“ราเมศ” ยันประชาธิปัตย์พร้อมทำหน้าที่ฝ่ายค้านเต็มที่ ลับมีดพร้อมซักฟอกรัฐบาล เร่งเก็บข้อมูลชำแหละผลงาน เหน็บรัฐบาลเศรษฐามีผลงานชิ้นเดียวเป็นที่ประจักษ์คือ พักโทษแม้ว ที่สังคมกังขา ซัดเป็นรัฐบาลที่ไม่มีมาตรฐานหลักการความถูกต้องเลย เตือนอย่าออกอาการมาก เพราะเป็นกระบวนการประชาธิปไตย

เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ นายราเมศรัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)กล่าวถึงกรณีการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า รัฐบาลและพรรคเพื่อไทย (พท.) ไม่ควรออกอาการมากเกินไป เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยยกปมแม้วผลงานชิ้นเอกรบ.เศรษฐา

ทั้งนี้ ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ที่ทำหน้าที่ฝ่ายค้านทำงานเต็มที่ ส่วนจะมีเรื่องอะไรบ้างก็ต้องติดตาม เรื่องของห้วงเวลาก็เช่นกันที่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าจะเกิดขึ้นช่วงใด แต่ของพรรคมีกระบวนการทำงานที่เป็นระบบในการเก็บข้อมูลการทำงานของรัฐบาลอยู่แล้ว ส่วนเรื่องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ยังไม่ได้ตอบคำถามที่สังคมสงสัยเลย ทั้งที่เป็นหน้าที่โดยตรงตามหลักการบริหารราชการแผ่นดิน คงใช้คำว่าสองมาตรฐานไม่ได้ แต่เป็นรัฐบาลที่ไม่มีมาตรฐานหลักการความถูกต้องเลย โดยเฉพาะเรื่องนายทักษิณ เป็นเรื่องเดียวที่รัฐบาลทำงานและเป็นชิ้นงานอันประจักษ์ที่สุด

ก.ก.ยังไม่สรุปซักฟอกรบ.มาตราไหน

น.ส.ภคมน หนุนอนันต์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและรองโฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าพรรคร่วมฝ่ายค้านจะหารือร่วมกันในประเด็นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเป็นอย่างไรบ้างว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านพูดคุยกันมาตลอด เพียงแต่ยังไม่มีข้อยุติและยังไม่มีกำหนดการที่ชัดเจน ยังคงต้องประเมินสถานการณ์ หรือดูรายละเอียดอื่นๆว่า จะอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรืออภิปรายทั่วไป ซึ่งปีนี้มีความใกล้เคียงกันในการอภิปรายใหญ่ในอีกหลายครั้ง เดือนมิถุนายนจะอภิปรายร่าง พรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ2568 ด้วย ซึ่งเราจะได้จับตาดูว่างบประมาณของรัฐบาลที่เชื่อว่ามีศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจจะจัดสรรงบประมาณออกมาแบบใด การที่พรรค ก.ก.จะอภิปรายอะไรก็ตามไม่ได้อภิปรายด้วยวัตถุประสงค์ทางการเมืองเป็นหลัก เราจะอภิปรายด้วยข้อมูล ข้อเท็จจริงเป็นหลัก หากมีข้อมูลที่เข้าข่ายให้นำไปอภิปรายไม่ไว้วางใจ เราก็เดินหน้าเต็มที่ ส่วนจะหารือกับพรรคร่วมฝ่ายค้านในช่วงใดนั้น น.ส.ภคมนกล่าวว่า คาดว่าภายหลังเสร็จสิ้นกิจกรรมฝ่ายค้านสัญจรที่ จ.เชียงใหม่ ช่วงต้นเดือนมีนาคมนี้ พรรคร่วมฝ่ายค้านคงจะมีการพูดคุยกันว่าจะเป็นการอภิปรายแบบใด

เมื่อถามถึงประเด็นที่พรรค ก.ก.จะอภิปรายในครั้งนี้ว่ามีเรื่องใดบ้าง น.ส.ภคมนกล่าวว่า เท่าที่คุยในพรรค สิ่งที่สังเกตเห็นได้คือเรื่องร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2568 หากร่าง พ.ร.บ.งบมีความผิดปกติก็น่าจะต้องนำเรื่องนี้แตกแขนงออกไปว่าสามารถนำไปอภิปรายไม่ไว้วางใจได้หรือไม่ ส่วนเรื่องการพักโทษของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะนำมาอภิปรายด้วยหรือไม่นั้น พรรคได้แสดงความคิดเห็นมาโดยตลอด แต่หากระหว่างนี้มีข้อมูลที่สามารถนำไปสู่การอภิปรายที่มากกว่าการแสดงความคิดเห็นในช่วงที่ผ่านมา เราก็คงต้องทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างถึงที่สุดในประเด็นที่สังคมและประชาชนตั้งคำถาม

วิสุทธิ์ประเดิมงานปธ.วิปสกัดสภาล่ม

นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แต่งตั้งเป็นประธานกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) แทน นายอดิศร เพียงเกษ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยว่าพร้อมทำหน้าที่ดีที่สุด จะพยายามผลักดันร่างกฎหมายที่ค้างในรัฐบาลที่แล้ว 20 ฉบับให้สำเร็จ ซึ่งคณะกรรมการกฤษฏีกาตรวจร่างกฎหมายเหล่านี้เสร็จแล้ว เหลือส่งกลับให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ เพื่อเสนอเข้าสภาฯ นอกจากนี้ ยังหารือพรรคร่วมรัฐบาลขอความร่วมมือให้การประชุมวิสามัญคณะต่างๆ ไปประชุมวันจันทร์ อังคารหรือวันศุกร์ ไม่ให้ประชุมวันพุธ หรือวันพฤหัสบดีที่เป็นวันประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ส.ส.อยู่ในห้องประชุมสภาตลอด ทำหน้าที่ตัวแทนประชาชนได้เต็มที่ คอยผลักดันสนับสนุนหกฎหมายฝ่ายรัฐบาล มั่นใจว่าจากนี้จะไม่เกิดปัญหาสภาล่ม หรือความขัดแย้งในพรรครัฐบาล จะหารือกันใกล้ชิด

ก.ก.เปิดเวทีฟังปัญหาที่ดินพิษณุโลก

วันเดียวกัน ที่วัดโบสถ์ อ.วัดโบสถ์ จ.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล (ก.ก.) นำโดย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ก.ก., และนายศุภปกรณ์ กิตยาธิคุณ ส.ส.พิษณุโลก เปิดเวทีรับฟังปัญหาที่ดินประชาชน มีตัวแทนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานราชการ และประชาชน มาร่วมสะท้อนปัญหาเป็นจำนวนมาก นายศุภปกรณ์กล่าวว่า เขต5 มีพื้นที่รวม 5,132 ตารางกิโลเมตร เป็นพื้นที่ถูกห้ามพัฒนา เพราะอยู่ในเขตพื้นที่ป่า ประชาชนจำนวนมากอาศัยอยู่ในพื้นที่เขตป่าสงวน ทำให้มีเอกสารสิทธิในที่ดินของตนเองเพียงประมาณร้อยละ 20 เท่านั้น

เล็งยกเครื่องกม.ที่ดินทั้งระบบ

ด้านนายพิธากล่าวว่า ระยะสั้นตนจะนำปัญหาที่ประชาชนร้องเรียนไปฝากให้คณะกรรมาธิการที่ดินฯ ของสภาผู้แทนราษฎรแก้ปัญหา เราพบว่าหน่วยงานราชการต่างๆ ถือแผนที่คนละฉบับ ทำให้ที่ดินทับซ้อนกัน เช่น หลายพื้นที่เป็นพื้นที่ป่าสงวน แต่ความจริงคือป่าสงวนที่มีลักษณะเสื่อมโทรม มีประชาชนและชุมชนเข้าไปอาศัยอยู่แล้ว ตามตัวเลขที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ที่ดินทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มาเชื่อว่ามีแนวเขตตามกฎหมายป่าสงวนที่ดูแลโดยกรมป่าไม้ 60 กว่าล้านไร่ คงสภาพป่า 40 กว่าล้านไร่ กลายเป็นป่าเสื่อมโทรม เป็นที่ทำกินราษฎร และไม่มีสภาพเป็นป่าแล้วประมาณ 21 ล้านไร่ ดังนั้น เราจะผลักดันให้หน่วยงานท้องถิ่นมีอำนาจตัดสินใจว่าจะอนุญาตให้พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ไฟฟ้า และน้ำประปาหรือไม่ แทนที่จะเป็นอธิบดีกรมหรือรัฐมนตรีประจำกระทรวงที่นั่งอยู่ที่กรุงเทพฯ เพื่อลดปัญหาติดขัดในการตัดสินใจ

นายพิธากล่าวต่อว่า ระยะกลาง เราเสนอให้รัฐนำที่ดินที่ตนถืออยู่แล้วมาบริหารจัดการใหม่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด คงพื้นที่และฟื้นฟูป่าจากพื้นที่ที่ตนเองถือ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือที่ดินราชพัสดุทั่วประเทศประมาณ 12 ล้านไร่ เป็นของกองทัพไปแล้วครึ่งหนึ่ง หรือรวมพื้นที่แล้วเทียบเท่าพิษณุโลกทั้งจังหวัด ส่วนระยะยาว พรรคก้าวไกลมีแผนจะปฏิรูปกฎหมายเกี่ยวกับที่ดินทั้งระบบ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ข้อเท็จจริงปัจจุบัน

เรืองไกรร้องกกต.สอบรมต.ท่องเที่ยว

มีความเคลื่อนไหวของนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐเผยว่า วันนี้ได้ส่งหนังสือถึงประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทางไปรษณีย์ EMS ขอให้ตรวจสอบ น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.การท่องเที่ยวและกีฬาว่า ยังคงเป็นหรือคงไว้ซึ่งการเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท ที่อาจเข้าข่ายกระทำการอันเป็นการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 187 หรือไม่ และเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) หรือไม่ ดังนี้ 1.น.ส.สุดาวรรณยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน รวมทั้งรายได้ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)กรณีเข้ารับตำแหน่งส.ส.เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2566 โดยแจ้งรายการซื้อขายหุ้นแต่ยังไม่ได้รับเงินไว้ว่า มีรายได้จากการขายหุ้นแต่ยังไม่ได้รับเงิน 459,364,000 บาท มีเงินให้กู้ยืมเป็นลูกหนี้สัญญาซื้อขายหุ้น 5 ราย รวม 459,364,000บาท

2.ต่อมาวันที่ 1 กันยายน 2566 น.ส.สุดาวรรณเข้ารับตำแหน่งรมว.การท่องเที่ยวฯ ซึ่งไม่ต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. ในฐานะรัฐมนตรีอีก กรณีจึงควรใช้บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน รวมทั้งรายได้ ที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. กรณีเข้ารับตำแหน่งสส. มาเป็นข้อมูลตรวจสอบรายได้จากการขายหุ้นแต่ยังไม่ได้รับเงินแต่ตั้งเป็นลูกหนี้ไว้ว่า น.ส.สุดาวรรณขายหุ้นดังกล่าวจริงหรือไม่ เพราะเหตุใดการขายหุ้นจึงไม่ได้รับชำระเงินเลย และทำไมจึงแจ้งเป็นเงินให้กู้ยืม (ลูกหนี้สัญญาซื้อขายหุ้น) ด้วยจำนวนที่เท่ากันคือ 459,364,000 บาท

3.หากกกต.ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วมีเหตุอันควรสงสัยว่า วันที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี การซื้อขายหุ้นดังกล่าวยังไม่ได้ชำระเงินซึ่งมีจำนวนสูงมากนั้น จะเข้าข่ายเป็นการทำนิติกรรมอำพรางการถือหุ้นไว้ให้อยู่ในความครอบครองหรือดูแลของบุคคลอื่นไม่ว่าในทางใด ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 187 วรรคสี่ หรือไม่ จะถือได้ว่า น.ส.สุดาวรรณ ยังคงไว้ซึ่งความเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทดังกล่าว หรือไม่ หากถือเกินร้อยละห้าของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว ก็ต้องตรวจสอบต่อไปว่าเข้าข่ายกระทำการอันเป็นการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 187 วรรคหนึ่งหรือไม่ อันเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) หรือไม่

นายเรืองไกรกล่าวต่อว่า 4.เนื่องจากน.ส.สุดาวรรณ ได้แสดงรายการหนี้สินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือไว้ด้วย รวมเป็นเงิน 193,725,000 บาท มี 3 รายการ ซึ่งกู้จากนายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล 2 รายการ และ กู้จากนางยลดา หวังศุภกิจโกศล 1 รายการ ที่มีคำอธิบายไว้ว่า เป็นเจ้าหนี้สัญญาซื้อขายหุ้น วันที่ทำสัญญา คือ 17 กรกฎาคม 2562 ดังนั้น เพื่อให้การตรวจสอบครบถ้วนรอบด้าน จึงขอให้กกต.นำข้อมูลบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของนายวีรศักดิ์และนางยลดา ที่ยื่นไว้ต่อ ป.ป.ช. ทุกครั้ง มาประกอบการตรวจสอบเพื่อให้ทราบถึงรายการเคลื่อนไหวด้านเดบิตหรือเครดิตทางบัญชี หรือรายการรับ-จ่ายทางการเงิน (ถ้ามี) เกี่ยวกับการการซื้อขายหุ้นหรือจำหน่ายจ่ายโอนหุ้น หรือเปลี่ยนแปลงการถือครองหุ้นดังกล่าวด้วยว่า มีที่มาที่ไปอย่างไร และเกี่ยวข้องกับการเป็นรัฐมนตรีของนายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล มาก่อนด้วยหรือไม่