‘รมช.คลัง’เสียงอ่อย‘ดิจิทัลวอลเล็ต’อาจเสร็จไม่ทัน พ.ค.นี้ แต่ดึงดันเดินหน้าต่อ ล้อมวงถกความเห็น‘กฤษฎีกา-ป.ป.ช.’ ป้องขัดกฎหมาย อัดมีหน่วยงานตั้งธงขวาง เป็นหน้าที่ ‘รัฐบาล’ต้องทำความเข้าใจทุกฝ่าย ขอเห็นใจคนเดือดร้อน ลั่นทุนนิยมแบบไร้หัวใจที่ผ่านมาไม่เคยสำเร็จ แจงไม่ใช่ดันทุรัง แต่เห็นปัญหาประเทศ
เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 17 มกราคม 2567 ที่รัฐสภา นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง แถลงชี้แจงข้อสงสัยต่อกรณีโครงการดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาลว่า คณะกรรมการนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตได้เลื่อนการประชุมจริงเมื่อวันที่ 16 ม.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากมีเอกสารข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จึงเห็นว่าควรเลื่อนการประชุมก่อน เพื่อรอให้เอกสารของ ป.ป.ช. มาถึงพร้อมกัน แล้วประชุมคณะกรรมการนโยบายฯ ทีเดียว เพื่อกำหนดแนวดำเนินการต่อไป
นายจุลพันธ์ กล่าวต่อว่า เอกสารของ ป.ป.ช. แสดงความเห็นค่อนข้างตรงและแรงพอสมควรในการคัดค้านการดำเนินนโยบาย รัฐบาลก็รับฟังและนำมาพิจารณาประกอบ ขณะนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าเอกสารดังกล่าวเป็นทางการแล้วหรือไม่อย่างไร ซึ่งมี น.ส.สุภา ปิยะจิต อดีตกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะประธานคณะกรรมการเพื่อศึกษาและดำเนินการรับฟังความเห็นเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ตเป็นผู้ทำข้อเสนอแนะดังกล่าวมา โดย น.ส.สุภา เป็นผู้ที่ติดตามนโยบายของรัฐบาลจากการเลือกตั้งมาตลอดอยู่แล้ว และในเวลานี้รัฐบาลก็รอความชัดเจนในเรื่องเอกสารของ ป.ป.ช.
นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ยืนยันว่า รัฐบาลพร้อมรับฟังทุกความเห็น ตั้งแต่ข้อเสนอแนะในทางกฎหมายของคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ไม่ได้เป็นการไฟเขียวหรือไฟแดง ไม่ได้ห้าม และไม่ได้สั่งการให้เดินหน้า เพราะไม่ใช่หน้าที่ แต่ความเห็นของ ป.ป.ช. ค่อนข้างชัดเจนว่ามีการวางธงให้โครงการนี้เดินหน้าไม่ได้ แม้ว่านโยบายเงินดิจิทัลจะได้รับการรับรองจากประชาชนก่อนการเลือกตั้ง และแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้วก็ตาม ซึ่งบางกลุ่มองค์กร เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ป.ป.ช. มีความเห็นแตกต่าง ที่อาจยังมองไม่เห็นว่าประเทศกำลังตกอยู่ในวิกฤตตามที่รัฐบาลบอก
“วิกฤตนี้ไม่ใช่เรื่องโครงสร้างทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่เป็นวิกฤตการเห็นอกเห็นใจพี่น้องประชาชนที่มีความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ คือทุนนิยมที่ไม่มีหัวใจจะไปเข้าใจผู้ที่เดือดร้อน มันแสดงให้เห็นมาตลอดว่าล้มเหลว รัฐบาลชุดปัจจุบันเราเดินทางไปทั่วประเทศ เราเห็นถึงความเดือดร้อนของประชาชน โดยเฉพาะในต่างจังหวัด เราไม่ได้ทำงานในห้องแอร์ วันนี้พี่น้องประชาชนทั่วประเทศต้องการการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่” นายจุลพันธ์ กล่าว
เมื่อถามว่า หลายหน่วยงานทั้งกฤษฎีกา และป.ป.ช. ขอให้มีการทบทวนโครงการนี้เพราะกลัวจะซ้ำรอยรับจำนำข้าว นายจุลพันธ์ กล่าวว่า เราก็รับฟังประเด็นนี้ ไม่ว่าประชาชนหรือหน่วยงานใดมีข้อคิดเห็น รัฐบาลก็มีหน้าที่รับฟัง เปิดรับความคิดเห็นหลากหลายตนไม่เคยพูดว่าทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน 100% แต่อยากให้ทุกฝ่ายเห็นถึงความเดือดร้อนของประชาชน ว่าขณะนี้เศรษฐกิจไม่ได้ดีและต้องการกระตุ้น และสามารถเดินหน้าโครงการได้ เป็นวัตถุประสงค์ที่เราคาดหวัง
นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ตอนนี้ที่เราได้เห็นหนังสือของคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นคำตอบเชิงกฎหมาย ไม่มีไฟเขียวไฟแดง และไม่ได้สั่งการให้เดินหน้า มีแต่ความเห็นเรื่องกฎหมายซึ่งเรามีหน้าที่รับฟังและปฏิบัติตาม แต่เมื่อมีหนังสือของป.ป.ช.มา ก็ค่อนข้างชัดเจนว่ามีการวางธง ไม่ให้โครงการนี้เดินหน้า แม้นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตจะได้รับการรับรองจากประชาชนผ่านการเลือกตั้ง และได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว ก็ยังมีความเห็นขององค์กรอื่นอาทิ ป.ป.ช. หรือ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่แตกต่าง ซึ่งอาจจะยังไม่เข้าใจในสิ่งที่รัฐบาลกำลังทำ ทั้งนี้ วิกฤตในขณะนี้ไม่ใช่แค่การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ตกต่ำ หรือเรื่องโครงสร้างทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่เป็นวิกฤตการเห็นใจประชาชนที่มีความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ ทุนนิยมที่ไม่มีหัวใจแสดงให้เห็นมาตลอดว่าล้มเหลว รัฐบาลไม่ได้มองเศรษฐศาสตร์เป็นแค่หนังสือแบบเรียน แต่เรามองในมิติความเป็นจริง และในมิติชีวิตของประชาชนที่เดือดร้อนด้วย
“ผมต้องเรียนว่าวันนี้ถ้าดูกรอบเวลาไม่น่าทันเดือนพ.ค. รัฐบาลยืนยันว่าต้องดำเนินนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตต่อไป ถึงแม้จะไม่สามารถทันกรอบเวลาในเดือนพ.ค. เพราะเมือดูจากข้อคิดเห็นจากสิ่งที่ออกมาต่อจากนี้เราคงต้องรอให้ทาง ป.ป.ช.ส่งหนังสือมาทางเรา และต้องเชิญคณะกรรมการนโยบายมาประชุม เพื่อนำเอาความเห็นของทั้งป.ป.ช.และกฤษฎีการามาพิจารณาในครั้งเดียวกัน และเริ่มกระบวการรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมในการทำความเข้าใจกับหน่วยงานหรือองค์กรใดๆก็ตามที่ยังไม่เห็นถึงเจตนาดี ที่รัฐบาลพยายามทำ เราต้องสื่อสารจนทุกฝ่ายมีความเข้าใจตรงกัน และเดินหน้านโยบายนี้ให้ได้ในที่สุด” รมช.คลัง กล่าว
เมื่อถามว่า หากเดินหน้าโครงการนี้ต่อจะไม่หวั่นว่าใช่หรือไม่หากเกิดคดีทางการเมืองตามมา นายจุลพันธ์ กล่าวว่า เราถึงต้องทำความเข้าใจกับหน่วยงานต่างๆ รัฐบาลชุดนี้ไม่ได้เป็นอนุบาลทางการเมือง เราเห็นอยู่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร สิ่งที่ทำคืออะไร เรามีหน้าที่ทำทุกอย่างให้เป้นไปตามกรอบของกฎหมาย เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากทุกภาคส่วน และแก้ปัญหาให้กับประชาชน
เมื่อถามว่า จะล้มเลิกการออกเป็นพ.ร.บ.กู้เงิน ใช่หรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ไม่ใช่ สุดท้ายก็ต้องรอให้คณะกรรมการได้พูดคุยและตัดสินใจว่าจะเดินหน้าอย่างไร ดังนั้น ตนขอไม่ให้คำตอบในนาทีนี้ เมื่อถามย้ำว่า จะมีหนทางอื่นอีกหรือไม่นอกจากการออกเป็นพ.ร.ก.หรือพ.ร.บ.กู้เงิน นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ยังไม่ได้พูดคุย
นายจุลพันธ์ กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้เมื่อดูจากอุปสรรคที่เห็นเรามองว่ากลไกที่จะผลักดันโครงการนี้ให้ทันเดือนพ.ค.นี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แต่จะพยายามให้ได้มากที่สุด อย่างไรก็ตามกระบวนการต่างๆทั้งการฟังความเห็น และการทำความเข้าใจต้องใช้เวลา ในส่วนกรอบเวลานั้น ยังไม่มี
เมื่อถามว่าหากโครงการนี้เดินหน้าต่อไม่ได้ จะมีแผนสำรองในการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบอื่นหรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ตนยังไม่ให้คำตอบว่าไปไม่ได้ อย่างไรก็ตามกลไกของภาครัฐมีเยอะ เรามีศักยภาพเพียงพอในการหาหนทางในการช่วยเหลือประชาชน ยังมีหนทางอีกจำนวนมาก ในส่วนของโครงการนี้จะมีจุดจบหรือไม่นั้น ยังไม่ถึงจุดที่สามารถตอบได้ แต่ยังไม่เห็นจุดนั้น และเราจะเดินหน้าต่อไป
เมื่อถามว่า หลังจากนี้รัฐบาลจะถอยอีกหรือไม่ เช่น ลดวงเงินหรือลดกลุ่มเป้าหมายในการแจก นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ยังไม่ได้พูดคุยกัน ได้ยินแค่จากสื่อ แต่ยืนยันว่าเป้าหมายในการแจกจะยังเป็น 50 ล้านคนเหมือนเดิม
เมื่อถามอีกว่า ถึงกรณีที่ฝ่ายการเมืองมองว่ารัฐบาลยังดันทุรัง นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ไม่ใช่ดันทุรัง เพราะเรามองถึงปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ และการเจริญเติบโตที่ต่ำกว่าศักยภาพ ถ้าไม่ได้ลงพื้นที่สัมผัสประชาชนและมองไม่เห็นในจุดนี้ เราก็ต้องชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาแข็งแกร่งให้เป็นไปตามศักยภาพของประเทศ ดังนั้น จะมาบอกว่าดันทุรังไม่ได้
เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าโครงการนี้จะไม่ทันในปีงบประมาณ 67 นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ไม่ได้กำหนดเวลา ต้องรอตามขั้นตอน เมื่อมีคำตอบที่ชัดเจนจากบางหน่วยงานแล้ว ก็จะประชุมเพื่อหาแนวทางเมื่อนั้นเราจึงจะตอบได้
ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า ทาง ป.ป.ช. ชุดที่มี น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะประธานณะกรรมการเพื่อศึกษาและดำเนินการรับฟังความเห็นเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet ได้สรุปผลการศึกษาเรื่องความเสี่ยงการดำเนินโครงการเสร็จเรียบร้อยแล้ว และส่งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณา เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้สรุปผลการศึกษาข้อมูล และข้อเสนอแนะ 8 ข้อให้ป้องกันความสุ่มเสี่ยงดังกล่าวดังนี้
1. ความเสี่ยงการทุจริตเชิงนโยบาย แหล่งที่มาของเงินในโครงการที่มาจากการกู้เงินและเงื่อนไขการแจกเงิน ไม่ตรงกับที่แจ้งต่อ กกต. เมื่อเงื่อนไขการแจกเงินเปลี่ยนไป ไม่ให้ทุกคน และเปลี่ยนแหล่งที่มาเงินเป็นการออก พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท จะเห็นว่าการเสนอนโยบายช่วงหาเสียง การแถลงนโยบายรัฐบาล และการดำเนินการตามนโยบายไม่มีความชัดเจน ไม่ปรากฏหน่วยงานผู้รับผิดชอบโครงการเป็นหน่วยงานใด บ่งชี้เป็นการหาเสียงโดยไม่มีความพร้อม ไม่พิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบ ทั้งด้านเศรษฐกิจและกฎหมายว่าจะทำได้หรือไม่ เมื่อพิจารณารายละเอียดเน้นกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น กำหนดเงื่อนไขขึ้นเงินของร้านค้าที่ร่วมโครงการ อาจเสี่ยงเอื้อประโยชน์บุคคลหรือกลุ่มบุคคลได้ ต้องศึกษาให้เห็นผลเป็นรูปธรรมว่าผู้ได้รับประโยชน์จะไม่ตกแก่พรรคการเมือง บุคคลหรือกลุ่มใด โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีศักยภาพมากกว่ารายย่อย ต้องมีวิธีการเป็นรูปธรรมชัดเจนให้โครงการกระจายการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง ไม่ให้มีความเสี่ยงรับจ้างลงทะเบียนร้านค้าในลักษณะนอมินี ให้อยู่นอกระบบฐานข้อมูลภาษีกรมสรรพากร เพื่อเลี่ยงภาษี หรือใช้ฟอกเงินทำผิดกฎหมาย หรือความเสี่ยงสมคบคิดกันทุจริตระหว่างร้านค้ากับกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับเงิน โดยไม่ซื้อขายสินค้าจริง ต้องมีมาตรการป้องกันชัดเจน มีประสิทธิภาพ
2. ประเด็นความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ คำแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ระบุว่า นโยบายดังกล่าวไม่ใช่การสงเคราะห์ประชาชนผู้ยากไร้ แต่เป็นการเติมเงินลงในระบบเศรษฐกิจ เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจประเทศ จึงต้องพิจารณาภาวะเศรษฐกิจประเทศในปัจจุบัน มีความจำเป็นต้องกระตุ้นเพียงใด เมื่อพิจารณาข้อมูลตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ พบว่ามีการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2566 ไปทิศทางเดียวกัน ข้อมูลสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจไทย จะขยายตัวร้อยละ 2.5 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดการณ์ขยายตัวร้อยละ 2.4 ข้อมูลจากหลายหน่วยงาน อาทิ ธปท. สศช. นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ อาจารย์มหา วิทยาลัย วิเคราะห์สภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันว่าไม่เข้าข่ายวิกฤติ ไม่เห็นสัญญาณวิกฤติเศรษฐกิจไทย แต่อาจเจริญเติบโตที่ชะลอตัวหรือต่ำกว่าศักยภาพ เมื่อเทียบสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน กับภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ เช่น วิกฤติต้มยำกุ้ง ปี 2540 วิกฤติมหาอุทกภัย ปี 2555 วิกฤติโควิด ปี 2563-2564 พบว่ายังไม่เข้าข่ายภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ
ขณะที่ข้อมูลสำนักงบประมาณของรัฐสภา (สงร.) ประเมินผลกระทบทางการคลังที่สำคัญของโครงการ จะมีภาระดอกเบี้ยหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น 15,800 ล้านบาทต่อปี สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.65 การชำระต้นเงินกู้เพิ่มจากเดิมปีละ 125,000 ล้านบาท การจะกระตุ้นเศรษฐกิจต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าและมีความจำเป็นเพียงใด ตลอดจนผลกระทบ ภาระทางการเงิน การคลังในอนาคต ในกรณีจำเป็นต้องดำเนินนโยบายช่วยเหลือประชาชนภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เข้าขั้นวิกฤติ ตามนิยามวิกฤติเศรษฐกิจของธนาคารโลก การจัดลำดับความสำคัญ การพิจารณากลุ่มเป้าหมายที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง อาทิ กลุ่มมีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน อาจเป็นทางเลือกจะไม่ส่งผลกระทบทางการคลัง โดยเฉพาะดอกเบี้ยและสัดส่วนของหนี้สาธารณะได้มากกว่า
3. ประเด็นความเสี่ยงด้านกฎหมาย การดำเนินโครงการดิจิทัลวอลเล็ตต้องชอบด้วยกฎหมาย ต้องรักษามาตรฐานวินัยการเงินการคลัง เงื่อนไขการใช้วิธีกู้เงินจะทำได้โดยอาศัยอำนาจการตรากฎหมายขึ้นเป็นการเฉพาะ และเป็นกรณีมีความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อแก้ไขวิกฤติประเทศ โดยไม่อาจตั้งงบฯ รายจ่ายประจำปีได้ทัน ดังนั้นรัฐบาลต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ จะเป็นกรณีจำเป็นต้องดำเนินการโดยเร่งด่วนและต่อเนื่อง เพื่อแก้ปัญหาวิกฤติของประเทศหรือไม่ แต่จากข้อมูลด้านเศรษฐกิจที่สรุปชัดเจนว่าสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันยังไม่เข้าข่ายวิกฤติ ดังนั้นหากรัฐบาลจะตรา พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท เพื่อมาดำเนินโครงการ จึงควรพิจารณาอย่างรอบคอบ มิฉะนั้นจะมีความเสี่ยงผิดเงื่อนไขตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง รวมถึงผิด พ.ร.บ.เงินคงคลัง พ.ศ. 2491 พ.ร.บ.เงินตรา พ.ศ. 2501 หรือไม่ รัฐบาลจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่ให้ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติกฎหมาย
4. โครงการดิจิทัลวอลเล็ตต้องคำนึงถึงความคุ้มค่า ความจำเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลอดจนผลกระทบและภาระทางการเงินการคลังในอนาคต ภายใต้หลักธรรมาภิบาล 4 ด้าน คือ ความโปร่งใส การถ่วงดุล การรักษาความมั่นคงของระบบการคลังและความคล่องตัว โครงการนี้มีผลเสียมากกว่าผลดีคือต้องกู้เงิน 5 แสนล้านบาท สร้างภาระหนี้แก่รัฐบาลในระยะยาว จะต้องตั้งงบฯ ชำระหนี้จำนวนนี้ 4-5 ปี กระทบต่อตัวเลขการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ 5. ครม.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรพิจารณาความเสี่ยงด้านกฎหมายอย่างรอบคอบ ได้แก่ รัฐธรรมนูญ มาตรา 172 พ.ร.บ.การเงินการคลังของรัฐ มาตรา 53 พ.ร.บ.มาตรา 4-6 เพื่อให้การดำเนินโครงการเกิดประสิทธิภาพสูงสุด เป็นไปตามกฎหมาย 6. ครม.ควรประเมินความเสี่ยงอย่างรอบด้าน โดยกำหนดแนวทางหรือมาตรการบริหารความเสี่ยง การป้องกันการทุจริต มีกระบวนการตรวจสอบทั้งก่อน ระหว่าง และหลังดำเนินโครงการ เพื่อให้โครงการดำเนินการอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้
7. การดำเนินนโยบายรัฐบาลที่มีวัตถุประสงค์ช่วยเหลือประชาชนภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่เข้าขั้นวิกฤติ ควรพิจารณากลุ่มประชาชนเป้าหมายที่เปราะบางที่สุดที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง อาทิ กลุ่มมีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน
และ8. การนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้กับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ครม. ควรพิจารณาความจำเป็นและความเหมาะสม ระยะเวลา และงบประมาณที่ต้องใช้ในการพัฒนาระบบ ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และระยะเวลาในการดำเนินโครงการ โครงการดังกล่าวเป็นการแจกเงินครั้งเดียว ให้ใช้จ่ายภายใน 6 เดือน การพิจารณาใช้แอปพลิเคชันเป๋าตัง จะเป็นประโยชน์และเหมาะสมกว่า
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี