"ปธน.เยอรมนี"มองคำพิพากษา"พิธา"พื้นฐานระบบปชต. ชี้เยอรมนีประชาคมทั่วโลกเฝ้าดูสถานการณ์-มีความหวังช่วงการเปลี่ยนผ่าน ด้าน"นายกฯเศรษฐา"ยันจุดยืนทางการเมือง ยึดมั่นความเป็นกลาง ไม่สนับสนุนความขัดแย้ง
เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2567 ภายหลังการแถลงข่าวร่วมกันระหว่าง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง และ นายฟรังค์-วัลเทอร์ ชไตน์ไมเออร์ (H.E. Dr. Frank-Walter Steinmeier) ประธานาธิบดีสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ผู้สื่อข่าวต่างประเทศถามถึงถึงการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลไทยที่กลับมาเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง จะมีการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างไร โดยเฉพาะกับเยอรมนี โดย นายกฯ กล่าวว่า เราประกาศชัดเจนว่าประเทศเราพร้อมสำหรับการดำเนินการธุรกิจ โดยในเดือน มี.ค.นี้ จะเดินทางไปเยือนทวิภาคีกับรัฐบาลเยอรมนีอีกครั้ง
ด้าน ประธานาธิบดีเยอรมนี กล่าวว่า คำถามนี้พูดถึงอุปสรรคความร่วมมือ ซึ่งเป็นเพียงอดีตในช่วงที่ผ่านมา และในช่วงสถานการณ์การเมืองที่อาจมีความไม่สงบเกิดขึ้นบ้าง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เราไม่สามารถคาดการณ์ได้ ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นต่อจากนี้ แต่ตนเชื่อว่าหลังการเลือกตั้งที่ผ่านมา เรามองเห็นแนวทางเชิงบวกในการพัฒนาความร่วมมือระหว่างกัน และในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เราเห็นแนวทางที่จะสร้างความเชื่อมั่นของนายกฯ เศรษฐา เยอรมนีและประชาคมทั่วโลกไม่เพียงแค่เฝ้าดูสถานการณ์ แต่มีความคาดหวังในการเสริมสร้างความร่วมมือในช่วงการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาสำคัญ ที่เราไม่อาจตั้งความคาดหวัง ให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างรวดเร็ว ต้องใช้เวลา โดยปัจจัยที่มีความสำคัญคือ เสถียรภาพ การแสดงออก และคำพิพากษาของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ซึ่งถือเป็นหนึ่งในผู้นำฝ่ายค้าน และแสดงให้เห็นว่าประเทศไทย มีพื้นฐานของระบบประชาธิปไตย ที่มีเสถียรภาพในการแสดงออกที่เกิดขึ้น
ด้าน นายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน และตลอดเวลาที่รัฐบาลนี้เข้ามาบริหารประเทศ ได้ให้สิทธิเสรีภาพที่เหมาะสม อยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย และสนับสนุนด้านนี้อย่างต่อเนื่อง ส่วนเรื่องการค้าระหว่างประเทศ 4 เดือนที่ผ่านมา เราเดินทางไปทั่วประเทศและทั่วโลก นอกจากนี้ ในเรื่องของจุดยืนทางการเมือง เรายึดมั่นความเป็นกลาง ไม่สนับสนุนความขัดแย้ง ในแง่ของผู้บริสุทธิ์ และคนไทยที่อยู่ในต่างแดน จะต้องได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
ผู้สื่อข่าวต่างประเทศถามว่า ในกรณีที่บริษัทต้องการกระจายซัพพลายจีนมาจากประเทศจีน มายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเวียดนามจะได้ผลประโยชน์จากตรงนี้มากที่สุด ไทยมีแนวทางอย่างไร ที่จะดึงดูดนักลงทุนให้มาลงทุนในประเทศไทย และอยากถามประธานาธิบดีเยอรมนีว่า เห็นศักยภาพในการลงทุนประเทศไทย ในฐานะที่เป็นตัวเลือกจากประเทศจีนอย่างไรบ้างในมุมมองของเยอรมัน โดย นายกฯ กล่าวว่า ตนไม่แน่ใจในเรื่องของตัวเลข แต่ไทยได้ประโยชน์จากการย้ายฐานนี้เช่นกัน ซึ่งมีโรงงานจำนวนหนึ่งในเวียดนาม ที่จะย้ายมาสู่ประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีบริษัทเทคโนโลยีต่างๆ จากอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น Google หรือบริษัทรายใหญ่ที่ย้ายมาอยู่ในประเทศไทย นอกจากนี้ ในการหารือกับประธานาธิบดีเยอรมนี ได้มีการพูดคุยถึงพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญที่จะดึงดูดให้บริษัทใหญ่ๆ มาลงทุนในประเทศไทย ขณะเดียวกันวิถีชีวิตของประเทศไทย ทำให้ชาวต่างชาติที่เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทย เข้าใจถึงความสะดวก แม้กระทั่งคนที่พาครอบครัวเข้ามาพักอาศัย ระบบดูแลสุขภาพของเราอยู่ในระดับโลก จึงเป็นจุดน่าดึงดูด ที่นักธุรกิจท่านไหนอยากลองย้ายมาอยู่ จึงนำครอบครัวมาด้วย
ด้าน ประธานาธิบดีเยอรมนี กล่าวเสริมถึงโอกาสการลงทุนในไทยว่า เราจะต้องดูปัจจัยต่างๆ ซึ่งทางเยอรมนีเน้นนโยบาย การพึ่งพาฝ่ายเดียว ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญ หากตอบโจทย์ในส่วนนี้ได้ และอีกสิ่งที่สำคัญในภาคธุรกิจคือ การลดความพึ่งพาฝ่ายเดียว ที่เราจะต้องไปผูกพันกับประเทศจีน โดยขยายการลงทุนมายังประเทศอื่นๆ และย้ายมาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เน้นบทบาทบริษัทในภูมิภาคนี้เพิ่มเติมทางเวียดนาม และไทย ซึ่งเป็นประเทศที่น่าดึงดูดสำหรับนักลงทุน ซึ่งจากการหารือกับทีมไทย มีข้อได้เปรียบ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ และไทยยังมีความสนใจให้การสนับสนุนความร่วมมือทางการค้า บริษัทต่างๆ ที่มาจากสหภาพยุโรป และเยอรมนี โดยจะเห็นได้จากนโยบายและข้อบังคับต่างๆ ที่เอื้อประโยชน์ในการทำการค้า ซึ่งสิ่งต่างๆ ที่ตนพูดมาในวันนี้ถือเป็นปัจจัยที่จะทำให้ร่วมมือกันได้
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี