‘หนาว-พิเชษฐ’ผู้จัดการไปทั่ว บริษัท ธรรมธุรกิจ วิสาหกิจเพื่อสังคม แนะวิธีการแก้ปัญหาเกษตรกรไทยแบบยั่งยื่น ชี้ต้องเปลี่ยนวิธีคิด ‘ปลูกให้พอกินก่อน’เหลือค่อยขาย เผยตอนนี้มีตลาดนัดธรรมชาติไปเก็บผักจากชาวนาที่เขาปลูกตามหัวไร่ปลายนา และบ้านที่เขาเหลือกินจากเชียงใหม่ เอามาขายที่โรงเรียนชาญวิทย์ พระราม 9 ซอย 17 แล้วโตขึ้นเรื่อยๆ จนมันต้องมีที่เก็บผักแล้ว ตอกย้ำศาสตร์พระราชาและภูมิปัญญาท้องถิ่นแก้ปัญหาได้
19 ธ.ค. 2566 นายพิเชษฐ โตนิติวงศ์ หรือ หนาว ผู้จัดการไปทั่ว บริษัท ธรรมธุรกิจ วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด กล่าวในรายการ “แนวหน้าTalk” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ซึ่งมี นายบุญยอด สุขถิ่นไทย เป็นพิธีกร ในประเด็นปัญหาของภาคเกษตรไทยและทางออก ว่า ตนเคยไปเรียนกับ นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร หรือ อาจารย์ยักษ์ ประธานมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพราะอยากนำความรู้ไปช่วยเหลือชาวนา ซึ่งอาจารย์ยักษ์ไม่ได้สอนการปลูกข้าว แต่สอนหลักคิดว่าชาวนาต้องปลูกข้าวให้พอกินก่อน เหลือจึงค่อยขาย
"ถ้าคิดที่จะปลูกเพื่อขายก่อน หาเงินก่อนแล้วสุดท้ายเอาเงินกลับมาซื้อกิน ชาวนาทั้งประเทศเป็นแบบนี้ การเกษตรประเทศไทยมันถึงแก้ปัญหาไม่ได้ รัฐบาลไหนขึ้นมาก็จะเอายาเม็ดเดียวแก้มันทุกโรค มันเป็นไปไม่ได้ อันนี้คือสิ่งที่เรารู้สึกได้เลยว่าภาครัฐอยากจะทำอะไรทำไป แต่เราในฐานะภาคเอกชนแล้วเราได้เจออาจารย์ยักษ์ ได้เจอพี่โจน (โจน จันได) เรารู้สึกว่าองค์ความรู้แบบนี้ที่เรียกว่าศาสตร์พระราชาและภูมิปัญญาท้องถิ่น มันน่าจะแก้ปัญหาได้” นายพิเชษฐ กล่าว
นายพิเชษฐ กล่าวต่อไปว่า ตนเคยเหมารถพาชาวนาจาก จ.เชียงใหม่ ไปอบรมที่ศูนย์การเรียนรู้ของอาจารย์ยักษ์ แล้วกลับไปทำนา ตอนนี้มีผลิตภัณฑ์ข้าวกล้องสันป่าตอง ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมี ทำมาแล้ว 10 ปี เป็นข้าวเหนียวที่เป็นข้าวกล้องแต่สามารถหุงกินได้แบบข้าวสวย นี่คือจุดเริ่มต้นเมื่อ 10 ปีก่อน กระทั่งปัจจุบันมีร้านอาหาร “ยักษ์กะโจน” ที่บรรทัดทอง ใกล้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับที่หมู่บ้านสัมมากร
โดยสิ่งที่ทำนี้คือการเปลี่ยนความคิดเกษตรกร ไม่ใช่สั่งให้เกษตรกรทำเกษตรอินทรีย์แล้วรับผลผลิตมาขาย ที่ผ่านมาสื่อมวลชนจะชอบถามตนว่า สิ่งที่ธรรมธุรกิจทำอยู่คือการแก้ปัญหารายได้ หนี้สิน หรือความยากจนของเกษตรกรใช่หรือไม่ ตนบอกว่าไม่ใช่ แต่เป็นการแก้ปัญหาชีวิต คือเปลี่ยนวิธีคิดเป็นปลูกพืชให้พอกินก่อน ส่วนบริษัทของตนนั้นค่อยไปเก็บของที่เหลือมาให้คนในเมืองได้กิน และตนอยากบอกว่าให้เลิกพูดเสียทีคำว่าซื้อข้าวเพื่อช่วยเหลือชาวนา หรือซื้อผักเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร เพราะเราไปขอของดีที่เขามีเหลือมาให้คนเมือง ส่วนเกษตรกรเขารอดอยู่แล้ว
“เริ่มต้นจริงๆ เราจัดตลาดนัดธรรมชาติก่อน ก่อนโควิด ที่วัดพระราม 9 ปี 2559 ในกรุงเทพฯ เลย เริ่มต้นจากตรงนั้นเลย ทุกเสาร์ – อาทิตย์ ผมเริ่มต้นที่วัดพระราม 9 ไปเก็บผักจากชาวนาที่เขาปลูกตามหัวไร่ปลายนาที่บ้านเขาเหลือกิน จากเชียงใหม่ เพราะข้าวสันป่าตองอยู่เชียงใหม่ ชาวนาอยู่เชียงใหม่ เอามาขายที่วัดพระราม 9 แล้วโตขึ้นเรื่อยๆ จนมันต้องมีที่เก็บผักแล้ว วัดพระราม 9 ไม่มีที่เก็บ ตอนนั้นขนไปเช้า – เย็นกลับเลย เสาร์ – อาทิตย์ จนสุดท้ายโรงเรียนชาญวิทย์ พี่หน่อง – กัลยาณี อนุญาตให้ใช้พื้นที่โรงเรียนร้างเป็นตลาดนัด เราย้ายจากวัดพระราม 9 มาที่โรงเรียนชาญวิทย์ พระราม 9 ซอย 17 ใกล้ๆ กัน” นายพิเชษฐ ระบุ
นายพิเชษฐ ยังกล่าวอีกว่า หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย มีเศรษฐีมอบห้องเย็นแถวรามอินทรา 109 ให้ใช้ คราวนี้สามารถรวบรวมผลผลิตได้มากขึ้นทั้งจาก จ.เชียงใหม่ จากภาคตะวันออกเฉียงหรือ และจาก จ.ชุมพร กระทั่งนำมาสู่การเปิดร้านอาหาร ลูกค้าหลักคือกลุ่มคนที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
ชมคลิปเต็มได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=U5DJrvhHBnQ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี