ศาลฎีกานักการเมือง มีมติเอกฉันท์ 9:0 ยกฟ้อง"ยิ่งลักษณ์"กับพวก จัด ROADSHOW ศาลระบุปฏิบัติตามกฎหมายทุกอย่าง
เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 4 มีนาคม 2567 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง องค์คณะผู้พิพากษาได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีทุจริตจัดโรดโชว์ หมายเลขดำที่ อม.2/2565 คดีหมายเลขแดงที่ อม.5/2567 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) เป็นโจทก์ฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ 1 นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล อดีตรองนายกรัฐมนตรีที่ 2 นายสุรนันท์ เวชชาชีวะ อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่ 3 บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ที่ 4 บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ที่ 5 และนายระวิ โหลทอง อดีตประธานกรรมการบริษัทสยามสปอร์ตฯ ที่ 6 จำเลย ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1 - 6 ตามลำดับ
โดยคดีนี้เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2565 โจทก์ยื่นฟ้องคดีว่า เมื่อเดือนสิงหาคม 2556 ถึงวันที่ 12 มีนาคม 2557 นายสุรนันท์ จำเลยที่ 3 ขณะดำรงตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ดำเนินการเสนอโครงการ Roadshow ที่มิใช่กรณี เร่งด่วน โดย นายนิวัฒน์ธำรง จำเลยที่ 2 รองนายกรัฐมนตรีขณะนั้น ลงนามผ่านเรื่อง แล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ จำเลยที่ 1 นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ใช้ดุลพินิจบิดผันสั่งอนุมัติงบกลาง โดยเจตนาร่วมกันกำหนดให้บริษัท มติชนฯ จำเลยที่ 4 และบริษัท สยามสปอร์ต์ ที่ 5 เป็น ผู้รับจ้างจัดโครงการ โดยจำเลยที่ 3 เสนอจำเลยที่ 2 เพื่อขออนุมัติจัดจ้างการดำเนินการโครงการดังกล่าวโดยวิธีพิเศษ อันเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ
นอกจากนี้ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ยังร่วมกันดำเนินการเพื่อให้คณะรัฐมนตรี มีมติยกเว้นการลงนามในสัญญาก่อนได้รับเงินประจำงวดทั้งที่ไม่เข้าเงื่อนไขอันจะได้รับการยกเว้น เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จำนวนเงิน 239,700,000 บาท โดยจำเลยที่ 4 ถึงที่ 6 เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด
ขอให้ศาลลงโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 , 157 พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 ประกอบ พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 192 และ พรบ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 12 , 13
ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 4 - 5 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 , 157 ประกอบมาตรา 86 พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 192 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 และ พรบ.ว่าด้วยความผิด เกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 4 , 12 , 13 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 กับนับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อม.211/2560 ของศาลนี้
ทั้งนี้ โจทก์ยื่นฟ้องกรณีไม่ปรากฏตัวจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นว่า ฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้สั่งไม่ประทับรับฟ้อง
องค์คณะผู้พิพากษามีคำสั่งไม่ประทับรับฟ้องข้อหาเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดซื้อโดยใช้อำนาจใน ตำแหน่งโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 โดยเห็นว่าโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องให้เห็นว่า จำเลยทั้งหกเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจหน้าที่ดังกล่าว ส่วนข้อหาอื่นให้ประทับรับฟ้องไว้พิจารณา โจทก์อุทธรณ์คำสั่งไม่ประทับรับฟ้องดังกล่าว
ต่อมาเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565 ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาโดยองค์คณะชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ไม่มาศาล ถือว่าจำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ ส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ให้การปฏิเสธ
ศาลไต่สวนพยานโจทก์นัดแรกเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2566 นัดไต่สวนพยานจำเลยนัดสุดท้ายวันที่ 7 ธันวาคม 2566 คู่ความขอแถลงปิดคดีภายใน 30 วัน
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง วินิจฉัยว่า ปัญหาที่ว่า จำเลยที่ 1 - 3 ดำเนินการนำงบกลางจำนวน 40 ล้านบาท มาจัดทำโครงการ Roadshow ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น ศาลเห็นว่า โครงการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบคมนาคมของประเทศ และโครงการ Roadshow เป็นการ ดำเนินการตามนโยบายที่รัฐบาลแถลงต่อรัฐสภา ซึ่งรัฐธรรมนูญบัญญัติให้รัฐสภาเท่านั้นตรวจสอบการกระทำของรัฐบาล ศาลจึงไม่มีอำนาจที่จะวินิจฉัยถึงดุลพินิจของฝ่ายบริหารในการกำหนดนโยบายดังกล่าว แต่การใช้งบประมาณเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลนั้น ย่อมต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายระเบียบและมติ คณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง สำหรับคดีนี้มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 กำหนดแนวทาง ปฏิบัติกรณีขออนุมัติใช้เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินและจำเป็น ดังนี้ ศาลย่อมมีอำนาจ ตรวจสอบขั้นตอนปฏิบัติว่าจำเลยที่ 1 - 3 ได้ดำเนินการใดที่ไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวอันถือ เป็นการมิชอบด้วยกฎหมาย โดยมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีและทางราชการ หรือโดยทุจริตหรือไม่
พยานหลักฐานได้ความว่า กำหนดเวลาเริ่มดำเนินโครงการ Roadshow เกิดขึ้นจากการพิจารณาร่วมกัน ของหน่วยงานต่างๆ ซึ่งมิใช่เป็นการตัดสินใจของจำเลยที่ 1 เอง และมิได้กำหนดเวลากระชั้นชิดเพียงเพื่อให้ เป็นเหตุอ้างใช้งบกลาง เมื่อกรณีไม่อาจใช้ทั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2556 และงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ.2557 มาดำเนินโครงการ Roadshow ได้ตามที่ได้กำหนดเวลาไว้ ถือได้ว่าเป็นการกระทำในกรณีมีความจำเป็นและเร่งด่วนต้องใช้จ่ายงบประมาณ
ขณะที่จำเลยที่ 1 มีคำสั่งอนุมัติงบกลางเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2556 ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนเป็นยุติว่า ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... ขัดต่อรัฐธรรมนูญ โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของประเทศได้ผ่านการพิจารณาจากหน่วยงานฝ่ายบริหารและผ่านมติคณะรัฐมนตรีโดยไม่มีข้อทักท้วง ประกอบกับ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณมีความเห็นว่า เห็นสมควรที่นายกรัฐมนตรีจะอนุมัติงบกลางนี้ได้ กรณีย่อมมี เหตุผลเพียงพอให้จำเลยที่ 1 เชื่อโดยสุจริตว่าสามารถอนุมัติได้ จึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้ใช้ดุลพินิจกระทำไปบน พื้นฐานของข้อมูลและข้อเท็จจริงเท่าที่มีอยู่ในขณะนั้นแม้ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยที่ 3 - 4/2557 ว่า ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ ตราขึ้นโดยไม่ใช่กรณีจำเป็นเร่งด่วน ก็เป็นเพียงการวินิจฉัยถึงความชอบของร่าง พระราชบัญญัติดังกล่าวเท่านั้น ทั้งยังเป็นการวินิจฉัยภายหลังเกิดเหตุโดยมิได้วินิจฉัยถึงความรับผิดทางอาญา ซึ่งต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานในคดีนี้ เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่อาจรู้ล่วงหน้าได้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย เป็นประการใด ย่อมถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาเล็งเห็นผลว่าโครงการ Roadshow ไม่อาจเกิดขึ้นได้อย่าง แน่นอน แม้โครงการ Roadshow จะดำเนินการในพื้นที่เดียวกันกับโครงการกระทรวงคมนาคม แต่ก็เป็นเพียง พื้นที่ 2 จังหวัดแรก ทั้งโครงการ Roadshow มีภารกิจครอบคลุมมากกว่า ถือไม่ได้ว่าเป็นโครงการที่ซ้ำซ้อนกัน
สําหรับจําเลยที่ 2 ไม่ปรากฏว่าจําเลยที่ 2 มีส่วนร่วมหรือแนะนําโดยมิชอบเพื่อให้จําเลยที่ 1 อนุมัติงบกลางอย่างไร จําเลยที่ 2 จึงเป็นแต่เพียงผู้ทําหน้าที่พิจารณาแล้วผ่านเรื่องเสนอไปยังจําเลยที่ 1 ตามลําดับชั้นเท่านั้น ส่วนจําเลยที่ 3 เพิ่งทราบว่าต้องขอใช้งบกลางจากการเสนอตามสําดับชั้นของข้าราชการผู้ปฏิบัติงาน จึงเป็นเพียงการดําเนินการตามหน้าที่เท่านั้น
ดังนี้ การที่จําเลยที่ 2 - 3 เสนอให้จำเลยที่ 1 อนุมัติใช้งบกลาง และจําเลยที่ 1 อนุมัติใช้งบกลางจํานวน 40 ล้านบาท มาดําเนินการโครงการ Roadshow จึงไม่เป็นการฝ่าฝืนมติคณะรัฐมนตรี
ปัญหาต่อไปมีว่า จําเลยที่ 1 - 3 ร่วมกันตกลงให้จําเลยที่ 4 - 5 เป็นผู้รับจ้างจัดทําโครงการRoadshow ไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ก่อนเริ่มการจัดจ้างหรือไม่ เห็นว่า จําเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งการให้สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจัดทําโครงการ Roadshow จึงเป็นเรื่องปกติที่จําเลยที่ 1 จะสั่งให้แก้ไขรูปแบบของงาน จําเลยที่ 1 มิได้เป็นผู้ริเริ่มให้จําเลยที่ 4 - 5 เข้ามานําเสนองาน ไม่ปรากฏว่ารูปแบบงานได้กําหนดรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะอย่างใดที่เป็นการเอื้อประโยชน์แก่จําเลยที่ 4 - 5 โดยเฉพาะเจาะจงหรือกีดกันผู้เสนอราคารายอื่น ที่จําเลยที่ 4 มีหนังสือถึงปลัดกระทรวงมหาดไทยขอความอนุเคราะห์ให้แต่ละจังหวัดอํานวยความสะดวก และจําเลยที่ 1 เป็นประธานแถลงข่าวงานโครงการ Roadshow โดยมีพนักงานของจําเลยที่ 4 - 5 ช่วยประสานงานกับสื่อมวลชน รวมทั้งจําเลยที่ 4 เป็นผู้ออกแบบรูปแบบในการจัดงานแถลงข่าวและโลโก้สร้างอนาคตไทย 2020 นั้น ก็มีใช่เป็นการกระทําของจําเลยที่ 1 และไม่ปรากฏว่าจําเลยที่ 1 มีส่วนร่วมรู้เห็นเป็นใจ หรือให้การรับรองการดําเนินการ ทั้งเป็นรายละเอียดในเรื่อง การรปฏิบัตงานจึงไม่อยู่ในวิสัยที่จำเลยที่ 1 จะทราบข้อเท็จจริงได้ทั้งหมด
สําหรับจําเลยที่ 2 มิได้รับมอบหมายให้เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ Roadshow โดยตรงส่วนจําเลยที่ 3 นั้น ปรากฏว่าแนวทางการสรรหาเอกชนมาด้าเนินการโครงการ Roadshowเป็นข้อสรุปร่วมกันของหน่วยงานต่างๆ โครงการของกระทรวงคมนาคมก็เคยจ้างเอกชนมาดําเนินโครงการ จึงไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติ การที่จําเลยที่ 3 แจ้งให้จําเลยที่ 4 - 5 ไปรวบรวมผลงานในอดีตมาเสนอ เป็นเรื่องที่จําเลยที่ 3 ต้องรับผิดขอบตรวจสอบก่อนเสนอต่อที่ประชุม ทั้งการที่จําเลยที่ 4 - 5 ก็จัดทํารูปแบบของ
งานมาเสนอต่อที่ประชุม เป็นการกระทําโดยเปิดเผยแก่บุคคลอื่นเป็นจํานวนมาก โดยจําเลยที่ 3 มิได้กระทําการอันใดในลักษณะที่เป็นการชี้นําหรือจูงใจหรือให้การสนับสนุนเป็นพิเศษ ทั้งข้อเท็จจริงได้ความว่าไม่มีบุคคลใดสั่งการให้เลือกจําเลยที่ 4 - 5 เป็นผู้รับจ้าง
พยานหลักฐานทางไต่สวนจึงรับฟังไม่ได้ว่า จําเลยที่ 1 - 3 กําหนดตัวบุคคลให้เป็นผู้รับจ้างไว้ล่วงหน้า
ปัญหาต่อไปมีว่า จําเลยที่ 1 - 3 ปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการอนุมัติจัดจ้างโครงการ Roadshow โดยวิธีพิเศษตามฟ้องหรือไม่ เห็นสมควรวินิจฉัยวงเงิน 40 ล้านบาท ก่อน
สําหรับจําเลยที่ 1 นั้น ไม่ปรากฏว่าเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง ส่วนจ๋าเลยที่ 2 ไม่ปรากฏว่าจําเลยที่ 2 เป็นผู้ริเริ่มให้ดําเนินการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษ แต่เป็นการเสนอของเจ้าหน้าที่ตามลําดับชั้นโครงการ Roadshow กําหนดเริ่มดําเนินงานตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม 2556และจําเลยที่ 3 เสนอเรื่องต่อจําเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2556 จึงไม่อาจใช้วิธีการประกวดราคา ทั้งหัวหน้าฝ่ายพัสดุ เกษียนข้อความรับรองว่าตรวจแล้ว ถูกต้องตามระเบียบพัสดุ กรณีมีเหตุเพียงพอให้จําเลยที่ 2 พิจารณาได้ว่าเป็นงานที่ต้อง กระทําโดยเร่งด่วน หากล่าช้าอาจจะเสียหายแก่ราชการ ตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 ข้อ24 (3) เช่นนี้ แม้จําเลยที่ 2 สั่งอนุมัติภายในวันเดียวก็ไม่ถือว่าเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ กรณีจึงมีเหตุที่จะทําให้จําเลยที่ 2 เชื่อโดยสุจริต จึงขาดเจตนาพิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
สําหรับจําเลยที่ 3 นั้น เห็นว่า ขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างเป็นหน้าที่และอํานาจของจําเลยที่ 3ในฐานะหัวหน้าส่วนราชการ แต่เป็นกรณีการจัดซื้อจัดจ้างในวงเงินเกินอํานาจอนุมัติของจําเลยที่ 3 จึงต้องเสนอจําเลยที่ 2 พิจารณา ดังนี้ การที่จําเลยที่ 3 ไม่ได้เสนอเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างต่อคณะกรรมการบูรณาการการประชาสัมพันธ์โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างอนาคตประเทศไทย จึงมิใช่เป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ ส่วนที่คณะกรรมการคําหนดราคากลางนําข้อเสนอราคาของจําเลยที่ 4 มาใช้ในการ กําหนดราคากลางนั้นเป็นการพิจารณาของคณะกรรมการกําหนดราคากลางเอง โดยไม่ปรากฏว่ามีการคบคิดกันฉ้อฉลหรือไม่สุจริต หรือมีผู้ใดสั่งการหรือแทรกแซงการกําหนดราคากลางและคณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษให้ต้องเลือกจําเลยที่ 4 เป็นผู้รับจ้างแต่อย่างใด ทั้งเมื่อจ๋าเลยที่ 3 ทราบเรื่องก็ยังมีคําสั่งให้ชะลอการจ่ายเงินค่าจ้างแก่จําเลยที่ 4 - 5 ไว้ก่อน
ประการสําคัญที่สุดหลังเกิดเหตุรัฐประหาร เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ก็มีคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบขึ้น คณะกรรมการดังกล่าวก็เห็นว่าขั้นตอนการดําเนินโครงการ Roadshow เป็นไปตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 จึงอนุมัติเบิกจ่ายเงิน สอดคล้องกับที่คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จริจความรับผิดทางละเมิดได้ตรวจสอบแล้ว พบว่าไม่มีเจ้าหน้าที่กระทําละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐ จึงฟังไม่ได้ว่าจําเลยที่ 3 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ส่วนโครงการ Roadshow อีก 10 จังหวัด วงเงิน 200 ล้านบาท ก็ไม่มีเวลาเพียงพอที่จะใช้วิธีการประกวดราคาได้ กรณีจึงมีเหตุผลเพียงพอให้จําเลยที่ 2 เข้าใจได้ว่าการจัดจ้างโครงการ Roadshow อีก 10 จังหวัด เข้าเงื่อนไขตาม ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดู พ.ศ.2535 ข้อ 24(3) เช่นกัน
ปัญหาต่อไปมีว่า จําเลยที่ 1 - 3 ร่วมกันดําเนินการให้มีการอนุมัติลงนามในสัญญาจ้างก่อนได้รับเงินประจํางวด โดยไม่ชอบด้วย พรบ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ.2502 (ที่ใช้บังคับขณะเกิดเหตุ) หรือไม่ เห็นว่า ที่มาของการดําเนินการดังกล่าวมิใช่เกิดจากการกระทําเพื่อแก้ไขความผิดพลาดของจําเลยที่ 3 เอง แต่การที่จ่าเลยที่ 3ต้องเสนอ จําเลยที่ 2 ลงนามในหนังสือไปยังเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีนั้น เกิดจากความจําเป็นต้องปฏิบัติไปตามที่คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ กรมบัญชีกลาง มีหนังสือแจ้ง และด้วยเหตุนี้ ย่อมเป็นเหตุผลให้จํ๋าเลยที่ 2 จําเป็นต้องมีหนังสือไปยังเลขาธิการคณะรัฐมนตรี การกระทําของจําเลยที่ 2 - 3 ในขั้นตอนนี้จึงมิได้เป็นการกระทําโดยมิชอบ
ส่วนที่จําเลยที่ 1 - 2 ร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีและลงมติเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2557 ด้วย ก็เพราะการอนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันก่อนได้รับอนุมัติเงินประจํางวด เป็นดุลพินิจและอํานาจของคณะรัฐมนตรีโดยเฉพาะตาม พรบ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ.2502 มาตรา 23 วรรคสี่ไม่ปรากฏว่าการใช้ดุลพินิจของจําเลยที่ 1 - 2 ผิดกฎหมายหรือระเบียบ จึงฟังไม่ได้ว่าจําเลยที่ 1 - 2 ใช้ดุลพินิจโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
ปัญหาประการสุดท้ายมีว่า จําเลยที่ 4 - 6 ร่วมกันสนับสนุนจำเลยที่ 1 - 3 ในการกระทําความผิดตามฟ้องหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงทางไต่สวนรับฟังไม่ได้ว่าจําเลยที่ 1 - 3 กระทําความผิดดังวินิจฉัยแล้ว จึงรับฟังไม่ได้ว่าจําเลยที่ 4 - 6 เป็นผู้สนับสนุนในการกระทําความผิด ส่วนที่จําเลยที่ 4 - 6 แบ่งจังหวัดเพื่อจัดทํางานนําเสนอ (Presentation) เป็นขั้นตอนก่อนกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง จึงไม่ถือว่าเป็นการตกลงร่วมกันเสนอราคาตามพรบ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 4 ดังนั้น จําเลยที่ 4 - 6 จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง องค์คณะผู้พิพากษามีมติเอกฉันที์ให้พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมด
โดยผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศว่า วันนี้ศาลใช้เวลาอ่านคำพิพากษานานกว่า 2 ชั่วโมง โดยมีมติเป็นเอกฉันท์ 9:0 ยกฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ อดีตนายกรัฐมนตรี และพวกรวม 6 คน
ด้าน นายนิวัฒน์ธำรง ได้ออกหมายสัมภาษณ์ภายหลังรับฟังคำพิพากษา ระบุว่า กระบวนการไต่สวนเริ่มมาตั้งแต่ปี 2562 และเข้าสู่กระบวนกระบวนการศาลฎีกาตั้งแต่ปี 2565 สำหรับผู้ถูกฟ้องมันได้รับความทรมาน แต่วันนี้ดีใจที่ศาลท่านมีความเมตตาและได้ดูรายละเอียดทั้งหมดจากคำให้การทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยจึงส่งผลในการตัดสินวันนี้
ส่วนเมื่อถามว่าคดีนี้มีการเพิกถอนหมายจับอดีตนายกรัฐมนตรี นายนิวัฒน์ธำรง กล่าวว่า ตนรับทราบตอนหลังก็ยังไม่ได้สื่อสารไปหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ และมองว่าเรื่องที่เกิดขึ้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีส่วนร่วมเพียงน้อยนิดเพราะเป็นเรื่องของหน่วยงาน ในการจัดกิจกรรม
เมื่อถามว่า ถือเป็นการล้างมลทินหรือไม่ นายนิวัฒน์ธำรง ตอบว่า ไม่ได้เรียกว่าเป็นการล้างมลทินแต่เป็นเรื่องของการที่ได้ปฏิบัติงานอย่างสุจริตเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติแต่เมื่อมีคนไปฟ้อง ป.ป.ช.ก็ต้องตรวจสอบแล้วพบว่ามีมูลจะนำไปสู่กระบวนการของศาล ซึ่งตอนนี้ก็ถือว่าโล่งใจเพราะต่อสู้กันมาหลายปี และจากการสอบพยานทางเรามีหลักฐานแน่นว่าไม่มีแววแววในเรื่องของการทำทุจริตและตนเองก็มั่นใจมาโดยตลอด
ด้าน นายนพดล ทนายความของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ระบุว่า ตั้งแต่ตนรับทำคดีนี้ก็มั่นใจในลูกความตนเองว่าไม่มีความผิดและเชื่อมั่นในความสุจริตเพราะดูจากพยานหลักฐานอีกทั้งพยานหลักฐานฝ่ายผู้กล่าวหาเองก็มีข้อบกพร่องเยอะ รวมถึงตนเองมีการรวบรวมหลักฐานจากทุกศาลมาต่อสู้จึงมีความเชื่อมั่นตั้งแต่แรกแต่ครั้งนี้ก็ได้รับความเมตตาจากศาล
ส่วน นายสุรนันทน์ ได้ขอบคุณตุลาการศาลฎีกาที่มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าไม่ผิด ที่ให้ความเป็นธรรมเพราะ การไต่สวนนั้นค่อนข้างละเอียดพิจารณาทุกแง่มุม อย่างละเอียดถี่ถ้วนทำให้เกิดความเชื่อมั่นในกระบวนการที่ทำของไทยและขอขอบคุณกำลังใจ จากทุกคนทั้งที่รู้จักตนและไม่รู้จักตนตลอดตลอดแปดปีที่ผ่านมา ตอนนี้ยอมรับว่าสบายใจและเราปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ในขณะนั้น และถือเป็นการยืนยันความถูกต้องเพราะที่ผ่านมามีการแถลงข่าวมากมาย มีกระแสข่าว แต่ตนไม่เคยมีการตอบโต้กลับ รอเพียงแค่ศาลตัดสินเท่านั้นและวันนี้ก็ถือเป็นที่ประจักษ์แล้ว
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี