ศาลรธน.สั่งก้าวไกลหยุดการกระทำทั้งหมด
แก้112-ล้มล้างการปค.
ดึงสถาบันลงมาเป็นคู่ขัดแย้ง
เจตนาเซาะกร่อนบ่อนทำลาย
ศาลฮึ่มล้ำเส้นปรับ5หมื่น-จำคุก
‘เรืองไกร’ชงกกต.ยุบก.ก.1ก.พ.
พรรคก้าวไกล เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง! ศาลรธน.มีมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 สั่งไม่ให้แก้ไข-ยกเลิกมาตรา 112 เปิดเหตุผลยังไม่ถูกยุบพรรค หลังศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาด หาเสียงเข้าข่ายล้มล้างการปกครอง ระบุชัดในคำร้องผู้ร้องไม่ได้ร้องขอ แต่เป็นหน้าที่ กกต.พิจารณา ก่อนส่งให้ศาลรธน.วินิจฉัยสั่งยุบพรรค ด้าน “ชัยธวัช” แถลงยันเสนอแก้112 ไร้เจตนาล้มล้างการปกครอง ‘ธนาธร’ปิดปากเงียบ ชิ่งสื่อลงบันไดหนีไฟ
เมื่อเวลา 09.30น.วันที่ 31มกราคม2567 ศาลรัฐธรรมนูญได้เริ่มประชุมปรึกษาหารือลงมติและจัดทำคำวินิจฉัยในคดีที่ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร อดีตทนายความพระพุทธะอิสระ (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญตามมาตรา49 ว่า การกระทำของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ขณะเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ผู้ถูกร้องที่ 1)และพรรคก้าวไกล (ผู้ถูกร้องที่ 2) ที่เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ.…เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่งหรือไม่ ก่อนออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยให้คู่กรณีฟังในเวลา 14.00น.ตามที่นัดหมาย
แฟนคลับบางตาฟังสั่งคดีก.ก.แก้ม.112
ทั้งนี้ บรรยากาศที่ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่คึกคักเมื่อเทียบกับครั้งนัดอ่านคำวินิจฉัยคดีสถานะสส.ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่มีสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศมาเฝ้าติดตามทำข่าว และกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลมารอให้กำลังใจ นายพิธา โดยสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญยังคงคุมเข้มตามประกาศศาลรัฐธรรมนูญเรื่องอาณาบริเวณหรือพื้นที่ที่กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญและสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติงาน รักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อย ฉบับลงวันที่ 12 ม.ค.67 ซึ่งกำหนดห้ามผู้ใดเข้ามาในพื้นที่ควบคุม เว้นแต่ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้มาปฏิบัติงาน หรือมาติดต่อราชการ และต้องผ่านการตรวจตัวบุคคลและสิ่งของที่นำมา ตามวิธีการของเจ้าหน้าที่ด้านการรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อย
ขณะที่บุคคลที่จะเข้ารับฟังการอ่านคำวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญอนุญาตให้เฉพาะคู่กรณีและบุคคลที่เกี่ยวข้องเท่านั้น โดยจะต้องแลกบัตร ฝากสิ่งของ อาทิ กระเป๋า โทรศัพท์มือถือ เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ รวมทั้งต้องผ่านจุดตรวจค้นอาวุธ ซึ่งจะอยู่บริเวณเชิงบันไดทางขึ้นห้องพิจารณาคดี และสำนักงานฯได้อำนวยความสะดวกให้สื่อมวลชนและประชาชนที่เดินทางมารับฟังคำวินิจฉัยด้วยตัวเองด้วยการติดตั้งจอทีวีพร้อมลำโพงไว้เพื่อถ่ายทอดการอ่านคำวินิจฉัย จำนวน 2 จุดใหญ่ คือ ที่บริเวณโถงกลาง ชั้น 2 และบริเวณเชิงบันไดด้านนอกอาคาร ฝั่งทิศเหนือของ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (อาคาร A) ส่วนประชาชนทั่วไป สามารถติดตามผลการอ่านคำวินิจฉัยผ่านช่องทางยูทูบของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่เวลา 14.00 น.
เบรก‘ด้อมส้ม’โผล่ชูป้ายให้กำลังใจ
เวลา 12.20น.บรรยากาศหน้าศาลรัฐธรรมนูญ มีมวลชนสวมเสื้อสีส้มเดินทางปักหลักทำกิจกรรมให้กำลังใจ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มาแจ้งเตือนว่า ไม่สามารถเข้ามาดำเนินกิจกรรมในพื้นที่ศาลได้ เนื่องจากประกาศเป็นพื้นที่ควบคุม แต่มวลชนยืนยันว่า ไม่ได้ทำผิดคำสั่งศาล เพียงแค่มาเขียนข้อความให้กำลังใจเท่านั้น ไม่ได้ส่งเสียงดังรบกวนคนอื่นและไม่ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน และในครั้งที่แล้วก็สามารถเข้ามาในพื้นที่นี้ได้ จากนั้นเจ้าหน้าที่ศาลเข้ามาเตือนว่า การเข้ามาทำกิจกรรมหน้าศาลรัฐธรรมนูญ ถือเป็นการละเมิดอำนาจศาล หากไม่ยุติ ศาลสามารถวินิจฉัยได้ทันที ทั้งนี้ หากอยากทำกิจกรรมศาลได้จัดพื้นที่เอาไว้บริเวณหน้าเสาธง หน้าอาคารแล้ว มวลชนจึงยอมเก็บป้ายข้อความ แต่ยืนยันว่าจะนั่งรอฟังคำวินิจฉัยอยู่ภายในอาคารบริเวณหน้าศาลรัฐธรรมนูญ
‘ธนาธร’ชี้มนุษย์เขียนต้องแก้ไขได้
ด้าน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า กล่าวถึงความคาดหวังการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและพรรคก้าวไกล เสนอร่าง พรบ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง โดยเชื่อมั่นว่า พรรคก้าวไกลจะไม่ถูกยุบ เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญวันนี้ก็ไปไม่ถึงอยู่แล้ว ‘ผมอยากให้สังคมกลับมาตั้งหลักเรื่องนี้ให้มั่นๆ เพราะเชื่อว่าเป็นกฎหมายแล้ว กฎหมายไม่ได้ส่งแฟกซ์มาจากพระเจ้า กฎหมายร่างด้วยมือมนุษย์ มนุษย์ก็ต้องแก้ไขมันได้ นี่คือหลักการพื้นฐาน ถ้าสส.ซึ่งเรียกได้เต็มปากว่าเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่สามารถแก้ไขกฎหมายได้ คิดว่า คงมีอะไรไม่ปกติในประเทศนี้’
ศาลแจงแสวงหาข้อเท็จจริงทุกด้าน
จากนั้น เวลา 14.15น.องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 9คน ประกอบด้วย นายวรวิทย์ กังศศิเทียม ประธานศาลรัฐธรรมนูญ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายปัญญา อุดชาชน นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายจิรนิติ หะวานนท์ นายนภดล เทพพิทักษ์ นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์และนายอุดม รัฐอมฤต ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัย ทั้งนี้ ก่อนเริ่มอ่าน ศาลรัฐธรรมนูญแจงว่า ศาลรัฐธรรมนูญรับคดีไว้พิจารณาเมื่อเดือนมิถุนายน2566 ซึ่งทั้ง 2ฝ่ายทราบดีว่า การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญใช้ระบบไต่สวน ศาลมีอำนาจค้นหาความจริงไม่ว่าจะเป็นคุณหรือโทษแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้และการวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานได้ทุกประการ ศาลได้ให้ผู้ถูกร้องชี้แจง โดยผู้ถูกร้องขอขยายระยะเวลา 2 ครั้ง ศาลได้ดำเนินกระบวนการพิจารณารวม 62ครั้ง รับฟังความคิดเห็นของนักวิชาการ พยานผู้เชี่ยวชาญที่มีความเป็นกลาง 4ท่าน ได้แก่ 1.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รณกรณ์ บุญมี 2.ศาสตราจารย์กิตติคุณวิทิต มันตาภรณ์ 3.รองศาสตราจารย์ดร.ภูริ ฟูวงศ์เจริญ 4.รองศาสตราจารย์ ดร.ศุภมิตร ปิติพัฒน์
นอกจากนี้ ศาลได้รับฟังข้อมูลจากผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานศาลยุติธรรม ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาตลิ่งชัน ศาลจังหวัดนนทบุรีและศาลจังหวัดสมุทรปราการ จึงเป็นการไต่สวนรับฟังข้อมูลรอบด้านและให้คู่กรณีแถลงปิดคดี เมื่อครบถ้วนจึงได้มีคำวินิจฉัย โดยศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยการเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 ของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและพรรคก้าวไกล เมื่อวันที่ 25มีนาคม2564และใช้การแก้ไขมาตรา112 รณรงค์หาเสียง เป็นนโยบายพรรค เป็นการกระทำที่ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ย้ำม.112เชื่อมโยงความมั่นคงแห่งรัฐ
โดยเห็นว่า มาตรา 112 แม้เป็นประมวลกฎหมายอาญา แต่ก็มีศักดิ์ทางกฎหมายในเรื่องของความมั่นคงแห่งรัฐ การแก้ไขเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐ ต้องคุ้มครองความมั่นคงราชอาณาจักร และการกระทำความผิดต่อพระมหากษัตริย์ ย่อมเป้นการกระทำผิดต่อความมั่นคงต่อรัฐด้วย โดยมีจุดมุ่งหมายต้องการให้ไม่มีความสำคัญ และไม่ให้ถือว่าเป็นความผิดต่อความมั่นคงต่อประเทศ มุ่งหมายแยกสถาบันกษัตริย์ และความเป็นชาติไทยออกจากกัน กระทบความมั่นคงของรัฐ อย่างมีความสำคัญ
ดึงสถาบันเป็นคู่ขัดแย้ง-หวังชนะลต.
นอกจากนี้ การที่เสนอแก้ไขมาตรา 112 ในการหาเสียง เป็นการใช้นโยบายทางการเมือง เป็นการดึงสถาบันลงมา หวังผลชนะการเลือกตั้ง ให้สถาบันเป็นคู่ขัดแย้ง กลายเป็นฝ่ายรณรงค์ทางการเมือง ไม่คำนึงหลักการสำคัญในการปกครอง ที่สถาบันอยู่เหนือการเมือง เป็นกลางทางการเมือง การเสนอแก้ไข ม.112 ดังกล่าวมีเจตนาเซาะกร่อน บ่อนทำลายสถาบันกษัตริย์ ให้เสื่อมทรามลง การใช้เสรีภาพต้องไม่ขัดศีลธรรมอันดี ต้องสอดคล้องกับสิทธิของบุคคลทางการเมือง ไม่กระทบความมั่นคงปลอดภัยของชาติ ไม่กระทบความสงบเรียบร้อย และไม่กระทบสิทธิเสรีภาพของคนอื่น เมื่อฟังได้ว่า มีการเรียกร้องให้ทำลายการปกครองประชาธิปไตยที่มีพระหากษัตริย์เป็นประมุข ผ่านการซ่อนเร้นการ แก้ไขมาตรา 112 มีกระบวนการหลายช่วงติดต่อกัน หากปล่อยให้กระทำการดังกล่าวต่อไปย่อมไม่ไกลเกินเหตุที่จะล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย
วินิจฉัยล้มล้างปกครอง-ห้ามแก้ม.112
ศาลรัฐธรรมนูญโดยมติเอกฉันท์วินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง และสั่งการให้ผู้ถูกร้องทั้งสองเลิกการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่นเพื่อให้มีการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อีกทั้งไมให้มี การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 ด้วยวิธีการซึ่งไม่ใช่กระบวนการทางนิติบัญญัติโดยชอบ ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา49 วรรคสองและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา74
ทั้งนี้ จากการที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเสร็จสิ้น ทำให้เกิดข้อสงสัยของประชาชนว่า พรรคก้าวไกล จะถูกยุบพรรคหรือไม่ โดยเรื่องนี้ตามแนวทางของศาลรัฐธรรมนูญจะไม่มีกรณีการสั่งยุบพรรค เพราะในคำร้องของผู้ร้องไม่ได้ระบุไว้ หรือหากมีการยื่นร้องขอ ก็ไม่สามารถสั่งได้ เพราะเป็นเรื่องที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะต้องพิจารณาว่าผิดหรือไม่ ซึ่งหากเห็นว่า ผิด จึงส่งมาให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งยุบพรรค แต่หากศาลเห็นว่า ไม่ผิด ศาลก็ยกคำร้อง
‘ธีรยุทธ’ขอศึกษา1คืนก่อนเดินหน้าต่อ
นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร เปิดเผยหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเป็นเอกฉันท์ ให้นายพิธา และพรรคก้าวไกล เลิกแก้ไขม.112 ว่า ขอกลับไปทบทวนคำวินิจฉัยศาลที่ออกมา ก่อนที่จะพิจารณาว่าจะดำเนินการใดๆต่อไป ส่วนที่ตนยังมีคำร้องอีกฉบับที่ยื่นไว้ต่อ กกต.เกี่ยวกับนโยบายในคดีดังกล่าวแล้วนั้น นายธีรยุทธ ชี้แจงว่า กกต. เคยมีคำวินิจฉัยออกมาแล้วว่า นโยบายดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมาย แต่เมื่อมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรม นูญออกมาในวันนี้ (31 ม.ค.) จึงทำให้ข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนไป ดังนั้น ตนจึงจะไปพิจารณาคำวินิจ ฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่มีออกมาในวันนี้ ก่อนที่จะตัดสินใจดำเนินการต่อไป โดยคาดว่าภายในวันที่ 1ก.พ.น่าจะมีแนวทางที่ชัดเจน
‘ชัยธวัช’ยันไม่มีเจตนาทำลายสถาบัน
นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย ว่า เราไม่มีเจตนาทำลายถาบันพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด
ศาลเตือนล้ำเส้นปรับ5หมื่น-จำคุก
นายวรวิทย์ กังศศิเทียม ประธานศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวภายหลังศาลมีมติเอกฉันท์ให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก.ก.รวมไปถึงพรรคก้าวไกล เลิกการกระทำ การแสดงความคิดเห็น และการสื่อความหมายอื่น ๆ อันเป็นการเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และห้ามมีการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว เพราะเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มีทั้งผู้ที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย แต่ขอให้ตระหนักว่า การวิจารณ์คำวินิจฉัยโดยไม่สุจริต และใช้ถ้อยหยาบคาย เสียดสี หรืออาฆาตมาตร้าย จะมีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญวาดด้วยวิธีพิจารณาศาลรัฐธรรมนูญ มีโทษตั้งแต่การตักเตือน ปรับไม่เกิน 50,000บาท รวมถึงโทษจำคุก
‘เรืองไกร’ยื่นกกต.1ก.พ.ยุบก้าวไกล
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า วันที่ 1ก.พ.เวลา 10.00น.ตนจะเดินทางไป กกต.เพื่อยื่นยุบพรรคก้าวไกล เนื่องจากก่อนหน้านี้เคยไปยื่นร้องต่อ กกต.ให้ยุบพรรคก้าวไกลมาแล้ว 2รอบ เมื่อวันที่ 3 เม.ย.และ 30 มิ.ย. 66 กรณีที่พรรคก้าวไกล แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 แต่ขณะนั้นกกต.บอกว่า ไม่เข้าเงื่อนไข ไม่สามารถดำเนินการได้ แต่ล่าสุดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ระบุชัดเจนว่าการแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข จึงถือว่าเข้าเงื่อนไขตามมาตรา 92 ของพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง เรื่องการกระทำล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยฯ ที่กกต.จะต้องรับเรื่องไปพิจารณายุบพรรคก้าวไกล โดยตนจะขอให้กกต.รีบดำเนินการไต่สวนเรื่องนี้เป็นการเร่งด่วน เพราะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาอย่างชัดเจนแล้ว ยืนยันเป็นการดำเนินการตามกฎหมาย ไม่มีใครสั่งให้ผมมาขยายผลยุบพรรคก้าวไกลต่อ”นายเรืองไกร กล่าว
‘ธนาธร‘ปิดปาก-เดินหลบลงทางหนีไฟ
เวลา 15.00น.ที่รัฐสภา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เดินทางเข้ารับฟังการอ่านคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในคดีใช้นโยบายแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 หาเสียง ของพรรคก้าวไกล ร่วมกับ ส.ส.ของพรรคที่ห้องวอร์รูมพรรค โดย นายธนาธร กล่าวสั้นๆ ว่า ผมยังไม่รู้ ขอไปหาเพื่อนนิดนึง ตนยังไม่ได้ฟังคำวินิจฉัย เพิ่งประชุมเสร็จ จึงยังไม่สามารถให้ความเห็นใดๆ ได้ ส่วนแนวโน้มอาจจะไม่ดีเหมือนที่ประเมินไว้ใช่หรือไม่ นายธนาธร กล่าวว่า ยังไม่รู้เหมือนกัน ยังไม่ได้รับรายงานความคืบหน้า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่นายธนาธรกำลังเดินเข้าห้องวอร์รูมไป ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยออกมาเรียบร้อยแลัว และนายธนาธรได้หลบผู้สื่อข่าว โดยเดินออกจากห้องประชุมผ่านทางหนีไฟ
ศปปส.ย้ำม.112คุ้มครองสถาบันกษัตริย์
หลังศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยว่าการที่พรรคก้าวไกล และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรค เสนอแก้ไข มาตรา112 เป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่มีพระมหากษัตริย์ เป็นประมุข นายอานนท์ กลิ่นแก้ว ประธานกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) กลุ่มปกป้องสถาบัน กล่าวว่า วันนี้พวกเรามาให้กำลังใจ ทนายอั๋นที่เป็นผู้ร้อง โดยเราติดตามมาตั้งแต่ช่วงหาเสียง เพื่อที่จะเลือกตั้ง แล้วได้มีทนายอั๋นมายื่น เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการหาเสียงพรรคก้าวไกล ตอนนี้ศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน มาฟังคำวินิจฉัย ลุ้นอยู่ตลอด พวกเราดีใจ รวมทั้งคนไทยทั้งประเทศ เชื่อเหลือเกินว่าคนไทยดีใจไปพร้อมๆ กันกับพวกเราและพวกเราไม่เสียแรง ทั้งนี้ อยากส่งข้อความถึงพี่น้องคนไทยว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ยังคงอยู่กับคนไทยและกฎหมายมาตรา112 จะปกป้องคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ของพวกเรา ส่วนกรณีที่ว่าหากมีกลุ่มที่ไม่พอใจออกมาเคลื่อนไหวนั้น ศปปส.จะมีการดำเนินการอย่างไร นายอานนท์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาพวกเราเคลื่อนไหวตอบโต้ด้วยการแจ้งความดำเนินการตามกฎหมาย ก็ตั้งแต่ปี2563 มา ศปปส.ก็แจ้งความมาหลายคดี รวมทั้งนักการเมืองใหญ่ๆ ด้วย เราก็แจ้งความ เรื่องตอนนี้ก็อยู่บนศาล เพราะฉะนั้นการตอบโต้ด้วยกระบวนการทางกฎหมายคือการตอบโต้ที่ดีที่สุด
ผู้สื่อข่าวถามว่า ต่อไปจะสื่อสารกันอย่างไรเพื่อให้เกิดความสงบสุข นายอานนท์ กล่าวว่า จริงๆ ที่ผ่านมา พวกเราก็พยายามสื่อสาร เวลาที่เราขึ้นศาล เราไปเจอพวกสามกีบ เราก็คุยกัน เราคุยกันด้วยการขึ้นศาล ให้การกันเต็มที่ พยายามที่จะคุยว่า อยากจะให้ คือกฎหมาย มาตรา112 ไม่ได้บังคับให้ใครมาเกลียดหรือมารัก แต่ ม.112 เขาอยู่ของเขาเฉยๆ แล้วมีคนไปฝ่าฝืนเอง ต้องเข้าใจกันตามนี้ เพราะฉะนั้น ศปปส.ยังดำเนินการปกป้องสถาบันต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี