"ลูกสาวเสธ.แดง"เสียงสั่นเครือ ชงตั้ง"กมธ.ศึกษานิรโทษกรรม" ปัดยื้อเวลา ยันเป็นการปลดโซ่ตรวนขัดแย้ง ด้าน"พิธา"ลั่นอย่าปล่อยเกิดวัฒนธรรม"คนสั่งฆ่าลอยนวล"ถึงจะบรรลุเป้า
เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่การประชุม ได้เข้าสู่กาาพิจารณาญัตติด่วน ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม โดยมี น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) เป็นผู้เสนอญัตติว่า การเสนอตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ดังกล่าว เพื่อศึกษาหลักเกณฑ์และแนวทางที่เป็นสาระสำคัญการนิรโทษกรรมให้ได้ข้อยุติ ก่อนเสนอเป็นร่างกฎหมายต่อสภาผู้แทนราษฎร แม้ในอดีตจะเคยศึกษาแนวทางสร้างความปรองดองสมานฉันท์มาแล้ว โดยคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อสร้างความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) แต่บริบทและมูลเหตุความขัดแย้งมีความแตกต่างจากในปัจจุบัน จึงต้องดำเนินการให้สอดคล้องสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ให้มีคนไทยถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนทางกฎหมาย กุญแจที่ปลดโซ่ตรวนคือ การออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เป็นจุดเริ่มต้นว่า ทุกคนเห็นต่างขัดแย้งกันได้ภายในกรอบกติกา แม้การเสนอตั้ง กมธ.วิสามัญฯ อาจถูกตั้งคำถามเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่ผิดแก่ผู้กระทำผิด เป็นการยื้อเวลาของรัฐบาลหรือไม่ และอาจกังวลจะยัดไส้นิรโทษกรรมให้เจ้าหน้าที่รัฐทำผิดกฎหมายต่อผู้ชุมนุม ขอยืนยันว่า การออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมไม่ใช่การสร้างบรรทัดฐานที่ผิด แต่เป็นการปลดโซ่ตรวนความขัดแย้ง ไม่ใช่ยื้อเวลา เมื่อมีความเห็นต่างจึงต้องตั้งกมธ.เชิญชวนทุกกลุ่มมาหาทางออกอย่างรอบคอบ ไม่ให้เกิดชนวนขัดแย้งครั้งใหม่
"ในฐานะที่เคยเป็นผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการกระทำที่รุนแรงของเจ้าหน้าที่รัฐ ขอยืนยันในหลักการจะไม่ให้มีการนิรโทษกรรมต่อความผิดที่เกิดแก่ชีวิตโดยเด็ดขาด" น.ส.ขันติยา กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ด้าน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า (ก.ก.) การนิรโทษกรรมไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเสมอไป ถ้ามีเป้าหมายชัดเจน เราเคยนิรโทษกรรมมาแล้ว 22 ครั้ง ถ้าจะนิรโทษกรรมเพื่อลดความขัดแย้ง ก็คิดว่าไม่น่ากลัว หรือเป็นภาพลบ และโอกาสที่จะได้รับนิรโทษกรรมไม่ควรถูกผูกขาดให้คณะรัฐประหารหรือคนที่คิดล้มล้างการปกครองอย่างเดียว เราต้องยอมรับอยู่ในช่วงความขัดแย้งทางการเมืองที่สร้างบาดแผลร้าวลึกในสังคม เป็น 10 กว่าปีที่สูญหาย ตั้งแต่ปี 2549 - 2567 มีนายกฯ 7 คน รัฐประหาร 2ครั้ง มีม็อบต้านรัฐบาล 9 ระลอก คนตายเป็นร้อย บาดเจ็บเป็นพัน เศรษฐกิจเสียหายเป็นแสนล้านบาท การนิรโทษกรรมครั้งนี้ ไม่ควรคิดถึงคนทำรัฐประหาร แต่ควรคิดถึงเหยื่อของคนที่ทำรัฐประหาร คนได้รับผลกระทบจากนโยนบายและรัฐบาลที่สืบทอดอำนาจรัฐประหาร ไม่ใช่แค่นิรโทษกรรมแก่ผู้ที่ออกมาเรียกร้องทางการเมือง แต่มีผู้ที่ต้องติดคุกเพราะนโยบายในช่วงรัฐประหาร 80,000 กว่าคดี คดีประมงไอยูยูอีก 3 หมื่นกว่าคดี และคดีการฟ้องร้องปิดปากประชาชนอีกไม่รู้เท่าไร
"กระบวนการที่จะทำต้องไม่ใช่แค่ยุติคดีอาญา แต่จะต้องมีการเยียวยา การรับผิดชอบต่อสาธารณะ ไม่ให้เกิดการวัฒนธรรมลอยนวลของคนสั่งฆ่า จึงจะเป็นการนิรโทษกรรมที่รอบคอบ บรรลุเป้าหมาย" นายพิธา กล่าว
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี