เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 นายจุติ ไกรฤกษ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวในรายการ “แนวหน้าTalk” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ซึ่งมี นายบุญยอด สุขถิ่นไทย เป็นพิธีกร โดยครั้งนี้เป็นการเดินทางไปพูดคุยที่บ้านของนายจุติ ใน จ.พิษณุโลก ในประเด็นปัญหาการจัดสรรที่ดินเพื่ออยู่อาศัยและประกอบอาชีพของประชาชน เช่น ที่ดินนิคมสร้างตนเอง ที่ดิน ส.ป.ก. เป็นต้น รวมถึงประเด็นการแก้ปัญหากลุ่มเปราะบางที่ยากจนแบบมีหลายปัจจัยซับซ้อน ว่า ตนเคยเจอคนที่ยื่นขอเอกสารสิทธิ์ที่ต้องใช้เวลานานมากกว่าจะได้
อย่างเมื่อปี 2562 สมัยที่ตนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ซึ่งกระทรวง พม. ดูแลเรื่องนิคมสร้างตนเอง มีครั้งหนึ่งตนไปมอบเอกสารอนุญาตให้มีสิทธิ์การใช้ประโยชน์พื้นที่นิคมสร้างตนเอง เห็นนามสกุลของหนึ่งในผู้รับมอบ เลยถามคนที่มารับไปว่าลุงคนหนึ่งซึ่งที่มีนามสกุลนี้ยังอยู่หรือไม่เพราะเห็นมาร้องเรียนบ่อยๆ ผู้มารับมอบที่เป็นผู้หญิงบอกว่าลุงคนนั้นเป็นปู่และเสียชีวิตไปแล้ว พูดง่ายๆ คือกว่าที่จะได้สิทธิ์นี้ต้องรอกันถึงรุ่นหลาน หรือใช้เวลานานถึง 50 ปี นับตั้งแต่ปี 2512 ถึงปี 2562
ดังนั้น ในการทำงาน เก่งไม่กลัวแต่จะกลัวช้า จึงควรทำให้เร็วขึ้น เอาใจใส่ทุกข์ของประชาชน และหากไม่ได้จริงๆ ก็ค้องมีคำอธิบาย แต่ก็ยอมรับว่าแม้กระทั่งในยุคที่ตนเป็นรัฐมนตรีว่าการก็ยังไม่สามารถให้สิทธิ์ได้ครบ เพราะปัญหาอยู่ที่การปล่อยให้มีการแจกเอกสารสิทธิ์เป็นกระดาษมากกว่าจำนวนที่ดินจริง หรือก็คือที่ดินมีน้อยกว่าเอกสารสิทธิ์ ทำให้เกิดปัญหาพื้นที่ทับซ้อน หรือหากเป็นที่ดินเกาะ ก็ยังมีปัญหา สค.1 บิน เป็นต้น
ทั้งนี้ ในสมัยรัฐบาลนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีการตั้งคณะกรรมการสะสางที่ดิน โดยกำหนดเงื่อนไขกับประชาชนว่าให้สิทธิ์ในการใช้ประโยชน์แต่ไม่อนุญาตให้ขาย โดยมุ่งหวังให้ประชาชนมีที่ดินทำกินไม่ต้องถูกขับไล่ ตนก็เห็นว่าเป็นต้นทุนที่ดี เพราะชาวบ้านจากที่เคยเป็นเจ้าของก็ต้องเช่าที่ดินของตนเองที่กลายเป็นของนายทุนไปแล้ว อย่างในอดีตที่ดินนิคมสร้างตนเองมีเป็นจำนวนมาก แต่ปัจจุบันเหลือเพียงหลักแสนไร่เท่านั้น ซึ่งก็เป็นสิ่งที่น่าเสียดาย อนึ่ง ใน จ.พิษณุโลก ตนก็มองว่า 2 ปัญหาสำคัญ คือเรื่องที่ทำกินกับเรื่องโอกาสทางการศึกษา
“เด็กที่ยังยากจน เข้าไม่ถึงระบบการศึกษา ผมเพิ่งไปพูดมาว่าเด็กที่เรียนประถม 1 จบ ม.ปลาย ม.6 พร้อมกัน มีแค่ 50% เท่านั้นนะ อีก 50% ไม่ผ่านเพราะว่าความยากจน แล้วเราก็ยังจัดสรรงบประมาณให้คนกลุ่มนี้น้อย ถึงแม้จะมากขึ้นแต่ก็น้อยกว่าความต้องการ เราต้องให้เครดิตท่าน พล.อ.ประยุทธ์ ว่า ปี 2563 ตั้งกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ให้แบบไม่มีเงื่อนไขแต่ให้คุณได้เรียนหนังสือ ตอนนี้กองทุนนี้ช่วยคนไปประมาณ 3 ล้านคน ดูว่าเยอะแต่ว่ามันไม่พอ” นายจุติ กล่าว
นายจุติ กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันเด็กที่ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ แต่อยู่กับปู่ย่าตายาย มีประมาณ 4.8 ล้านคน ถึงกระนั้นตนก็เห็นว่าตัวเลขนี้ยังต่ำกว่าความเป็นจริง ขณะที่เด็กที่เข้าไม่ถึงระบบการศึกษามีอยู่ประมาณ 2 แสนคน ซึ่งตนก็ขอร้องไปยังรัฐบาลแล้วว่าให้ปรับการจัดสรรงบประมาณใหม่ เพื่อให้คนที่ไม่มีโอกาสได้เข้าถึงโอกาส ดังนั้น กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ควรได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้น และการลงทุนด้านการศึกษาคือการลงทุนระยะยาว เด็กอายุ 12 ปี หรือ 15 ปี ยังมีอายุอยู่ไปได้อีกครึ่งศตวรรษ ประเทศควรให้โอกาสเขา
ส่วนปัญหาอัตราการเกิดของประชากรที่ลดลง หรือจำนวนเด็กเกิดใหม่น้อยลง ตนมองว่า ความยากลำบากสำหรับคนจน คนที่จนที่สุดคือคนที่จนโอกาส และตนเชื่อว่าอีกร้อยละ 15 ของสังคมที่ยังมีปัญหาอยู่นี้ยังต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งช่วงเวลา 4 ปีของการเป็น รมว.พม. ทำให้ตนได้เห็นความยากจนของคนไทย เท่าที่ไปสำรวจกันมา ครอบครัวเปราะบางที่ต้องการความช่วยเหลือจากรัฐยังมีถึง 4.1 ล้านครัวเรือน โดยคำว่าครอบครัวเปราะบางหมายถึงขาดแคลนในหลายมิติ เช่น รายต่ำ อาชีพไม่มั่นคง แถมยังมีคนชราหรือคนพิการอยู่ในครัวเรือนอีก และลูกก็ไม่ได้เรียนหนังสือ
ซึ่งครัวเรือนเปราะบางในประเทศไทยมีถึง 4.1 ครัวเรือน หรือคิดเป็นมากกว่าร้อยละ 10 จากครัวเรือนไทยทั้งหมด 27 ล้านครัวเรือน ทางแก้คือการให้เบ็ดไม่ใช่ให้ปลา คือไม่ใช่การแจกแต่ต้องให้ความรู้เพื่อช่วยเหลือตนเองได้ เช่น แม่เลี้ยงเดี่ยว ต้องหาอาชีพให้เขา ต้องหาทางให้เขาเข้าถึงแหล่งเงินกู้ โรงเรียนที่ลูกจะไปเรียนก็ต้องมีคุณภาพและไม่ไกลจากที่พักจนเกินไป และต้องดูแลไม่ให้เด็กเข้าถึงยาเสพติด รวมถึงการพนันออนไลน์ที่ตนมองว่าเป็นภัยเงียบที่สุดในปัจจุบัน เพราะหาได้จากสื่อสังคมออนไลน์เต็มไปหมด
“มีครอบครัวเด็กที่รับจ้างทำงานตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม กรอกถุงสำหรับกล้าต้นไม้ เช้าถึงค่ำ เดือนหนึ่งได้อย่างมากสามพันกว่าบาท เขาก็ไมได้เรียนหนังสือ ต้องขอบคุณโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท ให้ทุนการศึกษาแบบไม่มีเงื่อนไข ไปเรียนผู้ช่วยพยาบาล วันนี้เขามีอาชีพที่มั่นคง มีเงินเดือนเดือนละเกือบหมื่นแปด แล้วเขาส่งมาบ้านเดือนละห้าพัน เขาออมอีกเดือนละสามพัน ก็อยู่ที่ว่ารัฐบาลช่วยเขาในเรื่องของความรู้ ได้เงินมาอย่าไปพนันหมดนะ ออมเท่าไร ดูแลแก้ปัญหาความยากจนเท่าไร เห็นความเปลี่ยนแปลงในชีวิตเขาเลย” นายจุติ ระบุ
อดีต รมว.พม.ยังกล่าวอีกว่า มีอีกรายหนึ่ง ไม่มีทุนเรียนแต่อยากเรียนพยาบาล ครูมาพาหาซึ่งตนพยายามจะหาทุนรัฐบาลให้แต่ก็หายาก เลยบอกบุญไปทางพี่สาว ล่าสุดทราบว่าเรียนจบทำงานเป็นพยาบาลไปแล้ว หรือมีครั้งหนึ่งตนเดินทางเข้าไปที่กรุงเทพฯ เจอผู้หญิงคนหนึ่งสวมหมวกนิรภัยอยู่ที่ไซต์งานก่อสร้าง ผู้หญิงคนนั้นทักว่าจำได้ไหม เพราะตนเป็นคนหาทางให้ได้เรียน จนผู้หญิงคนนี้ซึ่งมีแม่ขายผักในตลาดสามารถเรียนจนจบวิศวกรรมโครงสร้าง มีรายได้ดูแลแม่ ตนได้ยินแล้วก็รู้สึกชื่นใจ
นอกจากเยาวชนแล้ว ยังมีกรณีแม่เลี้ยงเดี่ยว มีลูก 5 คน แต่เป็นคนขยันและสู้ชีวิตมาก ตนเลยประสานให้ไปฝึกทักษะการทำอาหารจาก นายชุมพล แจ้งไพร เชฟชื่อดังระดับประเทศ แม้ระหว่างการฝึกลูกคนหนึ่งจะเสียชีวิตแต่ก็ไม่ท้อ ท้ายที่สุดปัจจุบันทราบว่ามีรายได้ประมาณ 3 หมื่นบาทต่อเดือน ใช้ดูแลที่บ้านประมาณ 1 หมื่นบาท และมีแผนจะไปทำงานต่างประเทศโดยไปแบบถูกกฎหมายในอนาคตอันใกล้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าตัวยอมรับว่าไม่เคยมีในชีวิตมาก่อน นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงๆ
ชมคลิปเต็มได้ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=_Bfc-CCwpR4
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี