เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2567 รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ กล่าวในรายการ “แนวหน้าTalk” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ซึ่งมี นายบุญยอด สุขถิ่นไทย เป็นพิธีกร ในประเด็นการเข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัยของประเทศไทย ว่า คนมักเข้าใจว่าสังคมสูงวัยหมายถึงสังคมของผู้สูงอายุ แต่จริงๆ หมายถึงการที่ประเทศไทยมีสัดส่วนประชากรสูงอายุมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เด็กเกิดใหม่ลดลงและคนวัยทำงานมีน้อยลง
อีกทั้งการเกิดของเด็กมักอยู่ในครัวเรือนที่ไม่พร้อม ดังคำกล่าวว่า “คนพร้อมไม่ท้อง..คนท้องไม่พร้อม” ซึ่งในอีก 12 ปีข้างหน้า ไทยจะมีสัดส่วนผู้สูงอายุถึงร้อยละ 30 ของประชากรทั้งประเทศ ดังนั้นคนรุ่นใหม่ที่เกิดขึ้นมาจะมีปัญหาด้านคุณภาพ และคนรุ่นใหม่เหล่านี้จะต้องจ่ายภาษีเพื่อดูแลประเทศ คำถามคือแล้วคุณภาพของประเทศจะเป็นอย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นคนรุ่นใหม่ยังต้องดูแลพ่อแม่ที่อายุยืนขึ้น อย่างในปี 2513 คนไทยมีอายุขัยเฉลี่ยเพียง 59 ปี แต่ปัจจุบันผู้หญิงอายุขัยเฉลี่ย 79 ปี ส่วนผู้ชายอยู่ที่ 77 ปี เท่ากับายุขัยเฉลี่ยยืนยาวขึ้นถึง 20 ปี และยังมีแนวโน้มสูงขึ้นอีก
ซึ่งการที่คนอายุยืนขึ้น มีสุขภาพดีขึ้น แต่โครงสร้างประชากรผู้สูงอายุมีจำนวนมากขึ้น คนที่จะรับภาระหนักที่สุดคือเด็กที่จะเกิดมารวมถึงคนที่อยู่ในปัจจุบันที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปี เพราะเป็นคนวัยหนุ่ม-สาวที่ต้องจ่ายภาษี เป็นคนเลี้ยงดูพ่อแม่ หรืออาจไปถึงปู่ย่าตายายหากยังมีชีวิตอยู่ ยิ่งหากมีลูกด้วยก็จะยิ่งหนักขึ้นอีก ปัญหาจะหนักมากหากไม่มีการเตรียมระบบรองรับสูงสูงวัยตั้งแต่วันนี้ เพราะการปรับโครงสร้างประชากรไม่ใช่เรื่องง่าย
ทั้งนี้ คนเราเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดา แต่จะทำอย่างไรให้เกิดมาแล้วเลื่อนเวลาแก่ออกไปให้ช้าและใกล้เวลาตายที่สุด เพื่อให้ช่วงเวลาเจ็บนั้นสั้น ซึ่งเรื่องนี้สามารถทำได้ เช่น แต่เดิมเรานิยามคำว่าแก่คืออายุ 60 ปีขึ้นไป เพราะอายุขัยเฉลี่ยคนในอดีตคือ 59 ปี ดังนั้นหากถามว่าปัจจุบันอายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 79 ปี ให้นับอายุ 80 ถือว่าแก่ได้หรือไม่ สำหรับตนมองว่าไม่ต้องนำอายุมานับ แต่ให้ตั้งนิยามใหม่ไปเลย คำว่าแก่หมายถึงคนที่พึ่งพาตนเองไม่ได้ หรือต้องพึ่งพาผู้อื่นมากขึ้น แต่หากยังเดินได้ ไปทำงานได้ สุขภาพดีในระดับหนึ่ง จะอายุ 80 หรือ 90 ก็ยังไม่เรียกว่าแก่
“เอาความจริงของสังขารดีกว่า ถ้าคุณจับคอนเซ็ปต์นั้นได้ เราจะยืดแก่ได้อย่างไร ไม่ใช่ยืดอายุ จะยืดแก่ได้อย่างไร ก็คือทำให้ตัวเองพึ่งพาตัวเองได้ยาวขึ้นไปจนใกล้ตาย แล้วให้เจ็บสั้น คราวนี้พึ่งพาตัวเองเรื่องอะไรบ้าง หนึ่งคือเรื่องเศรษฐกิจ เพราะถ้าคุณหยุด คุณแก่ แล้วคุณต้องไปพึ่งลูก แล้วคุณเศรษฐกิจไม่สามารถทำงานได้ยาวขึ้น คุณต้องพึ่งคนอื่นเร็วขึ้นใช่ไหม ทำอย่างไรที่คุณพอทำงานต้องทำให้ยาวขึ้น อันนั้นประการที่หนึ่ง พอทำงานยาวขึ้นจะพึ่งพาตัวเองทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น ไม่เหงาไม่เฉาด้วย ไม่ต้องรอ 600 บาท (เบี้ยผู้สูงอายุ)” รศ.ดร.เจิมศักดิ์ กล่าว
รศ.ดร.เจิมศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่รัฐต้องทำคือให้ทุกคนมีอาชีพสำรอง เพราะปัจจุบันอาชีพที่ทำกันอยู่สามารถหายไปได้ง่ายๆ ขณะเดียวกันเมื่อกำลังวังชาลดลงอาชีพบางอย่างก็ทำไม่ได้ ดังนั้นรัฐควรส่งเสริมให้คนมีอาชีพสำรอง แต่ไม่ใช่การไปอบรมว่าอาชีพสำรองนั้นเรื่องอะไร เพราะไม่มีใครรู้ว่าในอนาคตอาชีพใดจะยังอยู่หรือหายไป จึงต้องให้แต่ละคนเป็นคนเลือกอาชีพสำรองของตนเอง โดยมีรัฐช่วยสนับสนุนการหาอาชีพสำรองนั้น เช่น ลดค่าใช้จ่ายในการหา ดังนั้นการแจกเงินจึงไม่ใช่แจกให้บริโภค แต่ต้องให้นำเงินนั้นไปใช้ฝึกทักษะหรือเรียนรู้ที่จะมีอาชีพสำรอง
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงวันหนึ่งคนก็ต้องหยุดทำงาน ก็ต้องพึ่งตนเองจากการออมตั้งแต่ยังเป็นวัยทำงาน เพื่อให้ในวันที่หยุดทำงานจะนำเงินออมนั้นออกมาใช้จนกว่าจะตาย เพราะสมัยนี้จะหวังพึ่งลูกก็ยาก หวังพึ่งรัฐก็ไม่เพียงพอ อาทิ หากหยุดทำงานตอนอายุ 60 โดยคาดว่าจะตายตอนอายุ 80 ปี (คำนวณตามอายุขัยเฉลี่ย) หากจะใช้เงินเดือนละ 2 หมื่นบาท ก็ต้องมีเงินออม 5 ล้านบาท หรือหากจะใช้เงินเดือนละ 4 หมื่นบาท ก็ต้องมีเงินออม 10 ล้าน เป็นต้น การออมจึงต้องทำตั้งแต่เริ่มทำงาน ไม่ใช่ไปออมตอนแก่
แต่ในความเป็นจริงของคนไทยคือคิดกลับกัน คนไทยยึดการบริโภคเป็นตัวตั้ง หากรายได้ไม่พอก็กู้แล้วค่อยไปผ่อนส่ง แต่หากคิดเรื่องสังคมสูงวัย ต้องเอาการออมเป็นตัวตั้ง สัดส่วนเงินออมต้องตายตัว มีรายได้เท่าไรต้องหักเงินออมไปก่อนคิดถึงเรื่องการบริโภค ยิ่งเตรียมตัวเร็ว ปรับวิธีคิดเร็วเท่าไรยิ่งดี ดังนั้นการพูดถึงสังคมสูงวัยอย่าไปคิดถึงคนแก่ แต่ต้องคิดถึงคนหนุ่ม-สาวที่จะต้องเตรียมตัวที่จะพึ่งตนเองได้ยาวขึ้น โดยสรุปการเตรียมตัวเรื่องเศรษฐกิจ คือทำให้คนทำงานได้ยาวขึ้น รัฐส่งเสริมทักษะการทำงานในอนาคต และมีเงินออม
ชมคลิปเต็มได้ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=nUJxMhzF-vo
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี