วันนี้ (20 กุมภาพันธ์ 2567) เวลา 10.00 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดกรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบดังนี้
1. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดกรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
2. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ กค. เสนอว่า
1. กค. ได้รับรายงานจากกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ว่าประเทศไทยได้รับมอบตำแหน่งประธานบิมสเทค ในช่วงการประชุมระดับผู้นำบิมสเทค ครั้งที่ 5 เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2565 โดยมีวาระ 2 ปี (พ.ศ. 2565 - พ.ศ. 2566) หรือจนกว่าจะสามารถจัดการประชุมผู้นำบิมสเทค ครั้งที่ 5 เพื่อเป็นการส่งมอบตำแหน่งประธานต่อไปได้ ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564 เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องสำหรับการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำบิมสเทค ครั้งที่ 6 และการประชุมที่เกี่ยวข้องแล้ว แต่เนื่องจากการจัดประชุมผู้นำและการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในกรอบบิมสเทศ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากประเทศสมาชิกทั้งหมด ทั้งกำหนดการ รูปแบบ และกำหนดวันประชุม ประกอบกับประเทศศรีลังกาซึ่งเป็นประธานบิมสเทคลำดับก่อนหน้าไทยเผชิญกับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ส่งผลให้การรับมอบตำแหน่งประธานของไทยจากศรีลังกาล่าช้ากว่ากำหนด จึงไม่สามารถจัดการประชุมระดับผู้นำได้ทันในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ได้ นอกจากนี้ ที่ผ่านมาประเทศเจ้าภาพจะได้รับความเห็นชอบจากประเทศสมาชิกก่อนวันที่มีกำหนดจัดประชุมในเวลากระชั้นชิด ซึ่งความไม่แน่นอนดังกล่าวส่งผลกระทบต่อระยะเวลาในการเตรียมการจัดการประชุมทั้งด้านงบประมาณ และกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ในการนี้ เพื่อให้การจัดประชุมดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ เป็นไปตามมาตรฐานการจัดการประชุมในระดับสากลและมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่รัดกุมแก่ผู้นำประเทศและผู้เข้าร่วมประชุม กต. จึงจำเป็นต้องเตรียมการจัดซื้อจัดจ้างให้มีความเหมาะสมกับการดำเนินการจัดการประชุมภายใต้ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560
2. เดิม กต. ได้กำหนดการประชุมผู้นำบิมสเทค ครั้งที่ 6 ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 ในรูปแบบ in-person (ประชุมแบบซึ่งหน้า) โดย กต. แจ้งว่า นายกรัฐมนตรีเห็นขอบกำหนดการดังกล่าวแล้ว โดยในการจัดการประชุมผู้นำบิมสเทคจะมีการจัดประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในลักษณะ back - to - back (ประชุมต่อเนื่องกัน) ตั้งแต่วันที่ 27 - 30 พฤศจิกายน 2566 ดังนี้
2.1 การประชุมคณะกรรมการถาวรบิมสเทค ครั้งที่ 7 ในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2566
2.2 การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสบิมสเทค ครั้งที่ 24 ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566
2.3 การประชุมระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศบิมสเทค ครั้งที่ 20 ในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2566
3. กต. โดยกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ได้หารือกับภาคเอกชนในการจัดเวทีระหว่างผู้นำบิมสเทคกับภาคเอกชน (BIMSTEC Business Summit) ในลักษณะคู่ขนานกับการประชุมผู้นำบิมสเทค โดยอยู่ระหว่างขอรับการยืนยันจากภาคเอกชน คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมการประชุมและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจำนวน 600 คน โดยมีความต้องการจัดประชุมภายใต้ one roof (ที่ประชุมและที่พักของผู้เข้าร่วมจะต้องอยู่ในพื้นที่เดียวกัน) เพื่อความสะดวกในการดูแลและอำนวยความสะดวกให้กับผู้เข้าร่วมประชุม ดังนั้น เพื่อให้การจัดประชุมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย กต. จึงต้องดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับการจัดงานดังกล่าว
4. กค. ได้มีหนังสือชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมมายังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี โดยมีข้อมูลเพิ่มเติมที่กรมบัญชีกลางได้รับแจ้งจาก กต. ว่า โดยที่รัฐสมาชิกได้ให้ความเห็นชอบต่อกำหนดการประชุมผู้นำบิมสเทค ครั้งที่ 6 อย่างกระชั้นชิด เพื่อให้การเตรียมการจัดประชุมดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสมเกียรติ จึงเห็นควรเลื่อนกำหนดการจัดประชุมผู้นำบิมสเทค ครั้งที่ 6 ออกไปเป็นประมาณช่วงกลางปี 2567 โดย กต. มีแผนจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2567 ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงกำหนดการจัดประชุม ไม่ส่งผลกระทบต่อการที่ต้องดำเนินการออกกฎกระทรวงแต่อย่างใด
5. สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้มีหนังสือขอข้อมูลเพิ่มเติมไปยัง กต. โดย กต. ได้ชี้แจงข้อมูลเรื่องกำหนดการประชุมผู้นำบิมสเทค ครั้งที่ 6 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
5.1 เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566 กต. ได้แจ้งรัฐสมาชิกบิมสเทคว่าประเทศไทยจะจัดประชุมผู้นำบิมสเทค ครั้งที่ 6 และการประชุมที่เกี่ยวข้องระหว่างวันที่ 27 - 30 พฤศจิกายน 2566 และขอให้รัฐสมาชิกให้ความเห็นชอบต่อกำหนดการภายในวันที่ 1 พฤษภาคม 2566
5.2 ฝ่ายไทยได้ติดตามผลการพิจารณาของรัฐสมาชิกอย่างต่อเนื่อง โดยที่รัฐสมาชิกใช้เวลาพิจารณาต่างกัน จึงทำให้ประเทศไทยได้รับความเห็นชอบจากรัฐสมาชิกครบทุกประเทศเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2566
5.3 กต. พิจารณาแล้วเห็นว่า โดยที่รัฐสมาชิกได้ให้ความเห็นชอบต่อกำหนดการประชุมฯ อย่างกระชั้นชิด จึงเห็นควรให้เลื่อนการจัดประชุมผู้นำฯ และการประชุมที่เกี่ยวข้องออกไปเป็นช่วงกลางปี 2567 เพื่อให้การเตรียมการจัดประชุมดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสมประโยชน์
5.4. กต. มีแผนจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีบิมสเทค และการประชุมระดับรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ (Retreat) ในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2567 เพื่อรักษาพลวัตการเป็นประธานบิมสเทคของประเทศไทย และเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการประชุมผู้นำบิมสเทค ครั้งที่ 6 ซึ่งคาดว่าจะจัดในช่วงกลางปี 2567 ต่อไป
6. โดยที่พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 มาตรา 56 (2) (ซ) บัญญัติให้การจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจงกรณีอื่น ให้เป็นไปตามที่กำหนดเป็นกฎกระทรวง ดังนั้น เพื่อให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมการประชุมผู้นำบิมสเทค ครั้งที่ 6 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในช่วงปี 2567 สามารถดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการจัดประชุมดังกล่าว และเพื่อให้การจัดงานดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เหมาะสมกับการเป็นเจ้าภาพจัดประชุม กค. จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนจะต้องออกกฎกระทรวงกำหนดกรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
7. คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ในการประชุมครั้งที่ 13/2566 เมื่อวันพุธที่ 16 สิงหาคม 2566 ได้มีมติว่าเพื่อให้การจัดซื้อจัดจ้างพัสดุเกี่ยวกับการจัดประชุมผู้นำบิมสเทค ครั้งที่ 6 และการเตรียมการประชาสัมพันธ์หรือการอื่นใดที่เกี่ยวข้อง สำหรับการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำ บิมสเทค รวมทั้งการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำระดับประเทศในลักษณะเดียวกันที่จะเกิดขึ้นในโอกาสต่อไป เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เหมาะสมกับการเป็นเจ้าภาพการจัดประชุม จึงเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดกรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และให้กรมบัญชีกลางดำเนินการนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กำหนดให้กรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่เกี่ยวกับการจัดประชุมระดับผู้นำประเทศ หรือระดับรัฐมนตรีขึ้นไปที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ และการประชุมที่เกี่ยวข้องทุกระดับ รวมทั้งการเตรียมการ การประชาสัมพันธ์หรือการอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมดังกล่าว สามารถกระทำได้โดยวิธีเฉพาะเจาะจง
2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงค่ารักษาพยาบาลที่ให้นายจ้างจ่าย (ฉบับที่..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงค่ารักษาพยาบาลที่ให้นายจ้างจ่าย (ฉบับที่..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการด้วย
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงฯ ที่ รง. เสนอ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว และคณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงดังกล่าว ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงค่ารักษาพยาบาลที่ให้นายจ้างจ่าย พ.ศ. 2563 เพื่อปรับอัตราค่ารักษาพยาบาลที่ให้นายจ้างจ่ายผ่านกองทุนเงินทดแทนที่นายจ้างจ่ายให้แก่ประกันสังคม จากเดิม “50,000 บาท” เป็น “65,000 บาท” และแก้ไขลักษณะการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยของลูกจ้างที่นายจ้างต้องจ่ายเพิ่มขึ้น แต่ไม่เกิน 100,000 บาท กรณีการบาดเจ็บรุนแรงของศีรษะ (ของเดิมจะจ่ายให้ก็ต่อเมื่อเป็นการผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะ) เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป และเพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนและภาระค่าใช้จ่ายของลูกจ้าง ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อนายจ้าง ที่จะต้องจ่ายเงินสมทบตามค่าประสบการณ์เพิ่มขึ้น รวมทั้งสถานะของกองทุนเงินทดแทน จึงไม่ก่อให้เกิดความสูญเสียรายได้ของรัฐ หรือของหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 โดยกระทรวงแรงงาน ประกอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นชอบด้วยในหลักการ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
กฎกระทรวงค่ารักษาพยาบาลที่ให้นายจ้างจ่าย พ.ศ. 2563 |
ร่างกฎกระทรวงค่ารักษาพยาบาลที่ให้นายจ้างจ่าย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... |
ข้อ 2 เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ให้นายจ้างจ่ายค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริง ตามความจำเป็นแต่ไม่เกิน 50,000 บาท |
ข้อ 2 เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ให้นายจ้างจ่ายค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริง ตามความจำเป็นแต่ไม่เกิน 65,000 บาท |
ข้อ 3 ในกรณีที่ค่ารักษาพยาบาลที่จ่ายตามข้อ 2 ไม่เพียงพอ ให้นายจ้างจ่ายค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็นเพิ่มขึ้นอีกไม่เกินหนึ่งแสนบาท สำหรับการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยของลูกจ้างในลักษณะ ดังต่อไปนี้ ... (3) บาดเจ็บอย่างรุนแรงของศีรษะและต้องได้รับการผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะ |
ข้อ 3 ในกรณีที่ค่ารักษาพยาบาลที่จ่ายตามข้อ 2 ไม่เพียงพอ ให้นายจ้างจ่ายค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็นเพิ่มขึ้นอีกไม่เกินหนึ่งแสนบาท สำหรับการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยของลูกจ้างในลักษณะ ดังต่อไปนี้ ... (3) บาดเจ็บอย่างรุนแรงของศีรษะ
|
3. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2562)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบดังนี้
1. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
2. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ มท. เสนอว่า
1. กรมโยธาธิการและผังเมืองได้รายงานสภาพปัญหาจากการประกาศใช้บังคับกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2562 ว่าภายหลังจากมีการประกาศใช้บังคับกฎกระทรวงดังกล่าวแล้ว ปรากฏว่าจังหวัดอุตรดิตถ์ประสบปัญหาขาดแคลนสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยทำให้ไม่สามารถบริหารจัดการขยะมูลฝอยได้อย่างเพียงพอและถูกต้องตามหลักสุขาภิบาล รวมทั้งคณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบแนวทางการบริหารจัดการขยะมูลฝอย เพื่อนำไปใช้เป็นแนวทางในการบริหารจัดการขยะมูลฝอยในแต่ละพื้นที่ ซึ่งมีผลให้การบังคับใช้กฎกระทรวงฯ ไม่สอดคล้องตามนโยบายดังกล่าว ดังนั้น เพื่อเป็นการบรรเทาปัญหาพื้นที่การกำจัดขยะมูลฝอย และเพื่อประโยชน์สาธารณะในการกำหนดพื้นที่เพื่อจัดการขยะมูลฝอยอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถรองรับการกำจัดขยะมูลฝอยในพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์และพื้นที่โดยรอบได้ จึงขอแก้ไขการใช้ประโยชน์ที่ดินตามกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2562 เฉพาะบริเวณหรือเฉพาะส่วนหนึ่งส่วนใด ตามมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2562
2. ต่อมาได้มีการประกาศใช้บังคับพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2562 โดยมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 ซึ่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติให้ยกเลิกพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2518 ทั้งฉบับ และได้แก้ไขรูปแบบการประกาศใช้บังคับกฎหมายในส่วนของผังเมืองรวมที่กรมโยธาธิการและผังเมืองเป็นผู้วางและจัดทำผังขึ้นใหม่ โดยให้ดำเนินการประกาศใช้บังคับเป็นประกาศกระทรวงมหาดไทย (เดิมประกาศใช้บังคับเป็นกฎกระทรวง) ประกอบกับมาตรา 111 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการผังเมืองฯ บัญญัติให้การแก้ไขหรือยกเลิกกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเฉพาะบริเวณ หรือเฉพาะส่วนหนึ่งส่วนใด ให้กระทำได้โดยประกาศกระทรวงมหาดไทยหรือข้อบัญญัติท้องถิ่น และในการประชุมคณะกรรมการผังเมือง ครั้งที่ 4/2565 เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2565 ได้มีมติเห็นชอบให้แก้ไขกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2562 และนำไปปิดประกาศเพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสียแสดงข้อคิดเห็นระหว่างวันที่ 22 สิงหาคม 2565 ถึงวันที่ 20 กันยายน 2565 เมื่อครบกำหนดปิดประกาศปรากฏว่าไม่มีผู้ยื่นข้อคิดเห็น โดยให้กรมโยธาธิการและผังเมืองจัดทำร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เพื่อเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณา
3. มท. โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองจึงได้จัดทำร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2562) ตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในมาตรา 32 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2562 ที่บัญญัติว่า “เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาตามมาตรา 29 แล้ว ไม่มีผู้มีส่วนได้เสียผู้ใดยื่นคำร้องตามมาตรา 30 หรือมีแต่คณะกรรมการผังเมืองสั่งยกคำร้องดังกล่าวหรือเมื่อกรมโยธาธิการและผังเมืองไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่น ให้กรมโยธาธิการและผังเมืองหรือเจ้าพนักงานท้องถิ่น แล้วแต่กรณี ดำเนินการเพื่อออกประกาศกระทรวงมหาดไทยหรือข้อบัญญัติท้องถิ่น แล้วแต่กรณี โดยไม่ชักช้า ในการนี้ให้กรมโยธาธิการและผังเมืองนำประกาศกระทรวงมหาดไทยเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยตรงเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน” ทั้งนี้ ในกระบวนการวางและจัดทำผังเมืองรวมก่อนที่จะได้จัดทำเป็นร่างประกาศกระทรวงมหาดไทยนี้ได้ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการผังเมือง ซึ่งประกอบด้วย ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) กระทรวงคมนาคม (คค.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในด้านโครงสร้างพื้นฐาน และด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วยแล้ว
สาระสำคัญของร่างประกาศ
1. แก้ไขเพิ่มเติมข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินในที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม (สีขาวมีกรอบและเส้นทแยงสีเขียว) บริเวณหมายเลข 5.2 บางส่วน ให้สามารถดำเนินการโรงงานลำดับที่ 88 (2) การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนได้โดยมีขนาดกำลังการผลิตไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ กำหนดให้มีที่ว่างตามแนวขนานริมฝั่งตามสภาพธรรมชาติของคลองน้ำไหลและคลองแห้งไม่น้อยกว่า 15 เมตร และยกเว้นข้อห้ามการประกอบอุตสาหกรรม ประเภทอาคารขนาดใหญ่เฉพาะการประกอบอุตสาหกรรมที่เป็นโรงงานลำดับที่ 88 (2) เนื่องจากกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2562 ที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม (สีขาวมีกรอบและเส้นทแยงสีเขียว) มีเจตนารมณ์ต่อการสงวนให้ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมหรือเกี่ยวข้องกับเกษตรกรรม สถาบันราชการ การสาธารณูปโภคและสาธารณูปการเป็นส่วนใหญ่ สำหรับการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการอื่น ให้ใช้ได้ไม่เกินร้อยละห้าของที่ดินประเภทนี้ในแต่ละบริเวณ และบัญชีท้ายกฎกระทรวงฯ ฉบับดังกล่าวไม่อนุญาตให้ประกอบกิจการโรงงานลำดับที่ 88 (2) การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนในการใช้ประโยชน์ที่ดินทุกประเภท และภายหลังการใช้บังคับกฎกระทรวงดังกล่าว ปรากฏว่าจังหวัดอุตรดิตถ์ได้ประสบปัญหาขาดแคลนสถานที่กำจัดขยะมูลฝอย ทำให้ไม่สามารถบริหารจัดการขยะมูลฝอยได้อย่างเพียงพอและถูกต้องตามหลักสุขาภิบาล รวมทั้งคณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบแนวทางการบริหารจัดการขยะมูลฝอย เพื่อนำไปใช้เป็นแนวทางในการบริหารจัดการขยะมูลฝอยในแต่ละพื้นที่ ซึ่งมีผลให้การบังคับใช้กฎกระทรวงฯ ไม่สอดคล้องตามนโยบายดังกล่าว และกรมโยธาธิการและผังเมืองได้รับข้อมูลจากจังหวัดอุตรดิตถ์ว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ที่กฎกระทรวงฉบับดังกล่าวได้รับคัดเลือกให้เป็นสถานที่ตั้งศูนย์จัดการขยะมูลฝอยชุมชนด้วยการแปรรูปพลังงานไฟฟ้า จังหวัดอุตรดิตถ์ และสภาท้องถิ่นของแต่ละองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้มีมติเห็นชอบในข้อตกลงความร่วมมือในการจัดทำบริการสาธารณะด้านการกำจัดขยะมูลฝอยขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 110 แห่ง ในจังหวัดอุตรดิตถ์และจังหวัดข้างเคียง จึงจำเป็นต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงดังกล่าว เพื่อให้รองรับการดำเนินงานกำจัดขยะมูลฝอยชุมชนด้วยการแปรรูปเป็นพลังงานไฟฟ้า ดังนั้น เพื่อเป็นการบรรเทาปัญหาพื้นที่การกำจัดขยะมูลฝอยและเพื่อประโยชน์สาธารณะในการกำหนดพื้นที่เพื่อจัดการขยะมูลฝอยอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถรองรับการกำจัดขยะมูลฝอยในพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์และพื้นที่โดยรอบได้ จึงได้แก้ไขเพิ่มเติมข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินในที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม (สีขาวมีกรอบ และเส้นทแยงสีเขียว) บริเวณหมายเลข 5.2 บางส่วน ด้วยวิธีการกำหนดให้สามารถดำเนินการโรงงานลำดับที่ 88 (2) การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนได้โดยมีขนาดกำลังการผลิตไม่เกิน 10 เมกะวัตต์
2. แก้ไขบัญชีท้ายกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2562 เพื่อให้สอดคล้องกับการแก้ไขเพิ่มเติมข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินในที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม (สีขาวมีกรอบและเส้นทแยงสีเขียว)
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะและเนื้อที่ที่ดิน ที่จะใช้เป็นที่จัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะและเนื้อที่ที่ดิน ที่จะใช้เป็นที่จัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ อว. เสนอว่า
1. กฎกระทรวงกำหนดลักษณะและเนื้อที่ที่ดิน ที่จะใช้เป็นที่จัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. 2549 ซึ่งมีผลใช้บังคับมาเป็นเวลานาน ได้กำหนดให้ที่ดินสำหรับจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชนต้องมีเนื้อที่ตามที่กำหนด ดังต่อไปนี้ (1) วิทยาลัยหรือสถาบันต้องมีเนื้อที่ที่ดินไม่น้อยกว่า 10 ไร่ และ (2) มหาวิทยาลัยต้องมีเนื้อที่ที่ดินไม่น้อยกว่า 100 ไร่ และเนื้อที่ดังกล่าวจะต้องเป็นที่ดินที่ติดต่อเป็นผืนเดียวกัน ในกรณีที่ดินไม่ได้มีพื้นที่ติดต่อเป็นผืนเดียวกันจะต้องมีการเชื่อมโยงติดต่อกันในลักษณะที่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการจัดการศึกษา และสามารถจัดกิจกรรมทางการศึกษาได้สะดวกโดยที่ไม่ได้กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับลักษณะการใช้ประโยชน์พื้นที่ในเนื้อที่ที่ดินของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนในจำนวนดังกล่าว ประกอบกับปัจจุบันบริบทการจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษาได้เปลี่ยนแปลงไปซึ่งเทคโนโลยีสารสนเทศได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการจัดการเรียนการสอนและการให้บริการทางศึกษา จึงทำให้การใช้ทรัพยากรในมิติเชิงพื้นที่ของสถาบันอุดมศึกษามีความจำเป็นลดลง และการกำหนดลักษณะและจำนวนเนื้อที่ที่ดินดังกล่าว ยังก่อให้เกิดอุปสรรคต่อการบริหารจัดการและการพัฒนาของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
2. ดังนั้น เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป อว. จึงได้ยกร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะและเนื้อที่ที่ดิน ที่จะใช้เป็นที่จัดตั้ง สถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. .... เพื่อปรับปรุงการกำหนดลักษณะและเนื้อที่ที่ดินที่จะใช้เป็นที่จัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชน จากการกำหนดเนื้อที่ที่ดินขั้นต่ำที่สถาบันอุดมศึกษาเอกชนในแต่ละประเภทพึงมี เป็นการกำหนด “พื้นที่ใช้สอย” ตามลักษณะการใช้ประโยชน์บนเนื้อที่ที่ดินของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน และในคราวประชุมคณะกรรมการการอุดมศึกษา ครั้งที่ 12/2565 วันที่ 20 ธันวาคม 2565 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงดังกล่าวแล้ว
3. อว. ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงดังกล่าว ผ่านทางเว็บไซต์ของสำนักงานปลัดกระทรวง ระหว่างวันที่ 3 – 31 มกราคม 2566 รวมทั้งได้จัดทำสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย และเปิดเผยเอกสารดังกล่าวผ่านทางเว็บไซต์ดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทําร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 และกฎกระทรวงกำหนดร่างกฎที่ต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบ พ.ศ. 2565 ด้วยแล้ว
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กำหนดให้ยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดลักษณะและเนื้อที่ที่ดิน ที่จะใช้เป็นที่จัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. 2549
2. กำหนดบทนิยาม คำว่า “พื้นที่ใช้สอย” หมายความว่า พื้นที่ในอาณาบริเวณเนื้อที่ที่ดินของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน อันหมายรวมถึงพื้นที่ทั้งภายในและภายนอกอาคาร ที่สถาบันอุดมศึกษาเอกชนจัดไว้ตามลักษณะการใช้ประโยชน์เพื่อเป็นพื้นที่สำหรับการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์และพันธกิจของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน คำว่า “ผังแม่บทการใช้ประโยชน์พื้นที่ใช้สอย” หมายความว่า ผังบริเวณในการจัดพื้นที่ใช้สอย ของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ที่แสดงให้เห็นถึงองค์ประกอบทางกายภาพ และการใช้ประโยชน์พื้นที่ใช้สอย ที่สอดคล้องกับแผนการดำเนินงานของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน และ คำว่า “แผนการดำเนินงานของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน” หมายความว่า แผนการดำเนินงานของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนภายในกำหนดระยะเวลา 5 ปีนับแต่วันที่ได้รับใบอนุญาตจัดตั้งหรือได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนประเภทสถาบันอุดมศึกษาเอกชน อันครอบคลุมแผนการดำเนินงานด้านกายภาพ ด้านวิชาการ ด้านการเงิน และด้านการบริหารจัดการ แล้วแต่กรณี
3. กำหนดให้ที่ดินที่จะใช้เป็นที่จัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชนต้องมีเนื้อที่ที่เหมาะสมเพียงพอต่อการจัดพื้นที่ใช้สอยเพื่อรองรับการดำเนินงานตามพันธกิจของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนอย่างครบถ้วน โดยต้องเป็นไปตามมาตรฐานการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษา ที่ อว. กำหนด และต้องเป็นที่ดินที่ติดต่อเป็นผืนเดียวกันในกรณีที่ที่ดินมิได้มีพื้นที่ติดต่อเป็นผืนเดียวกัน ต้องมีการเชื่อมโยงติดต่อถึงกันในลักษณะที่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการจัดการศึกษา และสามารถจัดกิจกรรมทางการศึกษาได้โดยสะดวก
4. กำหนดหลักการการจัดพื้นที่ใช้สอยบนที่ดินของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ดังนี้
4.1 สามารถสื่อสารคุณค่าสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและความสามารถในการดำเนินงานครอบคลุมพันธกิจของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนอย่างครบถ้วนและมีคุณภาพ
4.2 สามารถสะท้อนอัตลักษณ์ของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
4.3 สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่สถาบันอุดมศึกษาเอกชนและสังคม
4.4 สามารถรองรับต่อพัฒนาการการจัดการศึกษาและการดำเนินงานตามพันธกิจที่สอดรับกับแนวทางการใช้ชีวิตวิถีใหม่
5. ในการจัดพื้นที่ใช้สอยสถาบันอุดมศึกษาเอกชนจะต้องกำหนดผังแม่บทการใช้ประโยชน์พื้นที่ใช้สอยตามลักษณะการใช้ประโยชน์ ซึ่งจำแนกพื้นที่ใช้สอยตามลักษณะการใช้ประโยชน์ ดังนี้
5.1 พื้นที่ใช้สอยสำหรับการจัดการศึกษา
5.2 พื้นที่ใช้สอยสำหรับการวิจัยและสร้างนวัตกรรม
5.3 พื้นที่ใช้สอยสำหรับการบริการวิชาการแก่สังคมและการทะนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรม
5.4 พื้นที่ใช้สอยสำหรับเป็นที่ตั้งของส่วนงานภายใน
5.5 พื้นที่ใช้สอยสำหรับการสร้างสังคมและการใช้ชีวิตภายในสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
5.6 พื้นที่สีเขียวตามแนวทางการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม และหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน
5.7 พื้นที่ใช้สอยอื่นเพื่อดำเนินพันธกิจตามจุดเน้น ความเชี่ยวชาญ และการจัดกลุ่มสถาบันอุดมศึกษา
6. กำหนดให้การขอรับใบอนุญาตจัดตั้งหรือการขออนุญาตเปลี่ยนประเภท สถาบันอุดมศึกษาเอกชนที่ได้ยื่นไว้ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ ให้พิจารณาดำเนินการตามกฎกระทรวงกำหนดลักษณะและเนื้อที่ที่ดิน ที่จะใช้เป็นที่จัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. 2549 จนกว่าจะแล้วเสร็จ
_____________________
*พ.ร.บ. สถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ 2546 ได้กำหนดนิยามของคำว่า “สถาบันอุดมศึกษาเอกชน” ให้หมายความว่า สถานศึกษาของเอกชนที่ให้การศึกษาระดับปริญญาแก่บุคคลตั้งแต่หนึ่งคนขึ้นไป และ ม. 9 แห่ง พ.ร.บ. ดังกล่าวกำหนดให้สถาบันอุดมศึกษาเอกชนมีตามประเภท คือ (1) มหาวิทยาลัย (2) สถาบัน และ (3) วิทยาลัย
5. เรื่อง มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวกับการบริหารราชการหรือข้าราชการ ตามมาตรา 13 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ ดังนี้
1. ปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2562 (เรื่อง ขอความร่วมมือในการมาตอบกระทู้ถามในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร) ตามความเห็นของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
2. ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี จำนวน 2 มติ ดังนี้
2.1 มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2562 (เรื่อง แนวทางการแต่งตั้งกรรมการรัฐวิสาหกิจ) ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
2.2 มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2563 [เรื่อง รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ รายสัปดาห์ ครั้งที่ 4] ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.
สาระสำคัญของเรื่อง
1. พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 มาตรา 13 บัญญัติให้ทุกครั้งที่คณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ารับหน้าที่ ให้เป็นหน้าที่ของ สลค. รวบรวมมติของคณะรัฐมนตรีหรือคำสั่งของนายกรัฐมนตรีชุดเดิมที่เกี่ยวกับการบริหารราชการหรือข้าราชการที่ออกโดยมิได้อาศัยอำนาจตามกฎหมายใด พร้อมด้วยข้อเสนอแนะว่าสมควรคงคำสั่งของนายกรัฐมนตรีหรือมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องนั้นต่อไป หรือไม่ เพียงใด และนำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการหรือดำเนินการต่อไปภายใน 120 วันนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา (คณะรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 11 - 12 กันยายน 2566)
2. สลค. ได้ตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีและคำสั่งนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลชุดเดิม ที่เกี่ยวกับการบริหารราชการหรือข้าราชการที่มีลักษณะตามข้อ 1 แล้ว โดยมีแนวทางในการพิจารณา คือ มติของคณะรัฐมนตรีหรือคำสั่งของนายกรัฐมนตรีที่เป็นหลักการ หรือกฎเกณฑ์ที่ใช้บังคับเป็นการทั่วไปไม่เฉพาะเจาะจง และหน่วยงานของรัฐต้องถือปฏิบัติ ซึ่งมีผลใช้บังคับต่อเนื่องจนกว่าจะมีมติคณะรัฐมนตรีหรือคำสั่งใหม่มายกเลิกหรือเพิกถอน พบว่า ไม่ปรากฏว่ามีคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่มีลักษณะดังกล่าว และมีมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวกับการบริหารราชการหรือข้าราชการ จำนวน 30 มติ ประกอบด้วย 1) มติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการบริหารราชการ จำนวน 27 มติ และ 2) มติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับข้าราชการ จำนวน 3 มติ ทั้งนี้ สลค. ได้ขอให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาแสนอความเห็นในส่วนที่เกี่ยวข้อง จำนวน 10 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง และสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีส่วนราชการได้เสนอขอปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรี จำนวน 1 มติ และยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี จำนวน 2 มติ ดังนี้
2.1 สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้เสนอให้ปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2562 (เรื่อง ขอความร่วมมือในการมาตอบกระทู้ถามในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร) โดยขอแก้ไขในส่วนของวันที่กำหนดให้มีระเบียบวาระกระทู้ถามในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร จาก ทุกวันพุธ เป็น ทุกวันพฤหัสบดี เนื่องจากการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ได้กำหนดให้ระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีการพิจารณากระทู้ถามทุกวันพฤหัสบดี
2.2 กระทรวงการคลังได้เสนอให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2562 (เรื่อง แนวทางการแต่งตั้งกรรมการรัฐวิสาหกิจ) เนื่องจากมีกฎหมายกำหนดไว้แล้ว ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2562
2.3 สำนักงาน ก.พ. ได้เสนอให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2563 [เรื่อง รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ รายสัปดาห์ ครั้งที่ 4] เนื่องจากมีแนวทางปฏิบัติใหม่ ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2565 เรื่อง แนวทางปฏิบัติราชการที่รองรับชีวิตและการทำงานใหม่ และตามหนังสือเวียนสำนักงาน ก.พ. ที่ นร 1012.2/ว 18 ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2565 แล้ว
เศรษฐกิจ-สังคม
6. เรื่อง การทบทวนนโยบายป่าไม้แห่งชาติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการนโยบาย ป่าไม้แห่งชาติ พ.ศ. 2560
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอผลการทบทวนนโยบายป่าไม้แห่งชาติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ พ.ศ. 2560 โดยให้คงวัตถุประสงค์และบทบัญญัติของนโยบายป่าไม้แห่งชาติไว้เช่นเดิม
สาระสำคัญ
ทส. รายงานว่า
1. เดิมคณะรัฐมนตรีมีมติ (6 พฤศจิกายน 2562) เห็นชอบร่างนโยบายป่าไม้แห่งชาติ ประกอบด้วย (1) วัตถุประสงค์ของนโยบายป่าไม้แห่งชาติ 4 ประการ และ (2) บทบัญญัตินโยบายป่าไม้แห่งชาติ จำนวน 24 ข้อ ครอบคลุม 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการจัดการป่าไม้ ด้านการใช้ประโยชน์ผลิตผลและการบริการจากป่าไม้และอุตสาหกรรมป่าไม้ และด้านการพัฒนาระบบบริหารและองค์กรเกี่ยวกับการป่าไม้
2. ต่อมาคณะอนุกรรมการจัดทำร่างนโยบายป่าไม้แห่งชาติและร่างแผนแม่บทพัฒนาการป่าไม้แห่งชาติ1 (คณะอนุกรรมการฯ) ได้จัดให้มีการทบทวนนโยบายป่าไม้แห่งชาติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ พ.ศ. 2560 ที่กำหนดให้มีการทบทวนนโยบายป่าไม้แห่งชาติทุกสามปี (ครบกำหนดที่ต้องทบทวนนโยบายป่าไม้แห่งชาติครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน 2565) โดยคำนึงถึงหลักการสำคัญของทรัพยากร ป่าไม้ที่เป็นฐานการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศ จึงต้องมีกลไกในการป้องกันและแก้ไขปัญหา ซึ่งผลการทบทวนปรากฏว่ายังไม่มีความจำเป็นต้องปรับปรุงนโยบายดังกล่าว โดยให้คงวัตถุประสงค์และบทบัญญัติของนโยบายป่าไม้แห่งชาติไว้เช่นเดิม (ตามข้อ 1) เนื่องจากยังคงมีความเหมาะสมกับสถานการณ์และบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน ประกอบกับขณะนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการขับเคลื่อนนโยบายป่าไม้แห่งชาติผ่านแผนแม่บทพัฒนาการป่าไม้แห่งชาติและถ่ายทอดสู่แผนของหน่วยงานเพื่อปฏิบัติตามแผนให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อไป และคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ (คปช.) [รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เป็นประธาน ในขณะนั้น] ในการประชุม ครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2566 มีมติเห็นชอบผลการทบทวนนโยบายป่าไม้แห่งชาติดังกล่าวด้วยแล้ว
รายละเอียดนโยบายป่าไม้แห่งชาติ
ประกอบด้วย วัตถุประสงค์ของนโยบายป่าไม้แห่งชาติ 4 ประการ และบทบัญญัตินโยบายป่าไม้แห่งชาติ จำนวน 24 ข้อ ครอบคลุม 3 ด้าน ดังนี้
1 . วัตถุประสงค์ของนโยบายป่าไม้แห่งชาติ 4 ประการ ดังนี้
1.1 เพื่อให้ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าไม้ที่เหมาะสมกับความสมดุลของระบบนิเวศและการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน
1.2 เพื่อหยุดยั้งและป้องกันการทำลายทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าของชาติอย่างมีประสิทธิภาพ
1.3 เพื่อให้มีการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ทรัพยากรป่าไม้ สัตว์ป่า และความหลากหลายทางชีวภาพอย่างเหมาะสม ยั่งยืน เป็นธรรม และเป็นฐานการพัฒนาประเทศและคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยคำนึงถึงดุลยภาพทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
1.4 เพื่อให้ระบบบริหารจัดการทรัพยากรป่าไม้มีประสิทธิภาพบนพื้นฐานองค์ความรู้และนวัตกรรม รวมทั้งกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
2. บทบัญญัตินโยบายป้าไม้แห่งชาติ จำนวน 24 ข้อ ครอบคลุม 3 ด้าน ดังนี้
ข้อ |
บทบัญญัตินโยบายป่าไม้แห่งชาติ |
|
ด้านการจัดการป่าไม้ จำนวน 13 ข้อ |
|
(1) เชื่อมโยงการทำงานของภาครัฐในการบริหารจัดการป่าไม้ทุกระดับให้มีเอกภาพและประสานกันตามห่วงโซ่การพัฒนาระหว่างการบริหารราชการทุกระดับ รวมทั้งมีการประสานความร่วมมือและพัฒนากลไกหรือเครื่องมือในการสนับสนุนให้เกิดการบูรณาการในลักษณะหุ้นส่วนการพัฒนาป่าไม้ของชาติในภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยดำเนินการอย่างมีเป้าหมายและต่อเนื่อง |
|
(2) กำหนดให้มีพื้นที่ป่าไม้ทั่วประเทศอย่างน้อยในอัตรา ร้อยละ 40 ของพื้นที่ประเทศ ประกอบด้วย - ป่าอนุรักษ์ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 25 ของพื้นที่ประเทศ - ป่าเศรษฐกิจและป่าชุมชนไม่น้อยกว่า ร้อยละ 15 ของพื้นที่ประเทศโดยกำหนดให้เพิ่มและพัฒนาพื้นที่ป่าไม้ ทั้งป่าอนุรักษ์ ป่าเศรษฐกิจ และป่าชุมชน ให้ได้ตามเป้าหมายภายใต้กรอบเวลาที่กำหนดในแผนแม่บทพัฒนาการป่าไม้แห่งชาติ |
|
(3) จำแนกพื้นที่ป่าไม้เพื่อการบริหารจัดการในภาพรวมของประเทศและระดับพื้นที่ พร้อมทั้งกำหนดแนวทางการบริหารจัดการและการใช้ประโยชน์ที่ดินป่าไม้ในแต่ละพื้นที่อย่างเหมาะสม |
|
(4) ปรับปรุงแนวเขตที่ดินป่าไม้ทุกประเภทของรัฐให้ชัดเจนและมีเอกภาพด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมโดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง |
|
(5) พัฒนาระบบสารสนเทศทรัพยากรป่าไม้ทั้งในภาพรวมของประเทศและระดับพื้นที่ให้มีมาตรฐาน เอกภาพ ทันต่อสถานการณ์ ครอบคลุมพื้นที่ป่าไม้ทุกประเภท และเชื่อมโยงกับข้อมูลด้านเศรษฐกิจ สังคม และทรัพยากรอื่นของประเทศและกำหนดหน่วยงานหรือคณะบุคคลผู้รับผิดชอบที่ชัดเจนและเหมาะสม |
|
(6) ส่งเสริมและสนับสนุนบทบาทและหน้าที่ของทุกภาคส่วนให้มีจิตสำนึกและมีส่วนร่วม รวมทั้งรับผิดชอบในการอนุรักษ์ การจัดการ และการพัฒนาทรัพยากรป่าไม้อย่างยั่งยืน |
|
(7) หยุดยั้งและป้องกันการทำลายทรัพยากรป่ไม้ในที่ดินป่าไม้ของรัฐทุกรูปแบบให้มีประสิทธิภาพ โดยกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จของการดำเนินงานที่ชัดเจน |
|
(8) บริหารจัดการป่าอนุรักษ์เพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพ รวมทั้งป้องกันภัยธรรมชาติต่าง ๆ และรักษาสภาพธรรมชาติที่สวยงามหรือมีจุดเด่นเฉพาะตัว โดยให้คงไว้ซึ่งสภาพธรรมชาติรักษาดุลยภาพของระบบนิเวศให้มากที่สุด ซึ่งการใช้ประโยชน์ต้องกระทำเท่าที่จำเป็นตามศักยภาพหรือขีดความสามารถในการรองรับของพื้นที่ ตลอดทั้งเพื่อประโยชน์ในการศึกษา การวิจัย และนันทนาการ |
|
(9) จัดระเบียบและแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเกี่ยวกับการครอบครองหรือใช้ประโยชน์ที่ดินป่าไม้ของรัฐอย่างเหมาะสม เป็นธรรม ภายใต้บทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และคำนึงถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศป่าไม้และสิ่งแวดล้อมจากการใช้ประโยชน์ที่ดินป่าไม้ โดยให้แล้วเสร็จภายใต้กรอบเวลา |
|
(10) พัฒนากลไกทางเศรษฐศาสตร์และการตลาดเพื่อสนับสนุนการพัฒนาทรัพยากรป่าไม้อย่างเหมาะสม |
|
(11) ฟื้นฟูป่าไม้ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ให้มีความสมบูรณ์ โดยกำหนดพื้นที่เป้าหมายในการฟื้นฟูอย่างชัดเจนและต่อเนื่องมีการติดตาม ประเมินผล และเผยแพร่ผลการดำเนินงานต่อสาธารณะบนพื้นฐานการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนและกำหนดความรับผิดชอบของหน่วยงานภาครัฐทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น |
|
(12) ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการป่าชุมชนให้มีประสิทธิภาพ สามารถอำนวยประโยชน์ต่อชุมชน สร้างความตระหนักในการอนุรักษ์ป่าไม้ของประชาชน เป็นส่วนส่งเสริมให้ชุมชนและท้องถิ่นเข้มแข็ง และเป็นการพัฒนาทรัพยากรป่าไม้อย่างยั่งยืน |
|
(13) พัฒนาการจัดการสัตว์ป่าทั้งระบบ รวมทั้งแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับสัตว์ป่าอย่างเป็นรูปธรรม และสัตว์ป่าได้รับการคุ้มครอง รักษา และใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสมเพื่อพัฒนาระบบนิเวศ สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมของประเทศ |
|
ด้านการใช้ประโยชน์ผลิตผลและการบริการจากป่าไม้และอุตสาหกรรมป่าไม้ จำนวน 4 ข้อ |
|
(1) ส่งเสริมการปลูกไม้เศรษฐกิจทั้งในที่ดินของรัฐที่ได้รับการอนุญาตให้ใช้ประโยชน์และในที่ดินกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองที่มิใช่ของรัฐให้เพียงพอกับความต้องการใช้ไม้ และตอบสนองต่อการใช้ประโยชน์ในทุกภาคส่วน |
|
(2) ส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมที่ใช้ผลิตผลจากป่าไม้ครบวงจรในทุกระดับและพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานทรัพยากรป่าไม้อย่างเหมาะสมและเป็นรูปธรรม |
|
(3) พัฒนาและส่งเสริมการรับรองป่าไม้ตามมาตรฐานการรับรองป่าไม้ให้เป็นที่ยอมรับและ ได้รับการรับรองทั้งในระดับประเทศและระดับสากล |
|
(4) ส่งเสริมและสนับสนุนการใช้ประโยชน์การบริการจากป่าไม้อย่างสมดุล ยั่งยืน และเกื้อกูล ระบบนิเวศ |
|
ด้านการพัฒนาระบบบริหารและองค์กรเกี่ยวกับการป่าไม้ จำนวน 7 ข้อ |
|
(1) ปรับปรุงโครงสร้างองค์กรเกี่ยวกับการป่าไม้ให้สามารถบริหารจัดการป่าอนุรักษ์ ป่าเศรษฐกิจและป่าชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีขนาดที่เหมาะสม ลดความซ้ำซ้อน และปรับปรุงวิสัยทัศน์ ภารกิจ หรือพันธกิจของหน่วยงานภาครัฐให้สอดคล้องกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ แผนการปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายป่าไม้แห่งชาติ และแผนแม่บทพัฒนาการป่าไม้แห่งชาติอย่างมีประสิทธิภาพ |
|
(2) พัฒนาศักยภาพหน่วยงานภาครัฐที่มีบทบาทในการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตให้กับประชาชนและการบริการอื่น ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ สะดวก รวดเร็ว โปร่งใส โดยนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม |
|
(3) พัฒนาและส่งเสริมให้มีธรรมาภิบาลในการบริหารงานป่าไม้ทั้งระบบอย่างเป็นรูปธรรม โดยภาครัฐมีการบริหารอัตรากำลังที่มีความคล่องตัว ยึดระบบคุณธรรม บุคลากรภาครัฐยึดค่านิยมในการทำงานเพื่อประชาชนและประเทศมีคุณธรรมและมีการพัฒนาตามเส้นทางความก้าวหน้าในอาชีพ |
|
(4) พัฒนาบุคลากรภาครัฐที่ปฏิบัติงานด้านทรัพยากรป่าไม้ทุกระดับให้มีความเป็นมืออาชีพในงานป่าไม้ มีความเหมาะสมกับตำแหน่งงาน รวมทั้งจัดสวัสดิการของบุคลากรหรือเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานคุ้มครอง และรักษาทรัพยากรป่าไม้ในภาคสนามให้มีความเหมาะสมกับลักษณะงานที่ปฏิบัติและไม่น้อยกว่าบุคลากรสายงานอื่นที่มีลักษณะงานคล้ายคลึงกัน |
|
(5) กำหนดให้มียุทธศาสตร์หรือแผนการวิจัยภาคป่าไม้ในนโยบาย ยุทธศาสตร์ หรือแผนการวิจัยระดับชาติ และ/หรือพิจารณาจัดตั้งสถาบันวิจัยป่าไม้ในระดับชาติ รวมทั้งสนับสนุนและพัฒนางานวิชาการ วิจัย และนวัตกรรมให้ตอบสนองต่อการปฏิรูปทรัพยากรป่าไม้ทั้งระบบ |
|
(6) ปรับปรุงและพัฒนากฎหมายเกี่ยวกับการป่าไม้และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้มีความสอดคล้องเหมาะสมกับบริบทของสังคมและสภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการป่าไม้ทั้งระบบ รวมทั้ง พัฒนาการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ เท่าเทียม และนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมาย |
|
(7) ให้มี คปช. ที่จัดตั้งเป็นการถาวรโดยกฎหมาย มีหน้าที่และอำนาจในการกำหนดนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรป่าไม้ของประเทศทั้งระบบ รวมทั้งกำกับ ติดตาม ตรวจสอบ ประสานและให้คำแนะนำแก่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องและให้พิจารณาจัดตั้งสำนักงาน คปช. เพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อนและสนับสนุนการดำเนินงานของ คปช. |
____________
1คณะอนุกรรมการฯ แต่งตั้งจากคำสั่ง คปช. ที่ 1/2561 ลงวันที่ 12 ธันวาคม 2561 โดยนายขวัญชัย ดวงสถาพร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านทรัพยากรป่าไม้ เป็นประธาน มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำร่างนโยบายป่าไม้แห่งชาติและร่างแผนแม่บทพัฒนาการป่าไม้แห่งชาติ และทบทวนนโยบายป่าไม้แห่งชาติและแผนแม่บทพัฒนาการป่าไม้แห่งชาติ เพื่อเสนอต่อ คปช. ทุกสามปี
7. เรื่อง สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2566
คณะรัฐมนตรีรับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2566 เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2566 ตามที่คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) เสนอ
สาระสำคัญ
1. การประชุม กนป. ครั้งที่ 2/2566 เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2566 มีรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) เป็นประธาน มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
ประเด็น |
มติ กนป. |
(1) โครงการบริหารจัดการสมดุลน้ำมันปาล์ม ปี 2566- 2567 |
มอบกระทรวงพาณิชย์ (พณ.) (กรมการค้าภายใน) พิจารณาทบทวนรายละเอียดโครงการบริหารจัดการสมดุลน้ำมันปาล์ม ปี 2566 - 2567 ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 (เรื่อง การจัดทำมาตรการ/โครงการเพื่อสนับสนุนหรือให้ความช่วยเหลือเกษตรกร) ซึ่งให้ความสำคัญในเรื่องของการเพิ่มระดับประสิทธิภาพการผลิต (Productivity) และการสร้างมูลค่าเพิ่ม ให้แก่สินค้าเกษตร เพื่อช่วยยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตให้เกษตรกรได้อย่างยั่งยืนต่อไป |
(2) การกำหนดมาตรการเกี่ยวกับการรับซื้อผลปาล์มน้ำมัน |
(1) เห็นชอบการกำหนดมาตรการเกี่ยวกับการรับซื้อผลปาล์มน้ำมัน : โดยกำหนด “ห้ามมิให้ผู้ประกอบการจุดรับซื้อผลปาล์มน้ำมัน (ลานเท) กระทำด้วยประการใด ๆ เพื่อให้ผลปาล์มน้ำมันร่วงอย่างไม่เป็นธรรมชาติ* ไม่ว่าจะโดยใช้ตะแกรง รางเทสำหรับลำเลียงทะลายปาล์มน้ำมันที่เป็นตะแกรง อุปกรณ์หรือสิ่งอื่นใดสำหรับแยกผลปาล์มน้ำมันร่วง” โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 *หมายเหตุ : เนื่องจากการสกัดน้ำมันจากทะลายปาล์มที่มีผลปาล์มสุกพร้อมกันจะทำให้สามารถสกัดน้ำมันได้มีคุณภาพมากกว่าการสกัดจากผลปาล์มร่วง (2) มอบ พณ. (กรมการค้าภายใน) นำมาตรการเกี่ยวกับการรับซื้อผลปาล์มน้ำมันเสนอคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน) เพื่อกำหนดมาตรการทางกฎหมายให้สามารถมีผลบังคับใช้และสามารถดำเนินการให้เกิดประสิทธิผลได้ในทางปฏิบัติ |
(3) การปรับปรุงองค์ประกอบในคณะอนุกรรมการบริหารจัดการสมดุลน้ำมันปาล์ม |
(1) เห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบในคณะอนุกรรมการบริหารจัดการสมดุลน้ำมันปาล์ม ในส่วนของผู้แทนเกษตรกร จากเดิม ประธานคณะกรรมการด้านปาล์มน้ำมันและพืชพลังงาน สภาเกษตรกรแห่งชาติ (นายพันศักดิ์ จิตรรัตน์) เป็น ผู้แทนสภาเกษตรกรแห่งชาติ (ด้านปาล์มน้ำมัน) (2) มอบฝ่ายเลขานุการ กนป. (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) เสนอคำสั่ง กนป. แก้ไขคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารจัดการสมดุลน้ำมันปาล์ม เสนอประธาน กนป. พิจารณาลงนามต่อไป |
(4) การพิจารณาการเข้าร่วมเป็นสมาชิกสภามนตรีประเทศผู้ผลิตน้ำมันปาล์มของไทย |
เห็นควรชะลอการพิจารณาการเข้าร่วมเป็นสมาชิกสภามนตรีประเทศผู้ผลิตน้ำมันปาล์ม (Council of Palm Producing Countries: CPOPC) ของไทย**และมอบหมายฝ่ายเลขานุการ กนป. หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อสรุปก่อนที่จะนำมาเสนอ กนป. พิจารณาต่อไป พร้อมทั้งให้แจ้งกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป เพื่อให้เกิดความรอบคอบในการพิจารณาและครอบคลุมในทุกมิติ **หมายเหตุ : CPOPC มีสมาชิกประกอบด้วย (1) มาเลเซีย และ (2) อินโดนีเซียโดยไทยชะลอการพิจารณาการเข้าร่วมเป็นสมาชิกดังกล่าว เนื่องจากอยู่ระหว่างการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง |
(5) แนวทางการรับเบี้ยประชุมของกรรมการใน กนป. และอนุกรรมการภายใต้ กนป. |
ให้คงแนวทางการเบิกค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมและเบี้ยประชุมของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการ ภายใต้ กนป. ที่เบิกจ่ายจากงบประมาณของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ พ.ศ. 2551 ข้อ 10 ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินการจัดประชุมของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการ ภายใต้ กนป. มีประสิทธิภาพสูงสุดและไม่เป็นภาระทางด้านงบประมาณ ให้คณะกรรมการและคณะอนุกรรมการภายใต้ กนป. พิจารณาดำเนินการจัดประชุมตามความเหมาะสมเท่าที่จำเป็นและเกิดประโยชน์สูงสุด |
(6) การจัดทำโครงสร้างราคาผลปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม |
มอบหมายสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะอนุกรรมการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งระบบ รับข้อสังเกตจากที่ประชุมและเร่งรัดการดำเนินโครงการวิจัย “สมการโครงสร้างราคาผลปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม” ที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เป็นผู้ดำเนินการ ให้แล้วเสร็จภายในกรอบระยะเวลาดำเนินโครงการ (เดือนตุลาคม 2566 - มีนาคม 2567) และนำมาเสนอ กนป. เพื่อพิจารณาต่อไป |
(7) การตรวจสอบและทบทวนคณะอนุกรรมการและคณะทำงานภายใต้ กนป. |
(1) เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการ กนป. พิจารณาตรวจสอบและทบทวนสถานะการคงอยู่ของคณะอนุกรรมการและคณะทำงาน ภายใต้ กนป. พร้อมทั้งปรับปรุงองค์ประกอบ หน้าที่ และอำนาจให้ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน ทั้งนี้ ในกรณีที่มีการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิหรือบุคคลเป็นอนุกรรมการหรือคณะทำงานควรกำหนดวาระในการดำรงตำแหน่งด้วยเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการกลั่นกรองและเสนอมาตรการและนโยบายในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งระบบ (2) มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการ กนป. ติดตามความคืบหน้าในการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการและคณะทำงาน ภายใต้ กนป. เพื่อรายงานให้ กนป. ทราบต่อไป |
2. ฝ่ายเลขานุการ กนป. (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร) แจ้งว่า
2.1 การกำหนดมาตรการเกี่ยวกับการรับซื้อผลปาล์มน้ำมัน [ตามข้อ 1 (2)] : เป็นการพัฒนาคุณภาพผลปาล์มน้ำมันและเพิ่มอัตราสกัดน้ำมันปาล์มจะส่งผลให้มีปริมาณน้ำมันปาล์มดิบทั้งระบบเพิ่มขึ้น ช่วยลดต้นทุนการผลิต เพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งระบบ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและยกระดับอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มของไทยได้อย่างยั่งยืน
2.2 การตรวจสอบและทบทวนสถานการณ์คงอยู่ของคณะอนุกรรมการและคณะทำงาน ภายใต้ กนป. และการปรับปรุงองค์ประกอบในคณะอนุกรรมการ [ตามข้อ 1 (3) และ (7)] : ทำให้คณะอนุกรรมการและคณะทำงานภายใต้ กนป. มีหน้าที่และอำนาจที่ถูกต้องเป็นปัจจุบันและมีความเหมาะสมกับสถานการณ์ซึ่งจะส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพในการกลั่นกรองและเสนอมาตรการ นโยบาย ในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มทั้งระบบ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2564 (เรื่อง แนวทางการใช้ระบบคณะกรรมการเพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล)
2.3 การกำหนดแนวทางการรับเบี้ยประชุมของกรรมการใน กนป. และอนุกรรมการภายใต้ กนป. [ตามข้อ 1 (5)] : จะทำให้การพิจารณาดำเนินการจัดประชุมเป็นไปตามความเหมาะสม เท่าที่จำเป็น และเกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งไม่เป็นภาระทางด้านงบประมาณ
2.4 การจัดทำโครงสร้างราคาผลปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม [ตามข้อ 1 (6)] : จะทำให้มีเกณฑ์โครงสร้างราคาที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและสอดคล้องกับสถานการณ์อุปสงค์อุปทานในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งโครงสร้างราคาผลปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มจะต้องเป็นที่ยอมรับจากเกษตรกรและผู้ประกอบการและสร้างความเป็นธรรมในการซื้อขายผลปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มกับทุกฝ่าย
8. เรื่อง ขออนุมัติรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป สำหรับโครงการผลิตแพทย์และทีมนวัตกรรมสุขภาพเพื่อเวชศาสตร์ครอบครัวตอบสนองต่อระบบสุขภาพปฐมภูมิทั่วไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการของโครงการผลิตแพทย์และทีมนวัตกรรมสุขภาพเพื่อเวชศาสตร์ครอบครัวตอบสนองต่อระบบสุขภาพปฐมภูมิทั่วไทย (โครงการผลิตแพทย์ฯ)
2. อนุมัติรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป สำหรับโครงการผลิตแพทย์ฯ จำนวนทั้งสิ้น 37,234.48 ล้านบาท
สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการดังกล่าว เห็นควรให้กระทรวงสาธารณสุข โดยสถาบันพระบรมราชชนกจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณพร้อมทั้งรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีและพิจารณาความครอบคลุมทุกแหล่งเงิน หรือนำเงินนอกงบประมาณมาสมทบตามความพร้อม ความจำเป็นและความเหมาะสมที่จะต้องใช้จ่ายในแต่ละปีงบประมาณ รวมทั้งพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
สาระสำคัญ
1. โครงการผลิตแพทย์ฯ เป็นโครงการที่มุ่งเน้นการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ (Primary care service)1 ซึ่งเป็นระบบบริการสุขภาพด่านแรกของระบบบริการสาธารณสุขเพื่อดูแลสุขภาพของประชาชนในท้องถิ่นที่จะช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้อย่างทั่วถึง (เช่น สถานีชุมชน ศูนย์สุขภาพชุมชน โรงพยาบาลชุมชน เป็นต้น) โดยหน่วยบริการปฐมภูมิจะขับเคลื่อนด้วยทีมหมอครอบครัว (PCC : Primary Care Cluster) ซึ่งประกอบด้วยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและสหวิชาชีพ รวม 9 สาขาวิชาชีพ (ได้แก่ แพทย์เวชศาสตร์ พยาบาล นักวิชาการสาธารณ์สุข ผู้ช่วยพยาบาล ผู้ช่วยสาธารณสุข ทันตแพทย์ เภสัชกร นักฉุกเฉินการแพทย์ และแพทย์แผนไทย) โดย สธ. ตั้งเป้าหมายให้มีหน่วยบริการปฐมภูมิ จำนวน 6,500 แห่ง ในปี 2572 เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมีหน่วยบริการปฐมภูมิที่ให้บริการประชาชน จำนวน 3,985 แห่ง (ต่ำกว่าเป้าหมาย 2,515 แห่ง)
2. สธ. (สถาบันพระบรมราชชนก) จึงได้จัดทำโครงการผลิตแพทย์ฯ ขึ้น เพื่อผลิตกำลังคนด้านสาธารณสุขในสาขาต่าง ๆ รวม 9 สาขา และสนับสนุนการพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิของประเทศ โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
หัวข้อ |
รายละเอียด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
วัตถุประสงค์ |
(1) เพื่อผลิตบุคลากรทางการแพทย์ การพยาบาล และการสาธารณสุขในการพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิของประเทศตามแนวคิดเวชศาสตร์ครอบครัว2 (2) เพื่อพัฒนาบุคลากรของสถาบันพระบรมราชชนก3 และหน่วยงานเครือข่ายใน สธ. ให้มีสมรรถนะและตอบสนองความต้องการผลิตบุคลากรตามแนวคิดเวชศาสตร์ครอบครัว (3) เพื่อกระจายโอกาสทางการศึกษาทางการแพทย์ การพยาบาล และการสาธารณสุขไปสู่ประชาชนในส่วนภูมิภาค |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
วิธีดำเนินการ |
(1) ดำเนินการจัดตั้งสำนักบริหารการผลิตบุคลากรเพื่อตอบสนองงานบริการปฐมภูมิ โดยทำหน้าที่ เช่น กำหนดเกณฑ์การคัดเลือกพื้นที่ขาดแคลน บริหารงบประมาณให้สถาบันพระบรมราชชนกและมหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมความร่วมมือ กำกับติดตามการจัดการศึกษาให้ได้ตามมาตรฐานวิชาชีพ เป็นต้น (2) การรับสมัครและคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต ซึ่งมี 2 ประเภท ดังนี้ (2.1) เป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 แผนการศึกษา วิทย์ - คณิต (หลักสูตร 6 ปี) (2.2) เป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญา ด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ (หลักสูตร 5 ปี) (3) การรับสมัครและคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาหลักสูตรทุกวิชาชีพ และดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรฐานหลักสูตรของแต่ละมหาวิทยาลัย รวมถึงเกณฑ์มาตรฐานประกอบวิชาชีพที่สภาวิชาชีพกำหนด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ระยะเวลาดำเนินการ |
ปีการศึกษา พ.ศ. 2568 - 2577 |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
แผนการผลิต |
ครอบคลุมระยะเวลา 10 ปี ระหว่างปีการศึกษา 2568 - 25677 โดยมีรายละเอียดดังนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ค่าใช้จ่ายและแหล่งที่มา |
กรอบวงเงินงบประมาณที่ใช้ในโครงการผลิตแพทย์ฯ มีจำนวนทั้งสิ้น 37,234.48 ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี รายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
*หมายเหตุ : ระยะเวลาโครงการผลิตแพทย์ฯ รับผู้เรียนในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 - 2577 และผูกพันงบประมาณจนผู้เรียนปีสุดท้ายจบการศึกษาในปี 2583 |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ผลที่คาดว่าจะได้รับ |
(1) บุคลากรทางการแพทย์ การพยาบาล และการสาธารณสุขสามารถพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิของประเทศตามแนวคิดเวชศาสตร์ครอบครัว (2) บุคลากรของสถาบันพระบรมราชชนกและหน่วยงานเครือข่ายใน สธ. ได้รับการพัฒนาให้มีสมรรถนะตอบสนองความต้องการการผลิตบุคลากรตามแนวคิดเวชศาสตร์ครอบครัว (3) กระจายโอกาสทางการศึกษาทางการแพทย์ การพยาบาล และการสาธารณสุขไปสู่ประชาชนในส่วนภูมิภาค |
3. สภาสถาบันพระบรมราชชนก [นายกสภาสถาบัน (ศาสตราจารย์วิจารณ์ พานิช) เป็นประธาน] ในการประชุมครั้งที่ 9/2566 เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2566 และที่ประชุมผู้บริหารระดับสูง สธ. (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน) ในการประชุมครั้งที่ 10/2566 เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2566 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแนวทางและหลักการโครงการผลิตแพทย์ฯ แล้ว
4. สธ. แจ้งว่า โครงการผลิตแพทย์ฯ จะช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ การพยาบาล และการสาธารณสุขและทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขได้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขยืนยันว่า โครงการผลิตแพทย์ฯ ที่เสนอในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ที่จะผลิตบุคลากรด้านสาธารณสุขปฐมภูมิเป็นหลัก โดยมีกลไก ในการคัดกรองผู้สมัครอย่างชัดเจน เพื่อตอบสนองต่อการพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิของประเทศ และส่งเสริมให้เกิดการกระจายตัวของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องไปปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศ ซึ่งในส่วนของสถาบันการศึกษาก็มีความพร้อมที่จะผลิตนักศึกษา ทั้ง 9 สาขา ตามกรอบการดำเนินโครงการ
______________________
1 ระบบบริการปฐมภูมิ (Primary care service) คือ บริการทางการแพทย์ที่มุ่งเน้นการดูแลสุขภาพของคนในชุมชนในลักษณะองค์รวม ซึ่งครอบคลุมการส่งเสริมสุขภาพ การควบคุมโรค การป้องกันโรค การตรวจวินิจฉัยโรคการรักษาพยาบาล และการฟื้นฟูสุขภาพ โดยจะเป็นการรักษาพยาบาลที่การให้บริการสิ้นสุดที่บริการผู้ป่วยนอก ในกรณีที่ประชาชนเกิดอาการเจ็บป่วย ผู้ป่วยจะได้รับการดูแลในเบื้องต้นและถูกส่งต่อไปยังสถานพยาบาลสำหรับการรักษาที่ซับซ้อนต่อไป
2 เวชศาสตร์ครอบครัว คือ สาขาหนึ่งของการแพทย์เฉพาะทางซึ่งเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยในระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ เช่น การดูแลผู้ป่วยด่านแรก การประสานงานกับทีมแพทย์และสาขาวิชาชีพอื่น ๆ การดูแลผู้ป่วยในชุมชน เป็นต้น
3 สถาบันพระบรมราชชนก เป็นสถาบันอุดมศึกษาเฉพาะทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพที่จัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ มีฐานะเป็นนิติบุคคลและเป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณอยู่ในสังกัด สธ. (ตามพระราชบัญญัติสถาบันพระบรมราชชนก พ.ศ. 2562) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตและพัฒนาบุคลากรตามความต้องการของ สธ. ซึ่งวิทยาลัยในสังกัดรวมทั้งสิ้น 39 แห่ง เป็นวิทยาลัยพยาบาล จำนวน 30 แห่ง วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จำนวน 7 แห่ง วิทยาลัยเทคโนโลยีทางการแพทย์และสาธารณสุข กาญจนาภิเษก จำนวน 1 แห่ง และวิทยาลัยการแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร จังหวัดปราจีนบุรี จำนวน 1 แห่ง
9. เรื่อง แนวทางการป้องกันการก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่และการบริหารงานบุคคลในราชการพลเรือน
คณะรัฐมนตรีรับทราบแนวทางการป้องกันการก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่และการบริหารงานบุคคลในราชการพลเรือน ตามมติคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ในการประชุมครั้งที่ 4/2566 เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2566 ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ
สาระสำคัญ
1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 76 วรรคสอง บัญญัติให้รัฐพึงดำเนินการให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของหน่วยงานของรัฐให้เป็นไปตามระบบคุณธรรม โดยกฎหมายดังกล่าวอย่างน้อยต้องมีมาตรการป้องกันมิให้ผู้ใดใช้อำนาจ หรือกระทำการโดยมิชอบที่เป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ หรือกระบวนการแต่งตั้งหรือการพิจารณาความดีความชอบของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
2. สำนักงาน ก.พ. รายงานว่า
2.1 ก.พ. ในการประชุมครั้งที่ 4/2566 เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2566 มีมติเห็นชอบแนวทางการป้องกันการก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่และการบริหารงานบุคคลในราชการพลเรือน และให้รายงานคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบว่าได้มีการดำเนินการตามมาตรา 76 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแล้ว โดยมีความเห็นและข้อสังเกตด้วยว่า ปัจจุบันมีมาตรการในการป้องกันมิให้ผู้ใดใช้อำนาจ หรือกระทำการโดยมิชอบที่เป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ หรือกระบวนการแต่งตั้งหรือการพิจารณาความดีความชอบของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามนัยมาตรา 76 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยอยู่แล้วเพียงแต่ถูกกำหนดไว้ในบทบัญญัติของกฎหมายหลายฉบับ ดังนั้น ในชั้นนี้จึงเห็นว่ายังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องจัดทำเป็นกฎหมายฉบับใหม่เพิ่มเติม ทั้งนี้ เมื่อสำนักงาน ก.พ. ได้รวบรวมมาตรการหรือแนวทางในเรื่องดังกล่าวให้เป็นเอกภาพและจัดทำเป็นหนังสือเพื่อแจ้งเวียนส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว ให้รายงานคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป
2.2 สำนักงาน ก.พ. ได้ดำเนินการตามมติ ก.พ. โดยจัดทำแนวทางการป้องกันการก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่และการบริหารงานบุคคลในราชการพลเรือน และแจ้งเวียนส่วนราชการทราบและถือปฏิบัติเรียบร้อยแล้ว ตามหนังสือสำนักงาน ก.พ. ที่ นร 1012.3/ว 14 ลงวันที่ 8 สิงหาคม 2566 พร้อมทั้งได้แจ้งแนวทางดังกล่าวให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา และสำนักงานขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญทราบและพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วยแล้ว
2.3 แนวทางการป้องกันการก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่และการบริหารงานบุคคลในราชการพลเรือนมีรายละเอียด ดังนี้
2.3.1 คำจำกัดความ
ในแนวทางนี้
การก้าวก่ายแทรกแซง หมายความว่า การที่บุคคลผู้ใดซึ่งไม่ได้ถูกกำหนดให้มีหน้าที่และอำนาจเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่หรือการบริหารงานบุคคลของข้าราชการพลเรือนได้ใช้อำนาจ หรือกระทำการโดยมิชอบ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่หรือการบริหารงานบุคคลของข้าราชการพลเรือน เป็นไปเพื่อประโยชน์ของบุคคลผู้นั้นหรือผู้อื่นไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อมและไม่ว่าการกระทำหรือพฤติกรรมนั้นจะประสบผลสำเร็จตามความประสงค์ของผู้นั้นหรือไม่
ทั้งนี้ การให้คำแนะนำ ข้อเสนอแนะ หรือการแสดงความคิดเห็นจากผู้ที่ไม่มีหน้าที่และอำนาจเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวที่ได้กระทำไปโดยสุจริตเปิดเผย และสามารถระบุหรืออ้างอิงตัวบุคคลผู้นั้นได้ ไม่ถือเป็นการก้าวก่ายแทรกแซงตามแนวทางนี้
การปฏิบัติหน้าที่ หมายความว่า การปฏิบัติราชการตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ ประกาศ คำสั่ง มติคณะรัฐมนตรี นโยบายของรัฐบาล และการปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาซึ่งสั่งในหน้าที่ราชการโดยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบของทางราชการ
การบริหารงานบุคคล หมายความว่า การดำเนินการใด ๆ ตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน รวมถึงกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องนับตั้งแต่การสรรหา การบรรจุ การแต่งตั้ง (การย้าย การโอน การเลื่อน) การประเมินผลการปฏิบัติราชการการเลื่อนเงินเดือน การพิจารณาความดีความชอบ การพัฒนาข้าราชการ การปกครองบังคับบัญชา การดำเนินการทางวินัย การให้ออกจากราชการ ทั้งนี้ ให้หมายความรวมถึงการมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินด้วย
2.3.2 แนวทางในการดำเนินการ
เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีบุคคลผู้ใดได้กระทำการอันมีลักษณะเป็นการก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่หรือการบริหารงานบุคคลในราชการพลเรือนให้ผู้ที่ได้รับรู้รับทราบถึงการกระทำนั้น หรือผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการ เงื่อนไข หรือขั้นตอนที่กฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือข้อบังคับว่าด้วยการนั้นกำหนดไว้ในแต่ละกรณีดังต่อไปนี้
(1) กรณีสงสัยว่านายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีผู้ใดใช้สถานะหรือตำแหน่งการเป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี กระทำการอันมีลักษณะเป็นการก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่หรือการบริหารงานบุคคลในราชการพลเรือน ซึ่งอาจเข้าข่ายเป็นการกระทำต้องห้ามตามมาตรา 186 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และอาจเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้นั้นสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามมาตรา 170 (5) ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องแจ้งต่อผู้มีหน้าที่* เพื่อดำเนินการให้มีการวินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของผู้นั้นสิ้นสุดลงหรือไม่ตามนัยมาตรา 82 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป
(2) กรณีสงสัยว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา ผู้ใดใช้สถานะหรือตำแหน่งการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภากระทำการอันมีลักษณะเป็นการก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่หรือการบริหารงานบุคคลของข้าราชการพลเรือน ซึ่งอาจเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ต้องห้ามตามมาตรา 185 (1) และ (3) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และอาจเป็นเหตุใหัสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาผู้นั้นสิ้นสุดลงตามมาตรา 101 (7) หรือมาตรา 111 (7) แล้วแต่กรณี ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องแจ้งต่อผู้มีหน้าที่* เพื่อดำเนินการให้มีการวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาผู้นั้นสิ้นสุดลงหรือไม่ ตามนัยมาตรา 82 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป
(3) กรณีสงสัยว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ ผู้ใดกระทำการอันมีลักษณะเป็นการก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่หรือการบริหารงานบุคคลในราชการพลเรือน ซึ่งอาจเข้าข่ายการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 และอาจเป็นเหตุให้ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องแจ้งต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเพื่อพิจารณาดำเนินการตามนัยมาตรา 235 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หรือตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ต่อไป
(4) กรณีสงสัยว่ากรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติมผู้ใดกระทำการอันเป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่หรือการบริหารงานบุคคลของข้าราชการพลเรือนซึ่งอาจเข้าข่ายเป็นการกระทำผิดวินัยตามข้อ 11 ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และอาจเป็นเหตุให้ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งตามข้อ 8 (4) ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อให้นายกรัฐมนตรีวินิจฉัยหรือสั่งการตามข้อ 11 วรรคสาม ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติมต่อไป
(5) กรณีสงสัยว่าข้าราชการพลเรือนสามัญตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ผู้ใดกระทำการอันมีลักษณะเป็นการก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่หรือการบริหารงานบุคคลของข้าราชการพลเรือน ซึ่งอาจเข้าข่ายกระทำผิดวินัยตามหมวด 6 วินัยและการรักษาวินัย ของพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องแจ้งต่อผู้บังคับบัญชาของข้าราชการผู้นั้นเพื่อดำเนินการตามมาตรา 90 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ประกอบกับกฎ ก.พ. ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย พ.ศ. 2556 ต่อไป
ทั้งนี้ กรณีสงสัยว่าบุคคลอื่นที่ไม่ได้มีการระบุไว้ตามแนวทางดังกล่าวข้างต้น เช่น ข้าราชการการเมืองอื่นตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการการเมือง [นอกเหนือจากตำแหน่งตามข้อ (1)] บุคคลหรือผู้ปฏิบัติงานให้แก่ข้าราชการการเมืองในตำแหน่งที่ปรึกษาหรือตำแหน่งอื่น ๆ ที่รัฐมนตรีแต่งตั้งนอกเหนือจากที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการการเมืองและระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ข้าราชการรัฐสภาฝ่ายการเมืองตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการรัฐสภา ผู้ใดใช้สถานะหรือตำแหน่งที่ได้รับแต่งตั้งกระทำการอันมีลักษณะเป็นการก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่หรือการบริหารบุคคลของข้าราชการพลเรือน ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องแจ้งต่อผู้มีหน้าที่และอำนาจดำเนินการเพื่อให้มีการพิจารณาวินิจฉัยตามอำนาจหน้าที่หรือตามขั้นตอนที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับว่าด้วยการนั้นต่อไป
3. สำนักงาน ก.พ แจ้งว่าสำนักงาน ก.พ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการดำเนินงานในหน้าที่ของ ก.พ. และดำเนินการตามที่ ก.พ. มอบหมาย ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 13 (1) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ได้ขอให้นำเรื่องนี้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ ตามที่ ก.พ. ได้มีมติมอบหมายในคราวประชุมครั้งที่ 4/2566
________________________
* ผู้มีหน้าที่ หมายถึง ผู้มีหน้าที่ดำเนินการตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามแต่กรณี เช่น กรณีสงสัยนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี และกรณีสงสัยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา ให้ถือว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา จำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภาหรือคณะกรรมการการเลือกตั้ง เป็นผู้มีหน้าที่ ตามมาตรา 82 และมาตรา 170 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
10. เรื่อง ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet
คณะรัฐมนตรีรับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาลกรณีการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เสนอ และมอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet รับเรื่องนี้ไปพิจารณาให้ได้ข้อยุติ โดยให้คณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet สรุปผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการ/ความเห็นในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ภายใน 30 วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งจาก สลค. เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
11. เรื่อง รายงานสถานการณ์น้ำภาพรวมประเทศ (ระหว่างวันที่ 14 - 19 กุมภาพันธ์ 2567)
คณะรัฐมนตรีรับทราบสถานการณ์น้ำปัจจุบันและการคาดการณ์ ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เสนอ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามพื้นที่เฝ้าระวังเสี่ยงขาดแคลนน้ำฤดูแล้ง ปี 2566/67 อย่างใกล้ชิดเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนให้เกิดน้อยที่สุด
สาระสำคัญและข้อเท็จจริง
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้บูรณาการข้อมูลที่เกี่ยวข้องและขอสรุปสถานการณ์น้ำระหว่างวันที่ 14 - 19 กุมภาพันธ์ 2567 มีดังนี้
1. สภาพอากาศและการคาดการณ์ฝน
ปัจจุบันพบว่าปรากฏการณ์เอลนีโญกำลังแรงจะอ่อนกำลังลงและจะกลับเข้าสู่สภาวะเป็นกลางในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน หลังจากนั้นมีโอกาสที่จะเปลี่ยนเข้าสู่สภาวะลานีญาในช่วงเดือนกรกฎาคม - กันยายน ด้วยความน่าจะเป็นร้อยละ 68
ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางและภาคตะวันออก ในขณะที่มีลมฝ่ายตะวันตกในระดับบนพัดปกคลุมภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง สำหรับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคใต้ยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง
2. สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำต่าง ๆ และการคาดการณ์
(1) สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำภาพรวมประเทศ สถานการณ์แหล่งน้ำทั่วประเทศปัจจุบัน (ข้อมูลวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567) มีปริมาณน้ำ 55,029 ล้านลูกบาศก์เมตร (67%) น้อยกว่าปี 2566 จำนวน 3,979 ล้านลูกบาศก์เมตร มีปริมาณน้ำใช้การ 30,818 ล้านลูกบาศก์เมตร (53%) มีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่ต้องเฝ้าระวังน้ำน้อย (ปริมาณน้ำต่ำกว่าเกณฑ์เก็บกักต่ำสุด (Lower Rule Curve)) 4 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำสิริกติ์ อ่างเก็บน้ำกระเสียว อ่างเก็บน้ำจุฬาภรณ์ และอ่างเก็บน้ำคลองสียัด และเฝ้าระวังอ่างเก็บน้ำขนาดกลางที่มีน้ำน้อยกว่า 30% ของความจุเก็บกัก จำนวน 28 แห่ง ได้แก่ ภาคเหนือ 2 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5 แห่ง ภาคกลาง 2 แห่ง ภาคตะวันออก 8 แห่ง และภาคตะวันตก 11 แห่ง
(2) การคาดการณ์ปริมาณน้ำใช้การอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 35 แห่ง
ต้นฤดูฝน ปี 2567 (วันที่ 1 พฤษภาคม 2567) จะมีปริมาณน้ำ 17,538 ล้าน ลบ.ม. (37%) เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 ที่มีปริมาณน้ำใช้การ 17,787 ล้าน ลบ.ม. มากกว่า 249 ล้าน ลบ.ม.
ต้นฤดูแล้ง ปี 2567/68 (วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567) จะมีปริมาณน้ำ 30,464 ล้าน ลบ.ม. (64%) เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 ที่มีปริมาณน้ำใช้การ 32,849 ล้าน ลบ.ม. มากกว่า 2,385 ล้าน ลบ.ม.
(3) การคาดการณ์ปริมาณน้ำที่อยู่ในเกณฑ์น้ำน้อยปี 2567 (ปริมาณน้ำต่ำกว่าเกณฑ์ปฏิบัติการอ่างเก็บน้ำต่ำสุด Lower Rule Curve) ภาคเหนือ 3 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำภูมิพล อ่างเก็บน้ำสิริกิติ์ และอ่างเก็บน้ำทับเสลา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำห้วยหลวง และอ่างเก็บน้ำสิรินธร ภาคตะวันตก 3 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำศรีนครินทร์ อ่างเก็บน้ำแก่งกระจานและอ่างเก็บน้ำปราณบุรี ภาคตะวันออก 2 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำขุนด่านปราการชลและอ่างเก็บน้ำคลองสียัด
3. สถานการณ์แม่น้ำโขง
สถานการณ์น้ำในแม่น้ำโขง อยู่ในเกณฑ์น้ำน้อยวิกฤต และมีแนวโน้มทรงตัว
4. คุณภาพน้ำ
คุณภาพน้ำในแม่น้ำสายหลักส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ปกติ ยกเว้นแม่น้ำท่าจีน แม่น้ำเจ้าพระยา และแม่น้ำบางปะกง ได้ติดตามและเฝ้าระวังน้ำทะเลหนุนสูงและน้ำเค็มรุกล้ำแม่น้ำในช่วงวันที่ 9 – 15 กุมภาพันธ์ 2567 ในพื้นที่ดังนี้
(1) พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมบริเวณชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำ และแนวเขื่อนชั่วคราว บริเวณที่ไม่มีแนวป้องกันน้ำถาวร (แนวฟันหลอ) ในพื้นที่ใกล้เคียงจังหวัดสมุทรสงคราม สมุทรสาคร นครปฐม นนทบุรี กรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ
(2) เฝ้าระวังน้ำเค็มรุกล้ำส่งผลกระทบต่อคุณภาพน้ำใช้อุปโภค บริโภค และการเกษตรแม่น้ำเจ้าพระยา ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร สมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และปทุมธานี แม่น้ำแม่กลอง ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม แม่น้ำท่าจีน ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร และนครปฐม แม่น้ำบางปะกงในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา และปราจีนบุรี
นอกจากนี้ สทนช. ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามและคาดการณ์สถานการณ์น้ำเค็มจากภาวะน้ำทะเลหนุนสูงอย่างใกล้ชิด โดยน้ำทะเลหนุนสูงอีกครั้งในช่วงวันที่ 21 - 25 กุมภาพันธ์ 2567 ทั้งนี้ ได้บูรณาการร่วมกับกรมชลประทานในการปรับเพิ่มอัตราการระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาและเขื่อนพระรามหกเพื่อควบคุมค่าความเค็มที่สถานีสูบน้ำสำแล ไม่ให้เกิน 0.5 กรัมต่อลิตร ในช่วงวันดังกล่าว และมอบหมายให้การประปานครหลวงและกรมชลประทาน เตรียมความพร้อมในการปฏิบัติการ Water Hammer Operation เพื่อช่วยผลักดันลิ่มความเค็มรุกเข้าแม่น้ำสายหลัก
5. การลงพื้นที่ตรวจราชการ
(1) สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำและพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำในพื้นที่ภาคเหนือ ตามมาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี 2566/67 ระหว่างวันที่ 14 - 15 กุมภาพันธ์ 2567 ณ จังหวัดแม่ฮ่องสอน และจังหวัดเชียงใหม่พบปัญหาปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้น้ำไม่มีแหล่งน้ำอื่นสำรอง ระบบกระจายน้ำไม่ครอบคลุมในพื้นที่ ลำน้ำตื้นเขิน สทนช. จึงได้เสนอแนวทางการแก้ไขระยะสั้น พร้อมทั้งได้ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการวางแผน บูรณาการแก้ไขปัญหาระยะกลางและระยะยาว โดยจะมีการจัดทำแผนบูรณาการเชิงพื้นที่ระดับลุ่มน้ำร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาน้ำแลัง น้ำท่วม และคุณภาพอย่างเป็นระบu (Area Based) และสอดคล้องกับแผนแม่บทลุ่มน้ำ โดยจะใช้รูปแบบแม่ฮ่องสอนโมเดล เป็นต้นแบบ รวมถึงเน้นการดำเนินการการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศด้านต่าง ๆ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านน้ำให้ยั่งยืนต่อไป
(2) นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ติดตามการบริหารจัดการพื้นที่เขตหนองหารและการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่หนองหาร ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 ณ จังหวัดสกลนคร โดยเน้นย้ำให้มีการแก้ไขปัญหาเรื่องเขตหรือพื้นที่ทับซ้อน และการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่หนองหารให้สามารถรองรับน้ำและกระจายน้ำได้อย่างเหมาะสม ป้องกันภัยน้ำท่วม ภัยแล้งได้ อีกทั้งได้แนะนำให้ปล่อยพันธุ์ปลาให้เพียงพอกับความต้องการของประชาชน และปล่อยพันธุ์ปลาที่เป็นที่ต้องการของตลาดด้วย เพื่อสร้างรายได้ให้กับประชาชนเพิ่มขึ้น
6. ถอดบทเรียนการบริหารจัดการน้ำ และมาตราการรับมือฤดูฝน ปี 2566
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการถอดบทเรียนการบริหารจัดการน้ำและมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2566 ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2567 ณ ห้องประชุมแคทลียา โรงแรมรามาการ์เด้น โดยที่ประชุมได้เสนอความคิดเห็นให้การดำเนินการมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น พิจารณาดำเนินการเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำแทนการจ่ายค่าชดเชย เพิ่มความแม่นยำของการคาดการณ์และประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสร้างเครือข่ายภาคประชาชนและเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายเดิมของหน่วยงานต่าง ๆ สนับสนุนการบริหารจัดการน้ำ เพิ่มเครื่องมือในการบริหารจัดการน้ำโดยพัฒนาระบบระบายน้ำและที่เก็บน้ำ เป็นต้น ทั้งนี้ สทนช. ได้กำหนด (ร่าง) มาตรการฤดูฝน ปี 2567 เพื่อยกระดับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบโดยการปรับปรุงแนวทางการดำเนินการจากปีที่ผ่านมา ซึ่งจะเสนอคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) และคณะรัฐมนตรี พิจารณา เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในช่วงฤดูฝน ปี 2567
12. เรื่อง ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ไปพลางก่อน งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการ Maha Songkran World Water Festival 2024 เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์ 2567
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ไปพลางก่อน งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 104,872,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินโครงการ Maha Songkran World Water Festival 2024 เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์ 2567 โดยให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมรายละเอียดประกอบ เพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป รวมทั้งให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณากำหนดกลไกในการขับเคลื่อนโครงการให้บรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงความโปร่งใส ความประหยัด ความคุ้มค่า ผมสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ ตลอดจนสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
สาระสำคัญ
กก. โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้กำหนดจัดงาน Maha Songkran World Water Festival 2024 เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์ 2567 ขึ้นในเดือนเมษายน 2567 ณ กรุงเทพมหานคร และพื้นที่อัตลักษณ์ 5 ภูมิภาคทั่วประเทศไทย1 เพื่อร่วมอนุรักษ์และสืบทอดประเพณีอันงดงามของไทยและเฉลิมฉลองในโอกาสที่องค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization: UNESCO) ได้ประกาศขึ้นทะเบียนให้ “สงกรานต์ในประเทศไทย” เป็นรายการมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (The Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity) ในการประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ครั้งที่ 18 เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2566 ณ เมืองคาเซเน สาธารณรัฐบอตสวานา โดยมีรายละเอียดการจัดงานสรุปได้ ดังนี้
หัวข้อ |
รายละเอียด |
วัตถุประสงค์ การจัดงาน |
- เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวและสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว - เพื่อผลักดันให้ประเทศไทย ติด 1 ใน 10 ประเทศสุดยอดเฟสติวัลของโลก |
กลุ่มเป้าหมาย |
- นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติจากทั่วโลก - สื่อมวลชน Online / Offline ทั้งในประเทศและต่างประเทศ |
พื้นที่ดำเนินการ |
- กรุงเทพมหานคร (บริเวณถนนราชดำเนินกลางและท้องสนามหลวง) - พื้นที่อัตลักษณ์ 5 ภูมิภาคทั่วประเทศ |
ระยะเวลาดำเนินงาน |
11 - 15 เมษายน 2567 |
ตัวอย่างกิจกรรม ภายในงาน |
- ขบวนรถพาเหรดสงกรานต์จากกลุ่มจังหวัดเป้าหมาย 16 จังหวัด* 11 อุตสาหกรรม Soft Power2 และหน่วยงานภาคเอกชน - การแสดงทางศิลปวัฒนธรรม เช่น โขน รำมโนราห์ การแสดงร่วมสมัยผสมผสานความเป็นไทย 5 ภาค และการแสดงวงออร์เคสตรา - การแสดงดนตรีจากศิลปินที่มีชื่อเสียงทั้งในประเทศและต่างประเทศ - ลานสงกรานต์ 5 ภาค นำเสนอประเพณีสงกรานต์ในแต่ละภูมิภาค - การแสดงน้ำพุประกอบดนตรี อุโมงค์น้ำ ถังน้ำล้นยักษ์ - การทำบุญตักบาตร รดน้ำผู้สูงอายุ และสรงน้ำพระ เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ไทย |
ผลที่คาดว่าจะได้รับ |
- สร้างสิทธิบัตร Intellectual Property Festival (IP Festival)3 เพื่อเชิดชูงานที่มีเอกลักษณ์ความเป็นไทย - จำนวนนักท่องเที่ยวเข้าร่วมงานมากกว่า 200,000 คน - สร้างรายได้และเงินหมุนเวียนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ประมาณ 3,125 ล้านบาท |
____________________________
1 พื้นที่อัตลักษณ์ 5 ภูมิภาคทั่วประเทศ (ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้) เช่น จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดเชียงราย จังหวัดลำปาง จังหวัดสุโขทัย จังหวัดราชบุรี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดสงขลา จังหวัดภูเก็ต จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดปัตตานี จังหวัดหนองคาย และจังหวัดนครพนม
2 11 อุตสาหกรรม Soft Power ได้แก่ (1) อาหาร (2) กีฬา (3) เฟสติวัล (4) ท่องเที่ยว (5) ดนตรี (6) หนังสือ (7) ภาพยนตร์ (8) เกม (9) ศิลปะ (10) การออกแบบ และ (11) แฟชั่น
3 Festival Economy หรือ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยงานเทศกาล โดยเน้นการใช้อัตลักษณ์ของเมือง (City DNA) มาผสานเข้ากับการออกแบบกิจกรรม (Experience Design) ก่อให้เกิดระบบนิเวศใหม่ (New Ecosystem) ในการพัฒนาเศรษฐกิจของเมืองผ่านการจัดงานเทศกาล ซึ่งสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) และพันธมิตรเครือข่ายที่มีความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบและจัดงานอีเวนต์สุดสร้างสรรค์ได้ร่วมกันออกแบบและสร้างสรรค์งานเทศกาลที่เหมาะสมให้แต่ละเมืองเพื่อพัฒนาต่อยอดจนเกิดเป็น “หนึ่งเมือง หนึ่งสิทธิบัตรงานเทศกาลนานาชาติ หรือ 1 City 1 IP (Intellectual Property)” ที่จะช่วยเพิ่มมูลค่า ยกระดับ และส่งออกงานเทศกาลที่เกิดจากอัตลักษณ์ของเมืองให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
* พื้นที่ดำเนินการ 16 จังหวัด แบ่งเป็น (1) จังหวัดหลัก 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดขอนแก่น จังหวัดชลบุรี จังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดนครศรีธรรมราช (2) จังหวัดนำร่อง 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย จังหวัดหนองคาย จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดสงขลา และจังหวัดบุรีรัมย์ และ (3) จังหวัดอื่น ๆ 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดนครพนม จังหวัดลำปาง จังหวัดเลย จังหวัดสุโขทัย และจังหวัดภูเก็ต
13. เรื่อง ขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีที่ห้ามใช้ประโยชน์ป่าชายเลน สำหรับดำเนินการโครงการพัฒนาปัจจัยพื้นฐานเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว กิจกรรมก่อสร้างถนนและสะพานเชื่อมโยงเส้นทางบริเวณอ่าวเขาควาย ท้องที่หมู่บ้านอ่าวเขาควาย ตำบลเกาะพยาม อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี ดังนี้
มติคณะรัฐมนตรี |
สาระสำคัญ |
(1) 15 ธันวาคม 2530 |
ให้กำหนดเขตพื้นที่ป่าชายเลนที่เป็นเขตอนุรักษ์ หมายถึง พื้นที่ป่าชายเลนที่หวงห้ามไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงสถานภาพการใช้ประโยชน์ใด ๆ นอกจากปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเพื่อรักษาไว้ซึ่งสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศ |
(2) 23 กรกฎาคม 2534 |
ให้ระงับการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลนโดยเด็ดขาด |
(3) 22 สิงหาคม 2543 |
ห้ามมิให้อนุญาตการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลนทุกกรณีทั้งภาครัฐและเอกชน |
(4) 17 ตุลาคม 2543 |
ห้ามมิให้อนุญาตการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลนในเขตอนุรักษ์ทุกกรณี |
เพื่อดำเนินโครงการพัฒนาปัจจัยพื้นฐานเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว กิจกรรมก่อสร้างถนนและสะพานเชื่อมโยงเส้นทางบริเวณอ่าวเขาควายท้องที่หมู่บ้านอ่าวเขาควาย ตำบลเกาะพยาม อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง
สาระสำคัญ
1. เดิมจังหวัดระนองได้ดำเนินโครงการพัฒนาปัจจัยพื้นฐานเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว กิจกรรมก่อสร้างถนนและสะพานแขวนเชื่อมโยงเส้นทางบริเวณอ่าวเขาควาย โดยมีรายละเอียดโครงการ ดังนี้
ประเด็น |
รายละเอียด |
1. วัตถุประสงค์ |
(1) เพื่อให้ประชาชนชาวไทยและชาวมอแกนที่อาศัยอยู่บริเวณบ้านอ่าวเขาควายสามารถเดินทางมารับบริการทางสาธารณสุขและทางการศึกษาได้อย่างสะดวกโดยเฉพาะในช่วงฤดูมรสุม1 (2) เพื่อให้มีถนนที่สามารถเชื่อมสถานที่ท่องเที่ยวในพื้นที่เกาะพยามและพื้นที่จังหวัดระนอง เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและเพื่อให้เกิดรายได้จากการท่องเที่ยว (ปัจจุบันดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จบางส่วน) |
2. รายละเอียดการก่อสร้าง |
(1) สะพานยาว 150 เมตร (2) ถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก กว้าง 3 เมตร ยาว 1.15 กิโลเมตร และไหล่ทางข้างละ 0.5 เมตร |
3. งบประมาณ |
20 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณตามแผนปฏิบัติรายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 ของจังหวัดระนอง |
2. ต่อมาจังหวัดระนองได้ปรับชื่อโครงการเป็น “โครงการพัฒนาปัจจัยพื้นฐานเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว กิจกรรมก่อสร้างถนนและสะพานเชื่อมโยงเส้นทางบริเวณอ่าวเขาควาย ท้องที่หมู่บ้านอ่าวเขาควาย ตำบลเกาะพยาม อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง”2 และได้ดำเนินการสำรวจที่ดินภายในจังหวัดระนองพบว่า พื้นที่ก่อสร้างถนนและสะพานดังกล่าว มีบางส่วนตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าชายเลน และเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเกาะพยาม ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 625 (พ.ศ. 2516) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 (ประมาณ 3 - 0 - 90.70 ไร่)3 มท. จึงขอเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณายกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับป่าชายเลนในครั้งนี้
____________________________
1 ปัจจุบันมีนักเรียนที่ต้องเดินทางไปโรงเรียน จำนวน 39 คน และประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณบ้านอ่าวเขาควายที่ต้องเดินทางไปสถานีอนามัยและโรงเรียน ซึ่งตั้งอยู่บริเวณบ้านอ่าวแม่หม้ายห่างจากหมู่บ้านอ่าวเขาควายประมาณ 4 กิโลเมตร โดยปัจจุบันยังไม่มีถนน ต้องเดินทางโดยทางเรือและทางเท้า
2 เปลี่ยนเนื่องจากเดิมอำเภอเมืองระนองประสงค์ก่อสร้างเป็นสะพานแขวน แต่เมื่อโครงการเข้าสู่การพิจารณาในระดับจังหวัด โยธาธิการและผังเมืองจังหวัดระนองเห็นว่า ควรเปลี่ยนเป็นสะพานปูน เพื่อให้มีความปลอดภัยในการสัญจร
3 เมื่อสำรวจแล้วพบว่าพื้นที่ก่อสร้างถนนและสะพานดังกล่าว มีบางส่วนตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าชายเลน และเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเกาะพยาม จึงหยุดการก่อสร้างและดำเนินการขออนุญาตเข้าใช้พื้นที่ เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
14. เรื่อง การขอรับการจัดสรรเงินอุดหนุนเป็นรายปีเป็นการจ่ายขาดให้แก่สภาองค์กรของผู้บริโภค (งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบวงเงินเพื่อจัดสรรเงินอุดหนุนเป็นรายปีเป็นการจ่ายขาดให้แก่สภาองค์กรของผู้บริโภค งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวนทั้งสิ้น 360.10 ล้านบาท ตามมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติการจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค พ.ศ. 2562 ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) เสนอ ทั้งนี้เพื่อให้ สปน. นำไปจัดทำคำของบประมาณเพื่อจัดสรรเงินอุดหนุนเป็นรายปีเป็นการจ่ายขาดให้แก่สภาองค์กรของผู้บริโภคในคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ของ สปน. ซึ่งสำนักงบประมาณจะพิจารณาตามความจำเป็นและวงเงินงบประมาณ รายจ่ายประจำปีตลอดจนศักยภาพและความสามารถในการใช้จ่ายงบประมาณ ต่อไป และเห็นควรให้ สปน. กำกับ ติดตาม การใช้จ่ายเงินอุดหนุนของสภาองค์กรของผู้บริโภค ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีและหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด การพิจารณาเป้าหมาย ประสิทธิภาพ ผลสัมฤทธิ์ และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากการดำเนินงานของสภาองค์กรของผู้บริโภค ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
15. เรื่อง การกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้ายฤดูการผลิตปี 2565/2566
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอการกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย (ราคาอ้อยขั้นสุดท้ายฯ) ฤดูการผลิตปี 2565/2566 เป็นรายเขต 9 เขต โดยมีอัตราเฉลี่ยทั่วประเทศ ดังนี้
1. ราคาอ้อยขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิตปี 2565/2566 ในอัตรา 1,197.53 บาทต่อตันอ้อย ณ ระดับความหวานที่ 10 ซี.ซี.เอส.1
2. อัตราขึ้น/ลงของราคาอ้อย เท่ากับ 71.85 บาท ต่อ 1 หน่วย ซี.ซี.เอส.
3. ผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิตปี 2565/2566 เท่ากับ 513.23 บาทต่อตันอ้อย
สาระสำคัญของเรื่อง
อก. รายงานว่า
1. พระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 มาตรา 55 และมาตรา 56 บัญญัติให้ภายในเดือนตุลาคมของทุกปี ให้คณะกรรมการบริหารกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายฯ และเมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) แล้วให้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบราคาอ้อยขั้นสุดท้ายฯ ก่อนที่สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) จะออกประกาศและนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา
2. คณะกรรมการบริหารในคราวประชุมครั้งที่ 9/2566 เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2566 ได้พิจารณาการกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายฯ ฤดูการผลิตปี 2565/2566 แล้วเสนอ กอน. ในคราวประชุมครั้งที่ 8/2566 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2566 โดย กอน. มีมติรับรองและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการบริหารเสนอ ดังนี้
2.1 ข้อมูลองค์ประกอบการคำนวณราคาอ้อยขั้นสุดท้ายฯ ฤดูการผลิตปี 2565/2566
2.2 การกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายฯ ฤดูการผลิตปี 2565/2566 เป็นรายเขต 9 เขตคำนวณราคาอ้อย โดยราคาเฉลี่ยทั่วประเทศในอัตรา 1,209.11 บาทต่อตันอ้อย ณ ระดับความหวานที่ 10 ซี.ซี.เอส. และกำหนดอัตราขึ้น/ลงของราคาอ้อยเท่ากับ 72.55 บาท ต่อ 1 หน่วย ซี.ซี.เอส. และผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย 518.19 บาทต่อตันอ้อย
2.3 กำหนดให้มีการจัดเก็บเงินตามมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2565 ให้แก่กองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย และให้มีการปรับเปลี่ยนวิธีการจัดเก็บเงินตามมาตรา 57 ของฤดูการผลิตปี 2564/2565 ตามมติ กอน. ในการประชุมครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2566 และครั้งที่ 2/2566 เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 โดยเรียกเก็บในฤดูการผลิตปี 2565/2566 ในอัตราตัวเลขภาพรวมทั้งระบบโดยจัดเก็บเงินในอัตรา ดังนี้
(1) เขตคำนวณราคาอ้อย 1 3 5 6 7 และ 9 จัดเก็บเงินตามมาตรา 57 สำหรับฤดูการผลิตปี 2564/2565 ในอัตรา 9.81 บาทต่อตันอ้อย และฤดูการผลิตปี 2565/2566 ในอัตรา 10 บาทต่อตันอ้อย รวมเป็น 19.81 บาทต่อตันอ้อยโดยให้นำมาเรียกเก็บรวมกันทั้งหมดในฤดูการผลิตปี 2565/2566
(2) เขตคำนวณราคาอ้อย 2 และ 4 ยกเลิกการเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมเพื่อการบริหารจัดการอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายและเพื่อการวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย และให้จัดเก็บเงินตามมาตรา 57 สำหรับฤดูการผลิตปี 2565/2566 ในอัตรา 19.81 บาทต่อตันอ้อย2
2.4 จากการจัดเก็บเงินตามมาตรา 57 ส่งผลให้ราคาอ้อยขั้นสุดท้ายฯ ฤดูการผลิตปี 2565/2566 เป็นรายเขต 9 เขต คำนวณราคาอ้อย ณ ระดับความหวานที่ 10 ซี.ซี.เอส. และกำหนดอัตราขึ้น/ลงของราคาอ้อย ต่อ 1 หน่วย ซี.ซี.เอส. และผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย ดังนี้
เขตคำนวณราคา |
ราคาอ้อยขั้นสุดท้าย |
ผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย ที่ 10 ซี.ซี.เอส. (บาทต่อตันอ้อย) |
|
ที่ 10 ซี.ซี.เอส. (บาทต่อตันอ้อย) |
อัตราขึ้น/ลง ของราคาอ้อย (บาทต่อ 1 หน่วย ซี.ซี.เอส.) |
||
เขต 1 |
1,228.08 |
73.68 |
526.32 |
เขต 2 |
1,148.69 |
68.92 |
492.30 |
เขต 3 |
1,193.45 |
71.61 |
511.48 |
เขต 4 |
1,218.27 |
73.10 |
522.11 |
เขต 5 |
1,226.06 |
73.56 |
525.46 |
เขต 6 |
1,239.41 |
74.36 |
531.18 |
เขต 7 |
1,207.10 |
72.43 |
517.33 |
เขต 9 |
1,199.19 |
71.95 |
513.94 |
เฉลี่ยทั่วประเทศ |
1,197.53 |
71.85 |
513.23 |
หมายเหตุ : เขต 8 จำนวน 1 โรงงาน ประกอบด้วย โรงงานอุตสาหกรรมน้ำตาลชลบุรี ไม่เปิดหีบอ้อย
3. ประเด็นข้อพิพาท เรื่อง น้ำตาลภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ระหว่างประเทศไทยกับบราซิล มิได้มีประเด็นเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการในการคำนวณราคาอ้อยทั้งขั้นต้นและขั้นสุดท้าย ดังนั้น การกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายฯ ฤดูการผลิตปี 2565/2566 จึงไม่ขัดกับข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศแต่อย่างใด แต่เป็นการรักษาประโยชน์ให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อย รวมทั้งเป็นการสร้างหลักประกันอย่างพอเพียงและเหมาะสมให้กับอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของไทย
4. หากคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบการกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายฯ ฤดูการผลิตปี 2565/2566 ตามที่ อก. เสนอแล้ว จะต้องดำเนินการประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้ ซึ่งในกรณีราคาอ้อยขั้นสุดท้ายฯ สูงกว่าราคาอ้อยขั้นต้นฯ ชาวไร่อ้อยจะได้รับค่าอ้อยเพิ่มสำหรับนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการเพาะปลูกการบำรุงรักษาอ้อยและการดำรงชีพ อันจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศโดยรวมต่อไป
___________________
1 ซี.ซี.เอส. [Commercial Cane Sugar (CCS)] เป็นระบบการคิดคุณภาพของอ้อย ซึ่งได้นำแบบอย่างมาจากระบบการซื้อขายอ้อยของประเทศออสเตรเลีย และได้เริ่มใช้ในประเทศตั้งแต่ฤดูการผลิตปี 2536/2537 เป็นต้นมา โดยคำว่า ซี.ซี.เอส. หมายถึง ปริมาณของน้ำตาลที่มีอยู่ในอ้อยซึ่งสามารถหีบสกัดออกมาได้เป็นน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ ส่วนอ้อย ณ ระดับความหวานที่ 10 ซี.ซี.เอส. หมายถึง เมื่อนำอ้อยมาผ่านระบบการผลิต จะได้น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ร้อยละ 10 กล่าวคือ อ้อย 1 ตัน หรือ 1,000 กิโลกรัม จะได้น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ 100 กิโลกรัม
2 เนื่องจากกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายมีภาระหนี้จำนวนมาก ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสภาพคล่องของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย โดยในปีงบประมาณ 2566 กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายมีเงินภาระผูกพันที่ต้องจ่ายรวมโครงการต่าง ๆ เป็นเงินจำนวน 764.24 ล้านบาท รวมทั้งต้องมีสภาพคล่องเพียงพอสำหรับการบริหารงานจำนวน 2 ฤดูการผลิต คือฤดูการผลิตปี 2566/2567 และ 2567/2568 ฤดูการผลิตละ 650 ล้านบาท รวมเป็น 1,300 ล้านบาท ดังนั้น เมื่อสถานการณ์อ้อยและน้ำตาลทรายในฤดูการผลิตปี 2565/2566 ดีขึ้น คณะกรรมการบริหารฯ จึงเห็นควรให้จัดเก็บเงินตามาตรา 57 เข้าสู่กองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย ในอัตรา 19.81 บาทต่อตันอ้อย (คิดเป็นจำนวนเงินรวมประมาณ 1,859.76 ล้านบาท) ซึ่งเป็นอัตราที่เพียงพอที่จะทำให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายเกิดสภาพคล่องสำหรับการเบิกจ่ายเพื่อดำเนินงาน อีกทั้งเพื่อเป็นเงินออมให้ชาวไร่อ้อยและโรงงานไว้ใช้ยามจำเป็น
16. เรื่อง การกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้นฤดู การผลิตปี 2566/2567
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น (ราคาอ้อยขั้นต้นฯ) ฤดูการผลิตปี 2566/2567 ทั้ง 9 เขตคำนวณราคาอ้อย1 เป็นราคาเดียวทั่วประเทศ ดังนี้
1. ราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิตปี 2566/2567 ในอัตรา 1,420 บาทต่อตันอ้อย ณ ระดับความหวานที่ 10 ซี.ซี.เอส.2 หรือเท่ากับร้อยละ 91.43 ของประมาณการราคาอ้อยเฉลี่ยทั่วประเทศ (1,674.64 บาทต่อตันอ้อย) และกำหนดอัตราขึ้น/ลง ของราคาอ้อยเท่ากับ 85.20 บาทต่อ 1 หน่วย ซี.ซี.เอส.
2. ผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2566/2567 เท่ากับ 608.57 บาทต่อตันอ้อย
สาระสำคัญของเรื่อง
อก. รายงานว่า
1. พระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 มาตรา 49 - 53 บัญญัติให้ก่อนเริ่มฤดูการผลิตน้ำตาลทราย3 ให้คณะกรรมการบริหารจัดทำประมาณการรายได้จากการจำหน่ายน้ำตาลทรายที่จะผลิตในฤดูนั้น เพื่อกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นฯ และเมื่อคณะกรรมการบริหารได้จัดทำประมาณการรายได้และกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นฯ แล้วให้แจ้งให้สถาบันชาวไร่อ้อยและสมาคมโรงงานทราบ และจัดให้มีการประชุมผู้แทนสถาบันชาวไร่อ้อยและผู้แทนสมาคมโรงงานเพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อคัดค้าน (ถ้ามี) โดยทำเป็นหนังสือแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสิบวันก่อนวันประชุม และให้สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) เสนอราคาอ้อยขั้นต้นฯ และผลการประชุมรับฟังความคิดเห็นข้างต้นต่อคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) เพื่อพิจารณา เมื่อ กอน. ได้พิจารณาราคาอ้อยขั้นต้นฯ แล้ว ให้เสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบและหากคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นฯ แล้ว จะต้องดำเนินการประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
2. คณะกรรมการบริหารในคราวประชุมครั้งที่ 10/2566 เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 ได้พิจารณาการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นฯ ฤดูการผลิตปี 2566/2567 และได้มีมติรับรองและเห็นชอบ ดังนี้
2.1 องค์ประกอบการคำนวณราคาอ้อยขั้นต้นฯ ฤดูการผลิตปี 2566/2567
2.2 กำหนดราคาอ้อยขั้นต้นฯ ฤดูการผลิตปี 2566/2567 ทั้ง 9 เขตคำนวณราคาอ้อย เป็นราคาเดียวทั่งประเทศ ดังนี้
(1) ราคาอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิตปี 2566/2567 ในอัตรา 1,370 บาทต่อตันอ้อย ณ ระดับความหวานที่ 10 ซี.ซี.เอส. หรือเท่ากับร้อยละ 90.94 ของประมาณการราคาอ้อยเฉลี่ยทั่วประเทศ และกำหนดอัตราขึ้น/ลง ของราคาอ้อยเท่ากับ 82.20 บาท ต่อ 1 หน่วย ซี.ซี.เอส.
(2) ผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้นฤดูการผลิตปี 2566/2567 เท่ากับ 587.14 บาทต่อตันอ้อย
3. สอน. ได้จัดให้มีการประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อคัดค้านจากสถาบันชาวไร่อ้อยและสมาคมโรงงานน้ำตาลต่อราคาอ้อยขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2566/2567 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2566 โดยสถาบันชาวไร่อ้อยได้เสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับราคาอ้อยขั้นต้นฯ ฤดูการผลิตปี 2566/2567 สรุปได้ ดังนี้
3.1 ขอให้มีการปรับปรุงองค์ประกอบที่นำมาใช้ในการจัดทำประมาณการราคาอ้อยขั้นต้นฯ ฤดูการผลิตปี 2566/2567 ดังนี้
(1) ปรับราคาน้ำตาลทรายดิบที่ส่งมอบให้บริษัท อ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด4 (รวมพรีเมี่ยม) จากเดิมที่ราคา 26.47 เซนต์ต่อปอนด์ เพิ่มเป็น 27.35 เซนต์ต่อปอนด์
(2) ปรับอัตราแลกเปลี่ยน จากเดิม 35.51 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็น 35.58 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากบริษัท อ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด ได้ทำการขายเงินดอลลาร์สหรัฐครบทั้งหมด โดยราคาที่นำมาคิดคำนวณราคาอ้อยนั้น ได้ทำการหักส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างเงิน 2 สกุลแล้ว
(3) ปรับราคากากน้ำตาลทั้งภายในและส่งออกเฉลี่ยที่ 5,000 บาทต่อตัน ปรับเพิ่มเป็น 5,800 - 5,900 บาทต่อตัน (166 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน) เนื่องจากปริมาณกากน้ำตาลมีจำนวนจำกัด และราคาที่มีการซื้อขายในปัจจุบัน ณ หน้าโรงงานอยู่ที่ประมาณ 6,000 บาทต่อตัน (172 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน)
(4) ปรับลดปริมาณน้ำตาลทรายภายในประเทศเพื่อเพิ่มรายได้
3.2 ขอเสนอให้กำหนดราคาอ้อยขั้นต้นฯ ให้ชาวไร่อ้อยได้รับราคาไม่ต่ำกว่า 1,400 บาทต่อตันอ้อย ณ ระดับความหวานที่ 10 ซี.ซี.เอส. เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนการปลูกอ้อย ปี 2566/2567 และให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยสามารถดำรงชีพอยู่ได้ในภาวะเศรษฐกิจที่มีค่าครองชีพสูงขึ้น
3.3 ขอเสนอให้กำหนดราคาอ้อยขั้นต้นฯ เป็นรายเขต ที่สัดส่วนร้อยละ 95 ของรายได้แต่ละเขต
4. คณะกรรมการบริหารในคราวประชุมครั้งที่ 11/2566 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2566 ได้พิจารณาการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นฯ ฤดูการผลิตปี 2566/2567 ได้มีมติรับรองและเห็นชอบและให้นำเสนอ กอน. พิจารณา ดังนี้
4.1 องค์ประกอบการคำนวณราคาอ้อยขั้นต้นฯ ฤดูการผลิตปี 2566/2567 โดยปรับองค์ประกอบการคำนวณ ดังนี้
(1) ราคาน้ำตาลทรายดิบที่ส่งมอบให้บริษัท อ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด (รวม พรีเมี่ยม) จากเดิม ราคา 26.47 เซนต์ต่อปอนด์ เป็น 27.35 เซนต์ต่อปอนด์
(2) อัตราแลกเปลี่ยน จากเดิม 35.51 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็น 35.58 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
(3) ราคากากน้ำตาลทั้งภายในและส่งออก จากเดิม เฉลี่ยที่ 5,000 บาทต่อตัน เป็น 5,800 - 5,900 บาทต่อตัน
4.2 กำหนดราคาอ้อยขั้นต้นฯ ฤดูการผลิตปี 2566/2567 ทั้ง 9 เขตคำนวณราคาอ้อย เป็นราคาเดียวทั่วประเทศ ดังนี้
(1) ราคาอ้อยขั้นต้น ฤดูการผลิตปี 2566/2567 ในอัตรา 1,420 บาทต่อตันอ้อย ณ ระดับความหวานที่ 10 ซี.ซี.เอส. หรือเท่ากับร้อยละ 91.43 ของประมาณการราคาอ้อยเฉลี่ยทั่วประเทศ (1,674.64 บาทต่อตันอ้อย) และกำหนดอัตราขึ้น/ลง ของราคาอ้อยเท่ากับ 85.20 บาท ต่อ 1 หน่วย ซี. ซี.เอส.
(2) ผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นต้นฤดูการผลิตปี 2566/2567 เท่ากับ 608.57 บาทต่อตันอ้อย
5. กอน. ในคราวประชุมครั้งที่ 8/2566 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2566 ได้พิจารณาการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นฯ ฤดูการผลิตปี 2566/2567 ตามที่คณะกรรมการบริหารเสนอและได้มีการรับฟังความคิดเห็นและข้อคัดค้านของผู้แทนสถาบันชาวไร่อ้อยและผู้แทนโรงงานแล้ว (ตามข้อ 3.) โดยมีมติรับรองและเห็นชอบองค์ประกอบการคำนวณราคาอ้อยขั้นต้นฯ และการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นฯ ฤดูการผลิตปี 2566/2567 ตามที่คณะกรรมการบริหารเสนอ (ตามข้อ 4.)
6. สำหรับประเด็นข้อพิพาท เรื่อง น้ำตาลภายใต้องค์การการค้าโลก (World Trade Organization (WTO)] ระหว่างประเทศไทยกับบราชิลมิได้มีประเด็นเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการในการคำนวณราคาอ้อยทั้งขั้นต้นและขั้นสุดท้าย ดังนั้น การกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นฯ ฤดูการผลิตปี 2566/2567 จึงไม่ขัดกับข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศแต่อย่างใด แต่เป็นการรักษาประโยชน์ให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อย รวมทั้งเป็นการสร้างหลักประกันอย่างพอเพียงและเหมาะสมให้กับอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของประเทศไทย
7. หากคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบการกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นฯ ฤดูการผลิตปี 2566/2567 แล้ว จะต้องดำเนินการประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป ซึ่งจะช่วยให้ชาวไร่อ้อยได้รับค่าอ้อยสำหรับนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการเพาะปลูกการบำรุงรักษาอ้อย และการดำรงชีพ อันจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศโดยรวมในอนาคต
_________________
1 เขตคำนวณราคาอ้อยที่ 7 โรงงานน้ำตาลนิวกว้างสุ้นหลีแจ้งไม่เปิดหีบ และเขตคำนวณราคาอ้อยที่ 8 โรงงานอุตสาหกรรมน้ำตาลชลบุรีหยุดประกอบการชั่วคราว
2 ซี.ซี.เอส. [Commercial Cane Sugar (CCS)] เป็นระบบการคิดคุณภาพของอ้อย ซึ่งได้นำแบบอย่างมาจากระบบการซื้อขายอ้อยของประเทศออสเตรเลีย และได้เริ่มใช้ประเทศไทยตั้งแต่ฤดูการผลิตปี 2536/2537 เป็นต้นมา โดยคำว่า ซี.ซี.เอส. หมายถึง ปริมาณของน้ำตาลที่มีอยู่ในอ้อยซึ่งสามารถหีบสกัดออกมาได้เป็นน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ ส่วนอ้อย ณ ระดับความหวาน ที่ 10 ซี.ซี.เอส. หมายถึง เมื่อนำอ้อยมาผ่านกระบวนการผลิต จะได้น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ ร้อยละ 10 กล่าวคือ อ้อย 1 ตัน หรือ 1,000 กิโลกรัม จะได้น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ 100 กิโลกรัม
3 โรงงานน้ำตาลจะมีช่วงเวลาการเปิดหีบอ้อยประมาณเดือนธันวาคมของทุกปี และจะเริ่มฤดูการผลิตน้ำตาลทรายในช่วงเดือนกันยายนถึงเดือนธันวาคมของปีถัดไป
4 บริษัท อ้อยและน้ำตาลไทย จำกัด เป็นองค์การหลักในการแบ่งปันผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายโดยให้มีโครงสร้างประกอบด้วยส่วนราชการ โรงงานน้ำตาล และชาวไร่อ้อยเป็นผู้ถือหุ้น รวมทั้งมีตัวแทนผลประโยชน์ทุกฝ่ายเข้าร่วมบริหารอยู่ในองค์การ
17. เรื่อง ขออนุมัติรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ทุกเวลา ระยะที่ 2 : จัดหาอุปกรณ์การเรียนที่เหมาะสมต่อผู้เรียนแต่ละวัย (Anywhere Anytime)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานนำรายการที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ทุกเวลา ระยะที่ 2 : จัดหาอุปกรณ์การเรียนที่เหมาะสมต่อผู้เรียนแต่ละวัย (Anywhere Anytime) วงเงินทั้งสิ้น 22,102,973,600 บาท เสนอเป็นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 7,469,328,800 บาท ส่วนที่เหลือ จำนวน 14,633,644,800 บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 - พ.ศ. 2572 ตามนัยมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561
ทั้งนี้ ขอให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานจัดทำแผนการดำเนินการ และยืนยันความพร้อมของรายการดังกล่าว โดยกำหนดวัตถุประสงค์และสาระสำคัญของรายการ รายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะ ประมาณการราคาหรือผลการสอบราคา สถานที่/พื้นที่พร้อมที่จะดำเนินการให้ชัดเจนเพื่อประกอบการพิจารณา ตลอดจนควรกำหนดให้มีมาตรการบริหารจัดการความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น รวมถึงการดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกชั้นตอน โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด การพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ ประสิทธิภาพ และผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 รวมทั้งพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการให้เหมาะสมกับความจำเป็นเร่งด่วน ศักยภาพในการดำเนินการ ตลอดจนสถานะการเงินการคลังของประเทศ ซึ่งสำนักงบประมาณจะพิจารณาความเหมาะสมและจำเป็นตามวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
สาระสำคัญ
ศธ. รายงานว่า ศธ. เห็นถึงความสำคัญของการปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงศตวรรษที่ 21 โดยจะมีการปรับรูปแบบการเรียนรู้และการสอนเพื่อพัฒนาทักษะและอาชีพของคนทุกช่วงวัยด้วยการปรับโครงสร้างหลักสูตรการศึกษาให้ทันสมัยและนำเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนในการจัดการเรียนการสอน มีการพัฒนาศักยภาพของครูและบุคลากรทางการศึกษาในสังกัด ศธ. ให้มีประสิทธิภาพ รวมทั้งขยายประสิทธิภาพการทำงานของดิจิทัลแพลตฟอร์มเพื่อการเรียนรู้แห่งชาติ (National Digital Learning Platform: NDLP) ระยะที่ 1 จากการเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นการสื่อสารและการเรียนแบบสองทาง โดยนำดิจิทัลแพลตฟอร์มมาสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนผ่านระบบเทคโนโลยีดิจิทัลของ ศธ. ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาถึงระดับอุดมศึกษา รวมถึงการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะของครูและบุคลากรทางการศึกษาในกำกับ ศธ. ให้สามารถเลือกใช้เทคโนโลยีได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ศธ. โดย สพฐ. ได้ดำเนินโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ทุกเวลา : พัฒนาระบบนิเวศทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อรองรับการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในศตวรรษที่ 21 วงเงินงบประมาณ 482.26 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนผ่านระบบเทคโนโลยีดิจิทัลของ ศธ. โดยสามารถรองรับโรงเรียนคุณภาพ ในสังกัด ศธ. จำนวน 349 โรงเรียน และมีการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
การดำเนินการ |
วงเงิน (ล้านบาท) |
(1) เช่าใช้ระบบคลาวด์ระดับ ศธ. |
36.38 |
(2) จ้างที่ปรึกษาพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แห่งชาติโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นฐาน (NDLP) |
200.88 |
(3) จ้างที่ปรึกษาวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นฐาน |
245.00 |
รวมทั้งสิ้น |
482.26 |
2. ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ศธ. จะจัดทำโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ทุกเวลา ระยะที่ 2 : จัดหาอุปกรณ์การเรียนที่เหมาะสมต่อผู้เรียนแต่ละวัย (Anywhere Anytime) เพื่อเป็นการขยายโอกาสทางการศึกษาให้ครอบคลุมสถานศึกษาในสังกัด ศธ. จำนวน 29,312 โรงเรียน โดยก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568-2572 วงเงินรวม 22,102.97 ล้านบาท ประกอบด้วย 2 กิจกรรม สรุปได้ ดังนี้
2.1 การส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานที่ทุกเวลา ระยะที่ 2 งบประมาณ 6,531.08 ล้านบาท มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สอดคล้องกับความต้องการของประเทศและทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบัน เปลี่ยนบทบาทครูเป็นโค้ชหรือผู้อำนวยการเรียนรู้เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสร้างโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำ ยกระดับคุณภาพชีวิตของเด็กให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างอิสระและประกอบอาชีพได้โดยไม่เป็นภาระต่อสังคม มีการดำเนินการ ดังนี้
(1) การพัฒนาระบบนิเวศด้านเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น จัดหาซอฟต์แวร์สำเร็จรูปสำหรับการรักษาความปลอดภัยข้อมูล การเชื่อมโยงฐานข้อมูลและการบริหารจัดการระบบ การจัดทำนวัตกรรมสื่อการเรียนรู้ในรูปแบบดิจิทัลคอนเทนต์
(2) การเช่าใช้ระบบคลาวด์ สำหรับแพลตฟอร์มด้านการศึกษา
2.2 การจัดหาอุปกรณ์การเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้ทุกที่ทุกเวลา งบประมาณ 15,571.90 ล้านบาท มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้นักเรียนมีโอกาสเข้าถึงแหล่งเรียนรู้และเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัย ยกระดับคุณภาพการจัดการเรียนรู้ให้สามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา และลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยสนับสนุนให้ผู้เรียนทุกคนสามารถเข้าถึงแหล่งเรียนรู้และมีโอกาสได้อย่างเท่าเทียมครอบคลุมทั้งในพื้นที่ห่างไกลหรือทุรกันดาร โดยมีการดำเนินการ ดังนี้
(1) เช่าอุปกรณ์การเรียนการสอน (Tablet หรือ Notebook หรือ Chromebook) เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้ทุกที่ทุกเวลา จำนวน 607,655 เครื่องรวมเป็นเงิน 15,491.90 ล้านบาท ระยะเวลา 60 เดือน สรุปได้ ดังนี้
เป้าหมาย |
โรงเรียนคุณภาพจำนวน 932 แห่ง |
โรงเรียนขยายโอกาสจำนวน 86 แห่ง |
โรงเรียนทั้งหมด 1,018 แห่ง |
จำนวนเงิน (ล้านบาท) |
อุปกรณ์การเรียนการสอน (Tablet หรือ Notebook หรือ Chromebook) สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 |
536,902 คน |
11,089 คน |
547,991 คน |
13,809.37 |
อุปกรณ์การเรียนการสอน (Tablet หรือ Notebook หรือ Chromebook) สำหรับครู |
56,387 คน |
3,277 คน |
59,664 คน |
1,682.52 |
รวม |
593,289 คน |
14,366 คน |
607,655 คน |
15,491.90 |
(2) การพัฒนา ส่งเสริม และขับเคลื่อนการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการเรียนรู้ของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ผ่านแพลตฟอร์มการเรียนรู้เทคโนโลยีดิจิทัลรวมเป็นเงิน 80 ล้านบาท เพื่อดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ เช่น 1) การจัดการเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา 2) การจัดการเรียนรู้ผ่านแพลตฟอร์มเทคโนโลยี การสร้างสรรค์สื่อและการประยุกต์เทคโนโลยีดิจิทัลและการสร้างเครือข่ายผู้สร้างสื่อเทคโนโลยีและผู้ใช้แพลตฟอร์มการเรียนรู้เทคโนโลยีดิจิทัล ทั้งนี้ ศธ. จะเบิกจ่ายเงินงบประมาณดังกล่าวในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 สำหรับปีงบประมาณอื่น ๆ จะไม่มีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้แล้ว
2.3 งบประมาณและระยะเวลาดำเนินการ โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ทุกเวลาฯ ใช้วงเงินงบประมาณรวม 22,102.97 ล้านบาท ระยะเวลา 5 ปี ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568-2572 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
กิจกรรม |
ปีงบประมาณ พ.ศ |
รวมวงเงิน (ล้านบาท) |
|||||
2568 |
2569 |
2570 |
2571 |
2572 |
|||
โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ทุกเวลาฯ |
|||||||
(1) การส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ทุกเวลา |
4,290.95 |
560.03 |
560.03 |
560.03 |
560.03 |
6,531.08 |
|
(2) การจัดหาอุปกรณ์การเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้ทุกที่ทุกเวลา |
3,178.38 |
3,098.38 |
3,098.38 |
3,098.38 |
3,098.38 |
15,571.90 |
|
รวม |
7,469.33 |
3,658.41 |
3,658.41 |
3,658.41 |
3,658.41 |
22,102.97 |
|
หมายเหตุ : เนื่องจากมีการปรับเป็นทศนิยมสองหลัก ดังนั้น จึงส่งผลต่อการคำนวณผลรวมบางรายการในตาราง ทั้งนี้ ศธ. จะขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 7,469.33 ล้านบาท และส่วนที่เหลือ จำนวน 14,633.64 ล้านบาท จะขอผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569-2572
3. ประโยชน์ที่จะได้รับ เช่น
3.1 สพฐ. มีระบบนิเวศด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อรองรับการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในศตวรรษที่ 21 สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในโลกปัจจุบัน
3.2 ครูและบุคลากรทางการศึกษามีเครื่องมือและระบบการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสม ทันสมัย โดยปรับบทบาทจาก “ครูผู้สอน” เป็น “โค้ช” หรือ “ผู้อำนวยการการเรียนรู้” ที่ทำหน้าที่กระตุ้น สร้างแรงบันดาลใจ แนะนำวิธีเรียนรู้และวิธีจัดระเบียบการสร้างความรู้ ออกแบบกิจกรรม และสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน
3.3 ผู้เรียนได้รับการเรียนการสอนที่เหมาะสมและสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ใหม่ได้อย่างทั่วถึง ลดความเหลื่อมล้ำในการศึกษา
3.4 ปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยผู้เรียนสามารถ “เรียนรู้ได้ ทุกที่ ทุกเวลา”
3.5 นักเรียนและครูผู้สอน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 มีอุปกรณ์ที่สามารถเข้าใช้แพลตฟอร์ม NDLP ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนผ่านระบบเทคโนโลยีดิจิทัลออนไลน์ที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล
3.6 ไทยเกิดสังคมแห่งการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
ต่างประเทศ
18. เรื่อง การรับรองร่างปฏิญญาวังเวียงว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจวัฒนธรรมขนาดกลางและขนาดย่อมซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เสนอดังนี้
1. เห็นชอบต่อร่างปฏิญญาวังเวียงว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจวัฒนธรรมขนาดกลางและขนาดย่อมซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Vang Vieng Declaration on Promoting the Small and Medium-sized Cultural Enterprises aligned with the Green Growth for Sustainable Development) (ร่างปฏิญญาฯ)
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมในฐานะรัฐมนตรีอาเซียนที่กำกับดูแลงานด้านวัฒนธรรมและศิลปะแห่งราชอาณาจักรไทยรับรองร่างปฏิญญาฯ
3. หากมีการปรับเปลี่ยนถ้อยคำของเอกสารดังกล่าวข้างต้นที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญหรือที่ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ก่อนจะมีการรับรองหรือเห็นชอบเอกสารดังกล่าวให้ วธ. สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
[วธ. จะแจ้งผลการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีให้สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) ทราบภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 เพื่อให้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป]
สาระสำคัญของเรื่อง
วธ. รายงานว่า
1. กระทรวงแถลงข่าววัฒนธรรมและการท่องเที่ยวแห่ง สปป. ลาว ได้เสนอร่างปฏิญญาฯ ให้รัฐมนตรีของสมาชิกอาเซียนที่กำกับดูแลงานด้านวัฒนธรรมและศิลปะให้การรับรอง โดยร่างปฏิญญาดังกล่าวมีสาระสำคัญในการเสริมสร้างการพัฒนาทุนมนุษย์ของอาซียน โดยเฉพาะในด้านการเรียนรู้และด้านสมรรถนะของวิสาหกิจวัฒนธรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการสร้างศักยภาพสำหรับวิสาหกิจวัฒนธรรมขนาดกลางและขนาดย่อมในอาเซียน สนับสนุนกิจกรรมต้นน้ำภายใต้ภาคส่วนวัฒนธรรมและศิลปะในระดับที่ต่างกัน (ระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระหว่างประเทศ) รวมถึงยืนยันบทบาทและการสนับสนุนที่สำคัญของภาควัฒนธรรมและศิลปะในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยหลังจากที่รัฐมนตรีอาเซียนที่กำกับดูแลงานด้านวัฒนธรรมและศิลปะ (ASEAN Ministers Responsible for Culture and Arts : AMCA) ได้รับรองเอกสารดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว สปป. ลาว จะนำร่างปฏิญญาดังกล่าวเสนอให้ที่ประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 44 (44th ASEAN Summit) (ประมาณเดือนพฤศจิกายน 2567) ณ สปป. ลาว ให้การรับรองต่อไป
2. ร่างปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
ประเด็น |
สาระสำคัญ ได้แก่ |
เป้าหมาย |
คำนึงถึงวัฒนธรรมแห่งการป้องกันเพื่อนำไปสู่สังคมที่มีสันติสุข ไม่แบ่งแยก มีภูมิคุ้มกัน สุขภาพดี และมีความกลมเกลียวด้วยจิตวิญญาณในการเสริมสร้างอัตลักษณ์อาเซียนในทุกแง่มุมภายใต้ภาคส่วนวัฒนธรรมและศิลปะอาเซียน |
ความร่วมมือและการดำเนินการร่วมกัน |
(1) การดำเนินการตามหลักการของวัฒนธรรมแห่งการป้องกัน (Culture of Prevention : CoP thrusts)1 ซึ่งสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์อาเซียนด้านวัฒนธรรมและศิลปะ พ.ศ. 2559 - 2568 (2) การส่งเสริมวิสาหกิจวัฒนธรรมขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีชุมชนเป็นฐานรากโดยให้เป็นแหล่งนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ เพื่อสนับสนุนวัฒนธรรมและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น (3) การพัฒนาทุนมนุษย์โดยเฉพาะด้านการเรียนรู้และด้านสมรรถนะของวิสาหกิจวัฒนธรรมขนาดกลางและขนาดย่อมในภูมิภาคอาเซียนในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและทักษะด้านการตลาดผ่านการศึกษาเป็นผู้ประกอบการ นวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อเข้าถึงตลาดในวงกว้าง (4) การส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยีและกรสร้างศักยภาพให้แก่วิสาหกิจวัฒนธรรมขนาดกลางและขนาดย่อมในภูมิภาคอาเซียน (5) ความร่วมมือจากผู้ที่มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การใช้ทรัพยากรและสินทรัพย์ทางธรรมชาติมีประสิทธิภาพมากขึ้นรวมถึงลดปริมาณขยะและลดการใช้พลังงาน (6) กิจกรรมต้นน้ำภายใต้ภาคส่วนวัฒนธรรมและศิลปะในระดับที่ต่างกัน (ระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับระหว่างประเทศ) ด้วยจิตวิญญาณที่อาจส่งผลเชิงบวกในการเป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรมวัฒนธรรมด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่โดดเด่น (7) การมีกลยุทธ์การตลาดที่ส่งเสริมการปฏิบัติที่ดีในภาคส่วนวิสาหกิจวัฒนธรรมขนาดกลางและขนาดย่อมในภูมิภาคอาเซียน (8) การมีบทบาทและการสนับสนุนวัฒนธรรมและศิลปะที่ช่วยให้บรรลุเป้าหมาย (9) การพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านมิติสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมเพื่อปลูกฝังความคิดสร้างสรรค์ (10) การอนุรักษ์และคุ้มครองมรดกภูมิปัญญาวัฒนธรรม รวมถึงสนับสนุนความเป็นปีกแผ่นของสังคม และ (11) การเสริมสร้างอัตลักษณ์อาเซียนและนวัตกรรมผ่านกลไกที่มีประสิทธิภาพเพื่อตอบสนองความต้องการของยุคสมัยปัจจุบันและอนาคตของประชาชน |
3. ประโยชน์ที่ได้รับ : ร่างปฏิญญาฯ เป็นการแสดงความมุ่งมั่นของรัฐมนตรีอาเซียนที่กำกับดูแลงานด้านวัฒนธรรมและศิลปะในการส่งเสริมวิสาหกิจวัฒนธรรมขนาดกลางและขนาดย่อมในอาเซียน รวมทั้งสนับสนุนบทบาทของวัฒนธรรมและศิลปะในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งมีความสอดคล้องกับผลประโยชน์และแนวทางการดำเนินงานของไทยรวมถึงสนับสนุนการพัฒนาภายใต้บริบทความท้าทายในปัจจุบันของภูมิภาคอาเซียน
4. วธ. แจ้งว่า ร่างแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวไม่มีถ้อยคำหรือบริบทใดที่มุ่งก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ จึงไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
5. วธ. แจ้งว่ากระทรวงการต่างประเทศ (กรมอาเซียน) พิจารณาแล้วไม่มีข้อขัดข้องต่อสารัตถะและถ้อยคำโดยรวมของร่างปฏิญญาฯ หาก วธ. ในฐานะส่วนราชการเจ้าของเรื่องและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้วเห็นว่ามีความเหมาะสม สอดคล้องกับนโยบายและผลประโยชน์ของไทย สามารถปฏิบัติได้ภายใต้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ระเบียบและข้อบังคับที่มีอยู่ในปัจจุบัน ตลอดจนเป็นไปตามพันธกรณีของไทยภายใต้ความตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องและเห็นว่าร่างปฏิญญาฯ ไม่มีถ้อยคำหรือบริบทใดที่มุ่งจะก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ ประกอบกับไม่มีการลงนามในร่างปฏิญญาดังกล่าว ดังนั้น ร่างปฏิญญาฯ จึงไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
_______________________
1 เป็นหลักการภายใต้ปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยวัฒนธรรมแห่งการป้องกัน เพื่อมุ่งสู่สังคมที่มีสันติสุข ไม่แบ่งแยก มีภูมิคุ้มกันสุขภาพดีและมีความกลมเกลียว (ASEAN Declaration on Culture of Prevention for a Peaceful, Inclusive, Resilient, Healthy and Harmonious Society) ซึ่งลงนามโดยผู้นำอาเซียนเมื่อปี 2560 มีสาระสำคัญมุ่งป้องกันสถานการณ์ความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นในภูมิภาคอาเซียนหรือหาทางป้องกันความรุนแรงแบบสุดขั้ว โดยพิจารณาว่า “ป้องกัน” ดีกว่า “แก้ปัญหา” ภายหลัง โดยแบ่งวัฒนธรรมได้ 6 รูปแบบ ได้แก่ (1) peace & intercultural understanding (2) respect for all (3) good governance at all levels (4) resilience & care for the environment (5) healthy lifestyle และ (6) supporting the values of moderation
19. เรื่อง ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีไทย – อินเดีย
ครั้งที่ 10
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีไทย - อินเดีย ครั้งที่ 10 (การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ) (10th Joint Commission for Bilateral Cooperation between Thailand - India)
2. อนุมัติให้ รองนายกรัฐมนตรี (นายปานปรีย์ พหิทธานุกร) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในเอกสารผลลัพธ์การประชุมดังกล่าวร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐอินเดีย
ทั้งนี้หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมดังกล่าวในส่วนที่จะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินความสัมพันธ์แต่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ขอให้ กต. และคณะผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมฯ สามารถพิจารณาดำเนินการได้ โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก
สาระสำคัญ
1. สาธารณรัฐอินเดียจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ ระหว่างวันที่ 26 - 27 กุมภาพันธ์ 2567 ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย โดยมีนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายสุพรหมณยัม ชัยศังกระ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐอินเดีย เป็นประธานร่วม
2. ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีไทย - อินเดีย ครั้งที่ 10 เป็นการแสดงเจตนารมณ์ความร่วมมือระหว่างกันในระดับทวิภาคี มุ่งส่งเสริมความร่วมมือในประเด็นต่าง ๆ ที่สามารถพัฒนาความร่วมมือและผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐอินเดีย โดยมีหัวข้อ (1) ความร่วมมือด้านการเมือง กลาโหม และความมั่นคง (2) ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้าและการลงทุนทวิภาคี (3) ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม และสุขภาพ (4) การท่องเที่ยว วัฒนธรรม และการแลกเปลี่ยนระดับประชาชน (5) กิจการด้านกงสุล (6) ประเด็นระดับภูมิภาค และพหุภาคี
20. เรื่อง การขยายระยะเวลาการยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวให้แก่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางสัญชาติคาซัคสถาน เป็นกรณีพิเศษและเป็นการชั่วคราว
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติในหลักการในการกำหนดให้สาธารณรัฐคาชัศสถานเป็นรายชื่อประเทศในประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดรายชื่อประเทศที่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง ซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยวเป็นกรณีพิเศษและให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกินสามสิบวัน โดยมีเงื่อนไขให้มีผลใช้บังคับชั่วคราวเพิ่มเติมตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม - 31 สิงหาคม 2567 เพื่อเป็นประโยชน์ต่อมิติเศรษฐกิจและการต่างประเทศกับสาธารณรัฐคาซัคสถานในภาพรวม โดยเฉพาะด้านความเชื่อมโยงระหว่างประชาชนสองฝ่ายที่เป็นรากฐานของความสัมพันธ์จนกว่าการจัดทำความตกลงยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐคาซัคสถานเป็นการถาวรจะแล้วเสร็จ
2. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดให้ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางของสาธารณรัฐคาซัคสถานซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยว ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราและให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกินสามสิบวันเป็นกรณีพิเศษ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและกระทรวงมหาดไทย (มท.) ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขประกาศหรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
3. มอบหมายให้หน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้องกำกับติดตามและประเมินผลกระทบจากการออกประกาศกระทรวงมหาดไทยฉบับนี้ภายหลังครบระยะเวลาที่ประกาศไว้ (6 เดือน) ทั้งนี้ หากมีผลกระทบต่อความมั่นคงและผลประโยชน์แห่งชาติ หน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้องอาจเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณายกเลิกประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวต่อไปได้
สาระสำคัญของเรื่อง
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (13 กันยายน 2566) เห็นชอบในหลักการในการกำหนดให้ “สาธารณรัฐประชาชนจีน” และ “สาธารณรัฐคาซัคสถาน” เป็นรายชื่อประเทศในประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดรายชื่อประเทศที่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยวเป็นกรณีพิเศษ และให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกินสามสิบวัน โดยมีเงื่อนไขให้มีผลใช้บังคับชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2566 ถึงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2567 เพื่อเป็นประโยชน์ต่อมิติเศรษฐกิจและการต่างประเทศกับสาธารณรัฐประชาชนจีนและสาธารณรัฐคาซัคสถานในภาพรวม โดยเฉพาะความเชื่อมโยงระหว่างประชาชนสองประเทศที่เป็นรากฐานของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
2. ต่อมามีประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดรายชื่อประเทศที่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยว ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราและให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกินสามสิบวัน เป็นกรณีพิเศษ กำหนดให้ยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวให้แก่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางสัญชาติคาซัคสถาน เป็นกรณีพิเศษและเป็นการชั่วคราวโดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2566 ถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567
3. จากข้อมูลสถิติของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในช่วงวันที่ 25 กันยายน 2566 - 10 มกราคม 2567 มีนักท่องเที่ยวชาวคาซัคสถานเดินทางมาประเทศไทยแล้วกว่า 68,824 คน และในปี 2566 มีนักท่องเที่ยวคาซัคสถานเดินทางเข้ามาประเทศประเทศไทยกว่า 172,282 คน ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดที่เคยเดินทางเข้าประเทศไทย โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของชาวคาซัคสถานในการท่องเที่ยวในประเทศไทยต่อครั้งประมาณ 75,080 บาท/คน/ครั้ง จึงเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพและมีกำลังซื้อสูง ทั้งนี้ ชาวคาซัคสถานมีทัศนคติที่ดีต่อประเทศไทย ชื่นชอบการท่องเที่ยวเมืองชายทะเล กีฬามวยไทย สปา และการนวดแผนไทยดังนั้น การอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวชาวคาซัคสถานในการเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม - สิงหาคม 2567 จะเพิ่มรายได้ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทยในภาพรวม และเพื่อสร้างความต่อเนื่องในการส่งเสริความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวและการแลกเปลี่ยนในระดับของทั้งสองประเทศ
4. ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2567 เสนอแนะให้ขยายการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางคาซัคสถานเพื่อการท่องเที่ยวระยะเวลาไม่เกิน 30 วัน (ผ. 30) เป็นกรณีพิเศษและเป็นการชั่วคราวออกไปอีก
5. ร่างประกาศฯ ที่ กต. เสนอเป็นการขยายระยะเวลาการยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวให้แก่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางสัญชาติคาซัคสถาน เป็นกรณีพิเศษและเป็นการชั่วคราว และให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกิน 30 วันเป็นกรณีพิเศษและเป็นการชั่วคราว เพิ่มเติมอีก 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567 จนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2567 เพื่อสร้างความต่อเนื่องในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทยในภาพรวม
แต่งตั้ง
21. เรื่อง คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี จำนวน 5 คณะ ดังนี้
1. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่าแห่งชาติ (คปป.)
2. คณะกรรมการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาระดับประเทศ (ฝ่ายไทย)
3. คณะกรรมการร่วม (Joint Committee) ฝ่ายไทย
4. คณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการน้ำแห่งชาติ
5. คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอุทยานธรณี
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไป
สาระสำคัญของเรื่อง
ทส. รายงานว่า ได้พิจารณาคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรีของคณะรัฐมนตรีชุดเดิม (รัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา) เห็นว่า คณะกรรมการฯ จำนวน 5 คณะ ยังมีภารกิจที่สำคัญและจำเป็นที่จะต้องคงอยู่ต่อไป เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการดำเนินภารกิจที่สำคัญ โดยรายละเอียดองค์ประกอบ หน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการฯ จำนวน 5 คณะ มีดังนี้
1. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่าแห่งชาติ (คปป.)
องค์ประกอบที่เสนอแต่งตั้งใหม่
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ได้รับมอบหมาย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ได้รับมอบหมาย และปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นรองประธานกรรมการ กรรมการประกอบด้วย ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ปลัดกระทรวงยุติธรรม ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ อัยการสูงสุด เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน อธิบดีกรมการปกครอง อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น อธิบดีกรมที่ดิน อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน อธิบดีกรมศุลกากร อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ อธิบดีกรมทางหลวง อธิบดีกรมทางหลวงชนบท อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ผู้อำนวยการองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ผู้แทนกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และผู้ทรงคุณวุฒิ ที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจำนวน 5 คน โดยมีรองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านทรัพยากรธรรมชาติ) เป็นกรรมการและเลขานุการ อธิบดีกรมป่าไม้ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
หน้าที่และอำนาจ (คงเดิม)
1) เสนอนโยบายหรือแผนงาน มาตรการป้องกันและปราบปรามการบุกรุกทำลายทรัพยากรที่ดินป่าไม้ เสนอนโยบายการยกเลิก แก้ไขเพิ่มเติม หรือปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยป่าไม้หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องต่อคณะรัฐมนตรี
2) กำหนดมาตรการต่าง ๆ ในการป้องกันและปราบปรามการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้และที่ดินป่าไม้ และการวางกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
3) ให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการทำลายทรัพยากรป่าไม้และที่ดินป่าไม้ การอำนวยการ สั่งการ ควบคุม กำกับ ติดตาม ดูแล และตรวจสอบการดำเนินการของหน่วยงานของรัฐ ให้เป็นไปตามนโยบายหรือแผนงาน มาตรการป้องกันและปราบปรามการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ และที่ดินป่าไม้ที่คณะกรรมการฯ กำหนด
4) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่าระดับจังหวัด (คปป. จังหวัด) และคณะอนุกรรมการอื่น ๆ กับคณะทำงานให้ปฏิบัติงานตามที่คณะกรรมการ ฯ มอบหมาย
5) รวบรวมข้อมูล เอกสารหลักฐาน และข้อเท็จจริงต่าง ๆ จากบุคคลใด ๆ และหน่วยงานของรัฐในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำลายทรัพยากรป่าไม้และที่ดินป่าไม้ เรียกให้หน่วยงานของรัฐส่งข้อมูลเอกสารหลักฐานและข้อเท็จจริง หรือให้ส่งผู้แทนมาชี้แจงหรือให้ถ้อยคำประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการ หรือคณะทำงานที่คณะกรรมการแต่งตั้งเพื่อเป็นหลักฐานในการดำเนินคดี
6) พิจารณาขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการปฏิบัติงาน
7) รายงานผลการปฏิบัติงาน ปัญหาอุปสรรค และสถานการณ์บุกรุกตัดไม้ทำลายป่าต่อนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี
8) ดำเนินการอื่นใดตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย
2. คณะกรรมการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ระดับประเทศ (ฝ่ายไทย)
องค์ประกอบที่เสนอแต่งตั้งใหม่ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานกรรมการ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็นรองประธานกรรมการ กรรมการประกอบด้วย อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช อธิบดีกรมป่าไม้ หรือผู้แทน เอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ หรือผู้แทน อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก หรือผู้แทน อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย หรือผู้แทน ผู้แทนกระทรวงกลาโหม ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนสภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้แทนกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ผู้แทนสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี หรือผู้แทน ผู้ว่าราชการจังหวัดตราด หรือผู้แทน ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ หรือผู้แทน ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ หรือผู้แทน ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว หรือผู้แทน ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ หรือผู้แทน ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี หรือผู้แทน ผู้แทนกองทัพบก ผู้แทนกรมกิจการชายแดนทหาร ผู้แทนกองทัพภาคที่ 1 ผู้แทนกองทัพภาคที่ 2 ผู้แทนกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้แทนกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ผู้แทนกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้แทนสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และผู้แทนกรมศุลกากร โดยมีผู้อำนวยการสำนักป้องกัน ปราบปรามและควบคุมไฟป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นเลขานุการ ผู้อำนวยการส่วนยุทธการด้านป้องกันและปราบปราม กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และผู้อำนวยการกองเอเชียตะวันออก 2 กรมเอเชียตะวันออก เป็นผู้ช่วยเลขานุการ
หน้าที่และอำนาจ (คงเดิม)
1) กำหนดนโยบายและแนวทางในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยนโยบายและแนวทางจะต้องไม่มีนัยเกี่ยวกับเขตแดนระหว่างสองประเทศ
2) ประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา เพื่อให้การดำเนินความร่วมมือดังกล่าวเป็นไปอย่างบูรณาการและมีประสิทธิภาพ
3) ประชุมคณะกรรมการฯ ระดับประเทศร่วมกับฝ่ายกัมพูชาปีละ 1 - 2 ครั้ง หรือขึ้นอยู่กับสถานการณ์
4) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ ระดับจังหวัด เพื่อรับกรอบการปฏิบัติงานของคณะกรรมการฯ ระดับประเทศ มาปรับใช้ในการปฏิบัติและลาดตระเวนให้เหมาะสมกับพื้นที่ในความรับผิดชอบ รวมทั้งเป็นช่องทางติดต่อประสานงานในพื้นที่ชายแดนระหว่างกัน
5) ดำเนินโครงการตามแนวทางการป้องกันและปราบปรามการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา
6) ติดตามผลและประเมินความคืบหน้าของการป้องกันและปราบปรามการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดน ไทย - กัมพูชา เพื่อรายงานให้รัฐบาลทราบเป็นระยะ ๆ
7) แต่งตั้ง แก้ไข เพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการฯ ตามความเหมาะสม
8) แต่งตั้งที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องตามความเหมาะสม
3. คณะกรรมการร่วม (Joint Committee) ฝ่ายไทย
องค์ประกอบที่เสนอแต่งตั้งใหม่ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ได้รับมอบหมาย เป็นประธานกรรมการร่วม กรรมการร่วมประกอบด้วย อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน หรือผู้แทน อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม หรือผู้แทน อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ หรือผู้แทน เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือผู้แทน อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก หรือผู้แทน และประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือผู้แทน โดยมีอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม หรือผู้แทน และผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก เป็นกรรมการและเลขานุการร่วม และเจ้าหน้าที่องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก เป็นผู้ช่วยเลขานุการ
หน้าที่และอำนาจที่เสนอในครั้งนี้
1) รับรองแผนงานโครงการที่จะพัฒนาเป็นโครงการ JCM สำหรับโครงการที่จะดำเนินงานในอนาคต
2) พัฒนาหลักเกณฑ์ และแนวทางที่จำเป็นสำหรับการดำเนินงานกลไกเครดิตร่วม (JCM) สำหรับโครงการที่คงค้างอยู่ในระบบ
3) ให้ความเห็นชอบต่อระเบียบวิธีการลดก๊าซเรือนกระจก (Methodologies) สำหรับโครงการที่คงค้างอยู่ในระบบ
4) แต่งตั้งผู้ตรวจประเมินโครงการ (Third party entity) สำหรับทําหน้าที่ตรวจสอบความใช้ได้ของโครงการ (Validation) และทวนสอบปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจก (Verification) สำหรับโครงการที่คงค้างอยู่ในระบบ
5) พิจารณาการแบ่งสัดส่วนคาร์บอนเครดิตและขึ้นทะเบียนโครงการที่คงค้างอยู่ในระบบที่ผ่านการตรวจสอบความใช้ได้ของโครงการ (Validation) โดยผู้ตรวจประเมินโครงการและได้รับอนุญาตให้ใช้คาร์บอนเครดิต เพื่อวัตถุประสงค์ระหว่างประเทศแล้วเป็นโครงการ JCM
6) รับรองคาร์บอนเครดิตที่เกิดขึ้นจากโครงการที่คงค้างอยู่ในระบบที่ผ่านการตรวจสอบการอนุญาตให้ใช้คาร์บอนเครดิตเพื่อวัตถุประสงค์ระหว่างประเทศแล้ว
7) ปฏิบัติภารกิจอื่นๆ ตามที่คณะกรรมการร่วม (Joint Committee) เห็นสมควร
4. คณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการถ้ำแห่งชาติ
องค์ประกอบที่เสนอแต่งตั้งใหม่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานกรรมการ กรรมการประกอบด้วย ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล อธิบดีกรมศิลปากร อธิบดีกรมการศาสนา เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย อธิบดีกรมการท่องเที่ยว อธิบดีกรมป่าไม้ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ และผู้ทรงคุณวุฒิ ที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง จำนวน 9 คน โดยมีอธิบดีกรมทรัพยากรธรณี เป็นกรรมการและเลขานุการ รองอธิบดีกรมทรัพยากรธรณี ที่ได้รับมอบหมาย รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ที่ได้รับมอบหมาย และรองอธิบดีกรมป่าไม้ ที่ได้รับมอบหมาย เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
หน้าที่และอำนาจ (คงเดิม)
1) กำหนดนโยบาย หลักเกณฑ์ แนวทางในการใช้ประโยชน์การบริหารจัดการถ้ำ
2) ดำเนินการเพื่อให้มีการศึกษา สำรวจ วิจัย จัดทำข้อมูล และประเมินศักยภาพถ้ำเพื่อการพัฒนา และการใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ
3) กำหนดแนวทางในการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของท้องถิ่น และบูรณาการการบริหารจัดการท่องเที่ยวถ้ำโดยมีความเชื่อมโยงกับการพัฒนาเศรษฐกิจของชุมชนท้องถิ่น
4) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ และ/หรือ คณะทำงานได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
5) ปฏิบัติการอื่นใดตามที่นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย
5. คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอุทยานธรณี
องค์ประกอบที่เสนอแต่งตั้งใหม่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นรองประธานกรรมการ กรรมการประกอบด้วย ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อธิบดีกรมป่าไม้ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เลขาธิการคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือผู้แทน อธิบดีกรมการท่องเที่ยว หรือผู้แทน อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม หรือผู้แทน อธิบดีกรมศิลปากร หรือผู้แทน ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือผู้แทน ผู้อำนวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน หรือผู้แทน นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย หรือผู้แทน ผู้อำนวยการสมาคมสมาพันธ์ธุรกิจการท่องเที่ยวส่วนภูมิภาคแห่งประเทศไทย หรือผู้แทน และผู้ทรงคุณวุฒิ ที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง จำนวน 6 คน โดยมีรองอธิบดีกรมทรัพยากรธรณี ที่ได้รับมอบหมาย เป็นกรรมการและเลขานุการ ผู้อำนวยการกองธรณีวิทยา กรมทรัพยากรธรณี ผู้อำนวยการกองอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรธรณี กรมทรัพยากรธรณี และนักวิเทศสัมพันธ์ สำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
หน้าที่และอำนาจที่เสนอในครั้งนี้
1) เสนอแนะนโยบายเกี่ยวกับการอนุรักษ์มรดกธรณีและอุทยานธรณีต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบ และแจ้งหน่วยงานของรัฐนำไปสู่การปฏิบัติ
2) กำหนดแผนงาน มาตรการ หลักเกณฑ์ และกลไกการดำเนินงานอนุรักษ์มรดกธรณีและอุทยานธรณี โดยเน้นการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนเพื่อให้เกิดความยั่งยืนของการอนุรักษ์มรดกธรณีและการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นพร้อมทั้งส่งเสริมสนับสนุนการจัดตั้งอุทยานธรณี และเครือข่ายของอุทยานธรณีประเทศไทยรวมถึงการดำเนินกิจกรรมกับเครือข่ายอุทยานธรณีโลกระดับต่าง ๆ
3) รับรองแหล่งมรดกธรณีของประเทศไทย และอุทยานธรณีประเทศไทย ตลอดจนให้ความเห็นชอบและรับรองในการปรับเปลี่ยนและแก้ไขรายละเอียดต่าง ๆ ของอุทยานธรณีประเทศไทย
4) เสนออุทยานธรณีประเทศไทยที่มีความพร้อม โดยความเห็นชอบจากกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะสำนักเลขาธิการคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบในการสมัครเข้ารับรองเป็นอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก
5) ติตต่อประสานงานกับยูเนสโกเกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรมภายใต้กรอบงานอุทยานธรณีโลก
6) ประสานงานและติดตามการปฏิบัติงานของหน่วยงานภาครัฐเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบาย แผนงาน มาตรการและกลไก
7) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ และ/หรือ คณะทำงานได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
8) ปฏิบัติหน้าที่อื่นใด ปฏิบัติการอื่นใด ตามที่นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย
22. เรื่อง การขอต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของเลขาธิการ ก.พ.ร. ครั้งที่ 1 (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปานปรีย์ พหิทธานุกร) กำกับการบริหารราชการ สั่ง และปฏิบัติราชการสำนักงาน ก.พ.ร. เสนอการต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของ นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการ ก.พ.ร. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะดำรงตำแหน่งดังกล่าวครบ 4 ปี ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2567 ต่อไปอีก 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2567 ถึงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568
23. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักงาน กปร.)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักงาน กปร. ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้
1. นายศุภรัชต์ อินทราวุธ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนา (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงาน กปร. ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการ กปร. สำนักงาน กปร
2. นายวิกรม คัยนันทน์ ที่ปรึกษาด้านการประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงาน กปร. ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการ กปร. สำนักงาน กปร.
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
24. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมศักดิ์ เทพสุทิน) กำกับการบริหารราชการ สั่ง และปฏิบัติราชการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เสนอแต่งตั้งและรับโอนข้าราชการ พลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการ ศอ.บต. เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. แต่งตั้ง นายนันทพงศ์ สุวรรณรัตน์ ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. ให้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการ ศอ.บต.
2. รับโอน นายปิยะศิริ วัฒนวรางกูร รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กระทรวงยุติธรรม และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการ ศอ.บต. โดยผู้มีอำนาจสั่งบรรจุทั้งสองฝ่ายได้ตกลงยินยอมในการโอนแล้ว
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
25. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงยุติธรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงยุติธรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 4 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้
1. นายเกิดโชค เกษมวงศ์จิตร รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นางสาวศิริประกาย วรปรีชา รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็ก และเยาวชน ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นายโกมล พรมเพ็ง รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
4. นางธารินี แสงสว่าง รองอธิบดีกรมคุมประพฤติ ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
26. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 6 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้
1. นายภานุวัฒน์ ปานเกตุ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นายศักดา อัลภาชน์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นายโสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
4. นายวีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองอธิบดีกรมการแพทย์ ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
5. นายสราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัย ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
6. นายมณเฑียร คณาสวัสดิ์ รองอธิบดีกรมอนามัย ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
27. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงอุตสาหกรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเสนอแต่งตั้ง นายเศรษฐรัชต์ เลือดสกุล รองอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
28. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย รวม 10 คน แทนประธานกรรมการและกรรมการอื่นเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากมีอายุครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์ และขอลาออก ดังนี้
1. นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ประธานกรรมการ
2. รองศาสตราจารย์กุลยศ อุดมวงศ์เสรี กรรมการ
3. พลโท เจียรนัย วงศ์สอาด กรรมการ
4. รองศาสตราจารย์ฐากูร ศิริยุทธ์วัฒนา กรรมการ
5. นางสาวนิรมาณ ไหลสาธิต กรรมการ
6. นายปกรณ์ อาภาพันธุ์ กรรมการ
7. นายพรพจน์ เพ็ญพาส กรรมการ
8. ศาสตราจารย์พิสุทธิ์ เพียรมนกุล กรรมการ
9. นายวรากร พรหโมบล กรรมการ (ผู้แทนกระทรวงพลังงาน)
10. นายอัครุตม์ สนธยานนท์ กรรมการ (ผู้แทนกระทรวงการคลัง)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไป
29. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงมหาดไทย)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงมหาดไทย ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 10 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ดังนี้
1. นายเชษฐา โมสิกรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นายราชันย์ ซุ้นหั้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นายชูศักดิ์ รู้ยิ่ง ที่ปรึกษาด้านความมั่นคง (นักวิเคราะห์นโยบายและแผน ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
4. นายวัชรเดช เกียรติชานน ที่ปรึกษาด้านการปกครอง (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
5. นายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน
6. นายพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมที่ดิน
7. นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา สำนักงานปลัดกระทรวง
8. นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สำนักงานปลัดกระทรวง
9. นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน สำนักงานปลัดกระทรวง
10. นายสมภพ สมิตะสิริ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย สำนักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
30. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงแรงงาน)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงแรงงาน ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จํานวน 5 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้
1. เรือเอก สาโรจน์ คมคาย ที่ปรึกษากฎหมาย (นิติกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นายสมพจน์ กวางแก้ว รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นางสาวบุณยวีร์ ไขว้พันธุ์ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
4. นายสันติ นันตสุวรรณ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
5. นางมารศรี ใจรังษี รองเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
31. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ รวม 9 คน เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการอื่นเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี ดังนี้
1. นายยุทธนา ยุพฤทธิ์ ประธานกรรมการ
2. นางสาวรัชนีพร ธิติทรัพย์ กรรมการ
3. พลตำรวจโท ปิยะ ต๊ะวิชัย กรรมการ
4. นางสาวกมลพัฒน์ ปุงบางกะดี่ กรรมการ
5. นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ กรรมการ
6. นายธนพล โตโพธิ์ไทย กรรมการ
7. นายจิรพล สังข์โพธิ์ กรรมการ
8. นายภูมินทร์ บุตรอินทร์ กรรมการ
9. นางสาวพิมพ์เพ็ญ ลัดพลี กรรมการ (ผู้แทนกระทรวงการคลัง)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไป
32. เรื่อง การโอนข้าราชการพลเรือนสามัญเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอรับโอน นายประเสริฐ ศิรินภาพร รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป โดยผู้มีอำนาจสั่งบรรจุทั้งสองฝ่ายได้ตกลงยินยอมในการโอนแล้ว
33. เรื่อง ขอความเห็นชอบแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี ดังนี้
1. ผู้ช่วยศาสตราจารย์สมิทธิ์ ศรีสนธิ์ (ด้านการแพทย์)
2. นางชฎาพร รักษาทรัพย์ (ด้านสังคมสงเคราะห์)
3. รองศาสตราจารย์อนุสรณ์ อุณโณ (ด้านการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน)
4. นางสาวฐปณีย์ เอียดศรีไชย
5. นายชนะพล มหาวงษ์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไป
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี