วันที่ 25 ธันวาคม 2566 นายธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวในรายการ “แนวหน้าTalk” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ซึ่งมี นายบุญยอด สุขถิ่นไทย เป็นพิธีกร ว่าด้วยความพยายามผลักดันกฎหมายรับรองการแต่งงานของเพศเดียวกัน หรือสมรสเท่าเทียม ว่า มีร่างกฎหมายถึง 4 ฉบับในเรื่องนี้ ทั้งของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ของพรรคก้าวไกล ของพรรคประชาธิปัตย์ และของภาคประชาชน โดยภาพรวมกฎหมายส่วนใหญ่มีสาระสำคัญเหมือนกัน แต่จะต่างกันบ้างในรายละเอียด
เช่น 1.อายุขั้นต่ำของผู้ที่สามารถแต่งงานกันได้ โดยร่างของ ครม. ให้ที่ 17 ปี แต่ของพรรคก้าวไกลจะอยู่ที่ 18 ปี เพราะต้องการให้สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก อีกทั้งเป็นเรื่องความเท่าเทียมทางเพศที่ไม่ควรมีใครถูกบังคับให้แต่งงานก่อนวัยอันควร 2.เหตุแห่งการฟ้องหย่า ร่างของ ครม. ใช้ถ้อยคำตามกฎหมายเดิมที่มีอยู่ คือกรณีกระทำตนเป็นปรปักษ์กับคู่สมรสอย่างร้ายแรง แต่ของพรรคก้าวไกลตัดคำว่า “อย่างร้ายแรง” ออก เพราะอาจมีปัญหาการตีความว่าอย่างไรถือว่าร้ายแรง ซึ่งไม่ต้องการให้รอเหตุการณ์ไปจนถึงเลือดตกยางออก
3.บทกำหนดเฉพาะสำหรับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส) 4.ร่างของ ครม. กับของพรรคก้าวไกล ยังใช้คำว่า “บิดามารดา” เหมือนกฎหมายเดิม เพราะคู่สมรสที่เป็นเพศเดียวกันไม่ได้มีบุตรด้วยการมีเพศสัมพันธ์ ดังนั้นบทบิดามารดาจึงไม่จำเป็นต้องใช้ แต่ก็เปิดโอกาสให้คู่สมรสเพศเดียวกันรับบุตรบุญธรรมได้ ขณะที่ของภาคประชาชนเปลี่ยนเป็นคำว่า “บุพการี” ซึ่งก็ต้องไปดูที่ชั้นคณะกรรมาธิการ (กมธ.) เพราะคำคำนี้รวมไปถึงปู่ย่าตายายลุงป้าน้าอาด้วย คือภาคประชาชนไม่อยากใช้คำว่าบิดามารดา แต่ก็จะมีประเด็นขอบเขตความรับผิด
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าคนเรามีความรักเกิดขึ้ได้ทุกเพศ และในความเป็นจริงก็มีกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน เพียงแต่ไม่มีทะเบียนสมรสทำให้ไม่มีสิทธิ์หลายประการ เช่น การเซ็นรักษาพยาบาลให้กับคู่สมรส หรือกรณีฝ่ายหนึ่งเป็นข้าราชการหรือพนักงานรัฐวิสาหกิจแต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้สิทธิ์ที่พึงได้ ตลอดจนการลดหย่อนภาษีสำหรับคนมีคู่สมรส การทำประกันสุขภาพ การจัดการทรัพย์สินที่หาได้ระหว่างใช้ชีวิตร่วมกัน การจัดการมรดก เป็นต้น ซึ่งการมีกฎหมายสมรสเท่าเทียม ก็จะทำให้คู่สมรสที่เป็นเพศเดียวกันได้สิทธิ์ต่างๆ เหล่านี้เหมือนคู่สมรสชาย – หญิงทั่วไป
ส่วนประเด็นการตั้ง กมธ. หลังร่างกฎหมายผ่านวาระ 1 เท่าที่ทราบคืออาจมีการนัดประชุมวันที่ 3 ม.ค. 2567 แต่ก็ต้องรอดูก่อนเพราะวันดังกล่าวก็มีการอภิปรายร่างงบประมาณรายจ่าย 2567 ด้วย ซึ่งโดยทั่วไปจะไม่มีการประชุม กมธ. แต่หลังจากรับฟังความคิดเห็นและปรับร่างกฎหมายแล้ว ก็จะเข้าสู่การพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร ในวาระ 2 เป็นรายมาตรา หากผ่านแล้วก็จะไปวาระ 3 หากผ่านก็จะไปที่การพิจารณาของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ตามลำดับ
อนึ่ง หากย้อนไปในสภาผู้แทนฯ ชุดที่แล้ว ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จริงๆ ร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่านวาระ 1 รวมถึงผ่านการพิจารณาในชั้น กมธ. แล้ว แต่ที่ไม่ได้ไปต่อในเพราะเวลานั้นมีปัญหาเรื่องกฎหมายว่าด้วยกัญชา ทำให้ไม่ได้ถูกนำเข้ามาพิจารณาในวาระ 2 ทั้งนี้ หากถามว่าร่างกฎหมายจะผ่านหรือไม่ ตนเชื่อว่าผ่านแน่นอน อาจไม่ได้ใช้คำว่า 100% แต่บรรยากาศก็ดูดีขึ้น
“เรื่องเร็วแค่ไหน โดยส่วนตัวคิดว่าภายในปีหน้า แต่ว่าจากที่ได้ยินเรื่องอินเตอร์ไพรด์ (Inter Pride) การ Bid (เสนอตัวเป็นเจ้าภาพ) การที่จะจัดเป็นเวิร์ลไพรด์ (World Pride) มันจะเกิดขึ้นพฤษภาคม นั่นหมายถึงถ้าก่อนพฤษภาคมสมรสเท่าเทียมไม่เสร็จ ประเทศเราก็จะไม่มีคุณสมบัติในการ Bidding ไพรด์ เพราะเรายังไม่มีกฎหมาย LGBT โดยการ Bidding ของปี 2028 (2571) จะเกิดขึ้นพฤษภาหน้า (ปี 2024 หรือ 2567)” นายธัญวัจน์ กล่าว
นายธัญวัจน์ กล่าวเสริมในเรื่องชองงานเวิร์ลไพรด์ ซึ่งเป็นเทศกาลเฉลิมฉลองของผู้มีความหลากหลายทางเพศจากทั่วโลก ว่า ตนมองเป็นการเปิดเศรษฐกิจจากทั่วโลก ประเทศไทยจะถูกมองว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ และไม่ใช่เป็นการจัดงานโดยไม่มีกฎหมายรองรับ เพราะเราก็ให้ความสำคัญในด้านสิทธิด้วย และมีผลต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศที่จะเดินทางมาประเทศไทยตลอดทั้งปีไม่เฉพาะแต่ช่วงเทศกาล จะเป็นการเปิดการท่องเที่ยวของประเทศในระดับใหญ่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี