‘เรืองไกร’ร้องกกต.ตรวจสอบ‘รมว.ท่องเที่ยว’ มีเหตุต้องพ้นจากรัฐมนตรีเฉพาะตัวหรือไม่
25 กุมภาพันธ์ 2567 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เปิดเผยว่า วันนี้ได้ส่งหนังสือถึงประธาน กกต.ทางไปรษณีย์ EMS เพื่อขอให้ตรวจสอบนางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวง การท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งเป็นสส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ว่ายังคงเป็นหรือคงไว้ซึ่งการเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่อาจเข้าข่ายกระทำการอันเป็นการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 187 หรือไม่ และจะเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) หรือไม่ ดังนี้
ข้อ 1. นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล ได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน รวมทั้งรายได้ ต่อ ป.ป.ช. กรณีเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อ วันที่ 4 กรกฎาคม 2566 โดยแจ้งรายการซื้อขายหุ้นแต่ยังไม่ได้รับเงินไว้ ดังนี้ มีรายได้จากการขายหุ้นแต่ยังไม่ได้รับเงิน 459,364,000 บาท มีเงินให้กู้ยืมเป็นลูกหนี้สัญญาซื้อขายหุ้น 5 ราย รวม 459,364,000 บาท
ข้อ 2. ต่อมาเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2566 นางสาวสุดาวรรณ ได้รับการโปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นรมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งไม่ต้องยื่นบัญชีแสดงรายรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ต่อ ป.ป.ช. ในฐานะรัฐมนตรีอีกกรณี จึงควรใช้บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน รวมทั้งรายได้ที่ยื่นต่อป.ป.ช.กรณีเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มาเป็นข้อมูลในการตรวจสอบรายได้จากการขายหุ้นแต่ยังไม่ได้รับเงิน แต่ตั้งเป็นลูกหนี้ไว้ ว่านางสาวสุดาวรรณ ในตำแหน่ง รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา มีการขายหุ้นดังกล่าวจริงหรือไม่ เพราะเหตุใดการขายหุ้นจึงไม่ได้รับชำระเงินเลย และทำไมจึงแจ้งเป็นเงินให้กู้ยืม(ลูกหนี้สัญญาซื้อขายหุ้น) ด้วยจำนวนที่เท่ากัน คือ 459,364,000 บาท
ข้อ 3. หาก กกต.ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วมีเหตุอันควรสงสัยว่า ณ วันดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี การซื้อขายหุ้นดังกล่าวยังไม่ได้ชำระเงินซึ่งมีจำนวนสูงมากนั้น จะเข้าข่ายเป็นการทำนิติกรรมอำพรางการถือหุ้นไว้ให้อยู่ในความครอบครองหรือดูแลของบุคคลอื่นไม่ว่าในทางใด ๆ ตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 187 วรรคสี่ หรือไม่ จะถือได้ว่านางสาวสุดาวรรณ ในฐานะรมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ยังคงไว้ซึ่งความเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งหากถือเกินร้อยละ5 ของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว ก็ต้องตรวจสอบต่อไปว่าเข้าข่ายกระทำการอันเป็นการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 187 วรรคหนึ่ง หรือไม่ อันจะเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) หรือไม่
ข้อ 4. เนื่องจากนางสาวสุดาวรรณ ได้แสดงรายการหนี้สินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือไว้ด้วย รวมเป็นเงิน 193,725,000 บาท โดยมี 3 รายการ ซึ่งกู้จากนายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล 2 รายการ และ กู้จากนางยลดา หวังศุภกิจโกศล 1 รายการ ที่มีคำอธิบายระบุไว้ว่า เป็นเจ้าหนี้สัญญาซื้อขายหุ้น วันที่ทำสัญญา คือ 17 ก.ค. 62 ดังนั้น เพื่อให้การตรวจสอบครบถ้วนรอบด้าน จึงขอให้ กกต.นำข้อมูลบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของนายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล และนางยลดา หวังศุภกิจโกศล ที่ยื่นไว้ต่อ ป.ป.ช.ทุกครั้ง มาประกอบการตรวจสอบเพื่อให้ทราบถึงรายการเคลื่อนไหวด้านเดบิทหรือเครดิตทางบัญชี หรือรายการรับ-จ่ายทางการเงิน (ถ้ามี) เกี่ยวกับการการซื้อขายหุ้นหรือจำหน่ายจ่ายโอนหุ้น หรือเปลี่ยนแปลงการถือครองหุ้นดังกล่าวด้วยว่า มีที่มาที่ไปอย่างไร และมีความเกี่ยวข้องกับการเป็นรัฐมนตรีของวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล มาก่อนด้วย หรือไม่
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี