดดันจากสังคม ตนเชื่อว่า ปูอัด-ไชยามพวาน น่าจะยังรอด
และ 3.การเยียวยาผู้เสียหาย พรรคทำเพียงการขอโทษและขับผู้ถูกกล่าวหาออกไป แต่ผู้เสียหายเป็นอย่างไรบ้าง ความรู้สึกเขาเป็นอย่างไร มีการช่วยเหลือทางคดีต่อเนื่องหรือไม่ แต่ตนคิดว่าไม่มี ที่น่าเศร้าคือผู้เสียหายเป็นทีมงานพรรคบ้าง ผู้สนับสนุนพรรคบ้าง เหมือนกับรักทรยศ อย่างที่มีข้อความหนึ่งของผู้เสียหายซึ่งถูกนำมาเปิดเผย ระบุว่า ผู้เสียหายอุตส่าห์ตั้งใจมาฝากอนาคตไว้กับพรรคที่เขารักและเชื่อในอุดมการณ์ แต่วันหนึ่งเขาถูกทำร้ายแบบนี้และไม่มีใครช่วยเหลือเขาได้เลย
“เป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่า อันนี้คือตัวแปรหนึ่งที่เราทนไม่ได้ และเราคิดว่าต้องข้ามขอบเขตของความเป็นการเมืองในการทำงานร่วมกันในฐานะพรรคฝ่ายค้าน แต่ในความเป็นจริงแล้วความเป็นพรรคฝ่ายค้านมันไมได้ตั้งใจจะร่วมกันตกลงจะเป็น และที่สำคัญเราไมได้มองแค่จะไปรอด-ไม่รอด แต่เรามองคน เอาความเป็นสิทธิมนุษยชน เอาความเป็นมนุษย์เป็นตัวตั้ง แล้วหาวิธีช่วยเหลือจัดการ ไม่ใช่ว่าเป็นฝ่ายค้านด้วยกัน หรือแม้แต่ฝ่ายรัฐบาลด้วยกันแล้วจะไม่ตรวจกัน ก็ไม่ใช่” นายแทนคุณ กล่าว
นายแทนคุณ กล่าวต่อไปว่า นายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เคยพูดอยู่บ่อยๆ เกี่ยวกับหลักธรรมาภิบาล 6 ข้อ ซึ่งท่านอยากให้มีข้อที่ 7 หรือการปฏิบัติ ไม่เช่นนั้นก็จะมีแต่หลักการสวยหรูแต่การปฏิบัติไมได้เป็นแบบนั้น อย่างเรื่องสิทธิมนุษยชน ตั้งแต่ต้นทางคือเราไม่ละเมิด แต่เมื่อเกิดการละเมิดแล้วกระบวนการเป็นอย่างไรต่อ และมีท่าทีอย่างไรกับผลลัพธ์นั้น
ซึ่งตนได้รับมอบหมายให้ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนมา 4 ปีเต็ม ทราบดีเกี่ยวกับประเด็นความรุนแรงโดยเฉพาะต่อผู้หญิง ว่า ประเทศไทยมีปัญหาเรื่องการตีความและความเข้าใจในกระบวนการปฏิบัติ เช่น เกิดเหตุแล้วจะทำอย่างไร ซึ่งสังคมไทยยังมีค่านิยมแบบชายเป็นใหญ่ ทำให้การกดขี่ทางเพศเป็นเรื่องปกติ เช่น มีกรณีผู้หญิงแต่งงานอยู่กินกับสามีมานาน 16 ปี ถูกสามีทำร้ายร่างกายเป็นประจำเมื่อสามีเมาสุรา
แต่ที่ฝ่ายหญิงไม่ยอมหย่าร้างแยกตัวออกมาก็เพราะมองว่าเวลาปกติฝ่ายชายก็ดูเป็นคนดี จะมีปัญหาก็แต่เฉพาะตอนเมา อีกทั้งเมื่อไปแจ้งความตำรวจก็บอกว่าเป็นเรื่องผัวเมีย วันนี้แจ้งจับเดี๋ยวสักพักก็มาถอนแจ้งความอีก ก็ให้ทนๆ กันไป ซึ่งสำหรับตนหากมองด้วยวิธีคิดแบบศาสนาพุทธ ก็ต้องมองไปที่สาเหตุของปัญหา ซึ่งกรณีนี้คือพฤติกรรมดื่มจัด จากนั้นก็หากระบวนการว่าจะทำอย่างไรต่อไป แต่เบื้องต้นเราต้องไม่มองเรื่องพวกนี้ด้วยความเป็นอื่น
“อันนี้เป็นหลักสากลเลยนะ คือไม่มองความรุนแรงในครอบครัว ความรุนแรงต่อเนื้อตัวร่างกาย การละเมิดด้านสิทธิมนุษยชน เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล เหมือนที่คอมเมนต์ในด้อมส้มเขาพูด ไปหิวแสง เรื่องของเขา มันเรื่องเฉพาะบุคคล แน่อนเดิมทีเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล แต่พอมันเข้าสู่กระบวนการจัดการพรรคแล้ว มีการลงมติ มีการทราบแล้วยังอุ้ม แสดงว่ามันไม่ใช่เรื่องบุคคลแล้ว แต่เป้นเรื่องของพรรคการเมืองหนึ่งซึ่งแสดงให้เห็นการจัดการและวิธีคิดของพรรคนี้มีปัญหาหนัก อย่างน้อย 22 สส. มีปัญหาหนัก” นายแทนคุณ กล่าวย้ำ
ชมคลิปเต็มได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=Dno_pcRFEcw
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี