เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2566 นายราเมศ รัตนเชวง รักษาการโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวในรายการ “แนวหน้าTalk” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ซึ่งมี นายปรเมษฐ์ ภู่โต เป็นพิธีกร ว่า ในคำถามเรื่องที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์มักพูดถึงแต่นโยบายเก่าๆ ที่เคยทำมา ซึ่งอีกมุมหนึ่งอาจหมายถึงการสื่อสารถึงอนาคตได้ไม่ดีเท่ากับพรรคการเมืองอื่นๆ หรือไม่ ว่า โครงการในอดีต เช่น เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ กองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) มีการต่อยอดให้เข้ากับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันอยู่ตลอด
แต่คำถามนี้ก็เป็นคำถามที่ดี ตนเห็นว่าการสื่อสารเรื่องอนาคตของการพัฒนา เรื่องของแนวทางการนำพาพรรคไปตอบโจทย์ของประชาชน การแก้ไขปัญหาต่างๆ การแสดงจุดยืนทางการเมือง และตนเชื่อว่าการปรับโครงสร้างพรรคครั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้นต่อไป การแสดงจุดยืนทางการเมืองก็เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งตนตกใจไม่น้อยที่เห็นคะแนนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ครั้งล่าสุดในปี 2566 พรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนรวมเพียง 9 แสนกว่าคะแนนเท่านั้น แต่เมื่อเห็นสภาพพื้นที่จริงก็เข้าใจปัญหามากขึ้น และต้องนำสิ่งที่เห็นนั้นมาปรับแก้ไข
“ผมยกตัวอย่างการที่กว่าจะออกมาแต่ละเรื่องจากพรรคประชาธิปัตย์ ต้องผ่านกระบวนการประชุมกันในการหารือกันหลายๆ ฝ่าย วันหนึ่งมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นต้องแสดงจุดยืนทางการเมือง ห้วงเวลาของข่าวมันก็จะผ่านไปเร็วมาก วันนี้พูดถึงเรื่องนี้ มีข่าวประมาณ 2 วัน ฉะนั้นจุดยืนในทางการเมืองสำคัญที่สุด จุดยืนทางการเมืองในบางครั้งถ้าเกิดมันอาจประกาศมาช้าหรือมีการแสดงทิศทางทางการเมืองที่ออกมาไม่รวดเร็วพอ อันนี้เป็นสิ่งที่พี่น้องประชาขนก็คิดเช่นกันว่า ประชาธิปัตย์มีท่าทีกับการเมืองประเด็นที่สังคมกำลังถกเถียงอยู่ขณะนี้อย่างไรบ้าง” นายราเมศ กล่าว
นายราเมศ กล่าวต่อไปว่า ในฐานะโฆษกพรรค หลายเรื่องตนไม่สามารถแสดงความคิดเห็นไปล่วงหน้าได้ เพราะพรรคยังไม่มีท่าทีอย่างเป็นทางการ หากตนไปทำเหมือนคนอื่นๆ ในพรรคที่พูดอย่างหนึ่งไปก่อนแต่ต่อมาพรรคมีท่าทีอีกอย่างหนึ่ง ความเสียหายจะไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับคนพูด แต่จะเกิดขึ้นกับสถาบันทางการเมืองมากที่สุด ประชาชนจะตั้งคำถามว่าตกลงแล้วพรรคประชาธิปัตย์จะเอาอย่างใรในเมื่อคนนั้นพูกอย่างหนึ่งแต่คนนี้พุดอีกอย่างหนึ่ง ดังนั้นตนก็ต้องระวัง จะแถลงอะไรก็ต้องอยู่ในหลักในเกณฑ์เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายขึ้นกับพรรค
ประการต่อมา ตนเห็นว่าสถานการณ์ทางการเมืองมันเปลี่ยนไปหมด อย่างช่วงก่อนเลือกตั้งครั้งล่าสุด ตนลงพื้นที่พบชาวบ้านแทบทุกหลังคาเรือน แต่สิ่งที่เห็นคือกระบวนการจัดการในช่วง 2 วันสุดท้ายก่อนถึงวันเลือกตั้ง จึงเรียกร้องให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีบทบาทเชิงรุก ลงพื้นที่ตรวจสอบให้เห็นว่ามีกระบวนการซื้อสิทธิ์-ขายเสียงอยู่จริง ก็จะเป็นประโยชน์เพราะเป็นการคัดกรองบุคคลที่จะเข้าไปทำหน้าที่แทนประชาชน
ทั้งนี้ ในช่วงเลือกตั้ง ในเขตพื้นที่ที่ตนลงสมัคร ตนทราบว่ากระแสของพรรคประชาธิปัตย์ไม่ดีเท่าที่ควร จึงพยายามไปปราศรัยแทบทุกวัน และอธิบายตลอดว่าการเลือกตั้งอย่างสุจริตเป็นการเลือกผู้แทนเข้าไปต่อสู้เคียงข้างประชาชน ทั้งสิทธิในที่ดินทำกิน ซึ่งเขตพื้นที่นั้นมีปัญหาสูงถึงร้อยละ 70 รวมถึงปัญหาการเข้าถึงแหล่งน้ำกิน-น้ำใช้ มีมูลค่ามากกว่าการตัดสินใจเลือกตามเงินที่ได้รับมา 500 - 1,000 บาท
“พรรคการเมืองบางพรรคไม่ใช้วิธีการหาเสียงโดยการเข้าถึงพี่น้องประชาชนเลย คือมีกระบวนการจัดการวางแผนทั้งหมด กระบวนการในการไปจดชื่อบุคคลแต่ละหมู่บ้านให้ได้มากที่สุด วางแกนนำ วางเครือข่ายต่างๆ แล้วก็มีการปฏิบัติงานในช่วง 2 วันสุดท้าย ซึ่งข้อมูลที่พรรคตามเก็บที่จริงแล้วคะแนนก็สูสีกัน ผมว่าก็เกือบทุกเขต แต่ปัจจัยมาเปลี่ยนไปช่วง 2 วันสุดท้าย” นายราเมศ ระบุ
นายราเมศ ยังกล่าวอีกว่า ในอดีตที่มีคำกล่าวว่าในภาคใต้ไม่มีการซื้อสิทธิ์-ขายเสียง แต่ระยะหลังๆ ยอมรับว่าเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น โดยริ่มตั้งแต่การเมืองระดับท้องถิ่น เพราะมีนักการเมืองไปสร้างวัฒนธรรมที่ผิดๆ ให้กับประชาชน อย่างตนไปหาเสียงเลีอกตั้ง หากประชาชนถามว่าพรรคโน้นให้เท่านั้น พรรคนั้นให้เท่านี้ ซึ่งประชาชนก็สะท้อนให้ฟัง ตนก็คิดในใจว่าให้เอาเงิน 50 – 60 ล้านบาทมาซื้อเสียงแล้วผมเข้าไปยืนพูดอยู่ในสภา ก็มองว่าขัดกับอุดมการณ์ของตน ขัดกับหลักความซื่อสัตย์สุจริตบนวิถีทางการเมือง และไม่ใช่สิ่งที่น่าภูมิใจ
ทั้งนี้ ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ นายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภาได้สนับสนุนโครงการการเมืองสุจริตและต่อมาเปลี่ยนเป็นโครงการบ้านเมืองสุจริต เพราะต้องการปลูกฝังค่านิยมปฏิเสธการซื้อสิทธิ์-ขายเสียงในการเลือกตั้งให้กับเด็กและเยาวชน แม้จะต้องรอกันเป็นสิบปีกว่าจะเห็นผล แต่ตนเห็นว่าเป็นสิ่งที่ทุกองค์กรต้องเริ่มทำ ไม่เช่นนั้นก็จะต้องพูดกันอยู่แต่ปัญหาเดิมๆ
“ถ้าเราปลูกฝังให้น้องๆ ที่เรียนชั้นประถม ชั้นมัธยม ขึ้นมหา’ลัยแล้วก็จะต้องมีการพูดคุยเรื่องนี้ให้เห็นถึงความร้ายแรงว่า ถ้าเกิดเขาลงทุนซื้อเสียง 40 ล้าน ไม่มีทางที่เขาลงทุนแล้วจะไม่ไปถอนทุนคืน เขาไปกินเงินเดือนแสนกว่าบาทเอง คำนวณอย่างไรเสียมันไม่ถึง 40 ล้าน 50 ล้านแน่นอน อัตราเงินเดือนต่อให้รวมเบี้ยประชุมด้วย อะไรก็แล้วแต่ ผมว่านี่คือสิ่งที่เราต้องพยายามทำให้เห็นว่าการเมืองสุจริตมันเป็นสารตั้งต้นที่จะเป็นแสงสว่างในการพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองในวันข้างหน้า” รักษาการโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี