วันเสาร์ ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / การเมือง
เปิดรายงาน‘TIME’ เส้นทางนายกฯ‘เศรษฐา’ แรงกดดันศก.-มวลชนก้าวไกล

เปิดรายงาน‘TIME’ เส้นทางนายกฯ‘เศรษฐา’ แรงกดดันศก.-มวลชนก้าวไกล

วันพุธ ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2567, 16.45 น.
Tag : TIME นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน Srettha Thavisin นิตยสารTIME
  •  

เปิดรายงาน"TIME" เส้นทางนายกฯ"เศรษฐา ทวีสิน" แรงกดดันทั้งแก้ปัญหาศก.-มวลชนฝ่ายหนุน"ก้าวไกล"

เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2567 นิตยสารชื่อดังของสหรัฐอเมริกาอย่าง TIME ฉบับล่าสุดใช้ภาพของ เศรษฐา ทวีสิน (Srettha Thavisin) นายกรัฐมนตรีของไทย ขึ้นปก พาดหัว “The Salesman” รวมถึงตีพิมพ์รายงานพิเศษในหัวข้อ “Thailand’s New Prime Minister Is Getting Down to Business. But Can He Heal His Nation?” ซึ่งระบุว่า เศรษฐา ชายวัย 62 ปี อดีตเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ซึ่งเข้ารับตำแหน่งนายกฯ ในเดือน ก.ย. 2566 และได้เดินทางไปต่างประเทศมากกว่า 10 ครั้งเพื่อพบปะนักลงทุน รวมถึงจีน ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และการประชุมเศรษฐกิจโลกที่ดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์


ผู้สื่อข่าวของ TIME บรรยายว่า ห้องประชุมเล็กๆ ที่นายกฯ เศรษฐา ใช้เป็นที่ให้สัมภาษณ์นั้นรายล้อมไปด้วยกระดานไวท์บอร์ดที่เต็มไปด้วยวัตถุประสงค์เชิงนโยบายที่เขียนไว้คร่าวๆ เช่น กระเป๋าเงินดิจิทัล ศูนย์กลางการบินแห่งชาติ เหมืองแร่โปแตช เทสลา ซึ่งความพยายามของเขากำลังจ่ายเงินปันผลอยู่แล้ว การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 เพิ่มขึ้น 2 เท่าเมื่อเทียบเป็นรายปี ในเดือน พ.ย. 2566 เพียงเดือนเดียว เขาได้เปิดเผยการลงทุนในประเทศไทยโดยอเมซอน, กูเกิลและไมโครซอฟต์มูลค่ารวม 8.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ

ด้วยเสน่ห์อันล้นเหลือของพนักงานขาย เขากล่าวว่า “ผมอยากบอกให้โลกรู้ว่าประเทศไทยกลับมาเปิดธุรกิจอีกครั้ง”

ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ดินแดนที่เรียกตนเองว่า “สยามเมืองยิ้ม” ต้องเผชิญกับความแตกแยกทางการเมืองอันขมขื่น ซึ่งทำให้กองทัพยึดอำนาจในการรัฐประหารปี 2557 และเขียนรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อรับประกันบทบาทชี้นำกองทัพของประเทศ (เศรษฐาเข้ามาแทนที่นายพลที่เป็นคนวางนโยบายดังกล่าว) แต่ภายใต้ทศวรรษถัดมาของการปกครองกึ่งทหารที่สับสนวุ่นวาย เศรษฐกิจของไทยซึ่งใหญ่เป็นอันดับสองของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ก็ซบเซาใน ขณะที่ปัญหาความเหลื่อมล้ำกลับทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น

ในปี 2561 กลุ่มคนที่รวยที่สุด หรือกลุ่ม 1% บนสุดของประเทศไทยควบคุมความมั่งคั่งได้ถึงร้อยละ 66.9 ตามข้อมูลของ Credit Suisse Global Wealth Databook (ในสหรัฐฯ คิดเป็นประมาณร้อยละ 26.5) ขณะเดียวกัน คนหนุ่ม-สาวหลายพันคนออกมาเดินขบวนตามท้องถนนในช่วงสี่ปีที่ผ่านมาเพื่อเรียกร้องให้กองทัพและอำนาจจารีตนิยมหยุดก้าวก่ายกระบวนการประชาธิปไตย โดยใช้สัญลักษณ์ “ชูสามนิ้ว” แบบในภาพยนตร์ Hunger Games เป็นสัญญาณ ความไม่พอใจทั้งสุญญากาศทางประชาธิปไตยและความผิดพลาดทางการคลัง

การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) โดยเฉลี่ยในประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากร 70 ล้านคน ต่ำกว่าร้อยละ 2 ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม มีอัตราดังกล่าวเป็นสองเท่าหรือสามเท่า การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ขณะที่สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ได้ทำลายล้างภาคการท่องเที่ยว อันเป็นภาคเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงมีเพียงร้อยละ 70 หากเทียบกับจุดสูงสุดในปี 2562

กาเร็ธ ลีเธอร์ (Gareth Leather) นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสประจำภูมิภาคเอเชียจาก Capital Economics กล่าวว่า ประเทศไทยล้าหลังอย่างแท้จริงในแง่ของการฟื้นตัวจากโรคระบาด มันแย่กว่าที่อื่นๆ ในทวีปเอเชีย ขณะที่ เศรษฐา กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า ประเทศไทยอยู่ในวิกฤติเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นวิกฤติที่ต้องรับมือโดยตรง นำไปสู่นโยบายทั้งการลดภาษีเชื้อเพลิง ประกาศพักชำระหนี้เป็นเวลา 3 ปีสำหรับเกษตรกรที่ประสบปัญหา และวางแผนที่จะเปิดตัวโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัลที่จะมอบเงิน 10,000 บาท (280 เหรียญสหรัฐ) ให้กับผู้ใหญ่ชาวไทยทุกคนเพื่อกระตุ้นการบริโภค

นอกจากนั้นยังได้ยกเว้นวีซ่าสำหรับผู้มาเยือนจากจีนและอินเดีย โดยมีแผนจะขยายไปยังประเทศอื่นๆ อีกหลายประเทศ และนอกเหนือจากการท่องเที่ยวแล้ว เศรษฐายังต้องการเพิ่มบทบาทของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ การดูแลสุขภาพ และการเงิน อีกทั้งตั้งเป้ายกระดับชื่อเสียงของประเทศไทยในเวทีโลก โดยได้ต้อนรับเจค ซัลลิแวน (Jake Sullivan) ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ และ หวังอี้ (Wang Yi) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน เมื่อเดือน ม.ค. 2567 สำหรับการหารือที่ละเอียดอ่อนระหว่างคู่แข่งมหาอำนาจ

นายกฯ เศรษฐา คาดหวังว่า ประเทศไทย ซึ่งเป็นพันธมิตรที่เก่าแก่ที่สุดของอเมริกาในเอเชียที่มีความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้งกับจีน จะสามารถทำหน้าที่เป็นสะพานและพื้นที่ปลอดภัย พร้อมยกระดับชื่อเสียงระดับนานาชาติ รวมถึงอยากเห็นประเทศไทยเปล่งประกาย อย่างไรก็ตาม หนทางข้างหน้าค่อนข้างชัดเจนว่าไม่มีอะไรสดใส ย้อนกลับไปมองการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ครั้งล่าสุด พรรคเพื่อไทยซึ่งส่งชื่อของเศรษฐาชิงเก้าอี้นายกฯ ไม่ได้ชนะการเลือกตั้ง

โดยในการเลือกตั้งดังกล่าว พรรคเพื่อไทยได้พ่ายแพ้ให้กับพรรคก้าวไกล พรรคการเมืองที่มีแนวคิดเปลี่ยนแปลงอย่างสุดทาง (Radical) ในการควบคุมทั้งกองทัพ กลุ่มทุน รวมถึงการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ด้วยแนวทางนี้ แม้พรรคก้าวไกลจะได้ที่นั่ง สส. มากที่สุด คือ 151 ที่นั่ง จากทั้งหมด 500 ที่นั่ง แต่ก็ถูกสกัดกั้นโดยเฉพาะจากสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่รัฐบาลทหารได้แต่งตั้งไว้ จึงเป็นโอกาสของพรรคเพื่อไทยในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยมีพรรคการเมืองอื่นๆ รวม 10 พรรค ให้การสนับสนุน

บทความของ TIME ชี้ว่า สิ่งที่ขัดแย้งกันก็คือ เศรษฐากำลังต่อสู้เพื่อแก้ไขเศรษฐกิจของประเทศไทยด้วยการร่วมมือกับกองกำลังเดียวกันกับที่ลงทุนในการขัดขวางการปฏิรูปครั้งใหญ่ และเมื่อพิจารณาจากภาวะย่ำแย่ของเศรษฐกิจไทยและเส้นทางสู่อำนาจที่ขัดแย้งกันของเขา เขาจึงตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างหนักที่จะต้องสร้างผลกำไรที่แท้จริงและรวดเร็ว ไม่ใช่ว่าเศรษฐาเลือกที่จะตีกรอบสิ่งต่างๆ ด้วยเงื่อนไขเหล่านั้น ถึงกระนั้น นายกฯ เศรษฐา ก็ได้ย้ำว่า ความกดดันของตนไม่ได้เกิดจากการเป็นรองแชมป์ในการเลือกตั้ง

“ความกดดันมาจากความจำเป็นในการจัดการกับปัญหาความยากจนเพื่อปรับปรุงความเป็นอยู่ที่ดีของคนไทยทุกคน นั่นคือความกดดันที่ผมเผชิญอยู่ทุกวัน” เศรษฐา กล่าว

คนไทยไม่กี่คนที่เห็นว่าความรุ่งโรจน์ทางการเมืองของเศรษฐากำลังมา อดีตซีอีโอของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แสนสิริ เขาเพิ่งมาร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยในปี 2565 และไม่มีตำแหน่งทางการเมืองใดเลยกระทั่งได้ตำแหน่งสูงสุดคือนายกรัฐมนตรี หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมโยธาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอันทรงเกียรติในกรุงเทพฯ เขาศึกษาเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตส์ แอมเฮิร์สต์ จากนั้นสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยแคลร์มอนต์ ชื่อเล่นของเขาคือ “นิด” ซึ่งแปลว่า “ตัวเล็ก” ในภาษาไทย ที่ดูจะตรงข้ามกับการมีรูปร่างสูงถึง 6 ฟุต 3 นิ้ว และมีชื่อเสียงทั้งในด้านความกระตือรือร้นและอารมณ์ฉุนเฉียว

เศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกฯ คนที่ 2 ของไทยที่ใช้ห้องนอนในทำเนียบรัฐบาล แทนที่จะเดินทางผ่านถนนที่จอแจฉาวโฉ่ในกรุงเทพฯ บนเตียงมีตุ๊กตายัดไส้เป็นรูป “เศรษฐา” ที่เขาได้รับเป็นของขวัญ พร้อมด้วยถุงเท้าฉูดฉาดอันเป็นเครื่องหมายการค้า (ความชื่นชอบในถุงเท้าสีแดงหรือสีชมพูที่เปล่งประกายได้จุดประกายให้เกิดการถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อนบนโลกออนไลน์เกี่ยวกับระเบียบการ) มุมหนึ่งมีชั้นวางชุดสูทธุรกิจและชุดทางการที่เปิดโล่งอยู่เต็มมุมหนึ่ง อุปกรณ์ออกกำลังกายตรงบริเวณห้องเฉลียง ผู้ช่วยจับจ้องไปที่แล็ปท็อปที่ฝูงชนอยู่รอบโต๊ะส่วนกลางขนาดใหญ่

นายกฯ เศรษฐา กล่าวว่า การพักอาศัยอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาลทำให้ตนสามารถจัดการประชุมช่วงเช้าและดึกได้ และเมื่อไม่ต้องเดินทางก็ไม่ต้องไปรบกวนการจราจรบนท้องถนน แต่เมื่อสังเกตโต๊ะทำงาน พบว่าไม่มีกระดาษสักแผ่นวางอยู่ ซึ่ง เศรษฐา ชอบที่จะไป – มา ระหว่างทีมต่างๆ ขึ้นอยู่กับการพูดคุย แม้เขามักพกกระเป๋าเอกสารหนังสภาพเก่าและมีรอยขาดที่ซื้อจากประเทศเยอรมนีมาตั้งแต่เมื่อ 36 ปีก่อนก็ตาม โดยเขากล่าวว่า ครั้งเดียวที่ตนได้ใช้โต๊ะ น่าจะเป็นตอนที่รับโทรศัพท์จากนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู (Benjamin Netanyahu)

เศรษฐาไม่ใช่นักธุรกิจคนแรกที่ผันตัวมาเป็นนักการเมืองที่พยายามสร้างพลวัตขององค์กรในรัฐบาล แม้ว่าทุกคนจะต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ความแตกต่างระหว่างห้องประชุมคณะกรรมการและคณะรัฐมนตรีถูกเปิดเผย สำหรับเศรษฐา เมื่อเข้ารับตำแหน่งได้ไม่ถึงเดือน ก็ต้องเผชิญกับเหตุการณ์กลุ่มฮามาสโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2566 คร่าชีวิตชาวไทยที่ไปทำงานในอิสราเอล 39 คน และมีอีก 32 คนซึ่งถูกจับเป็นตัวประกัน นับตั้งแต่นั้นมา รัฐบาลของเขาเจรจาปล่อยตัวตัวประกันได้แล้วเกือบทั้งหมด เหลืออยู่เพียง 8 คน

“ข่าวออกมาอย่างช้าๆ แต่สิ่งที่ทำให้ผมตกใจมากที่สุดคือการเสียชีวิต อีกไม่นานก็แปด เก้า สิบ ผมยังจำความรู้สึกได้ เมื่อไหร่จะหยุดเสียที” นายกฯ เศรษฐา เล่าย้อนถึงวินาทีที่หดหู่ เมื่อต้องทราบข่าวความสูญเสียของพลเมืองไทย

ตั้งแต่นั้นมา การย้ายประเทศเป็นเป้าหมายหลักของเขา นอกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว เศรษฐายังทำหน้าที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังด้วย แต่ ณ ปัตจุบัน ประเทศไทยก็ยังไม่ผ่านงบประมาณระดับชาติ การถกเถียงหลังการเลือกตั้งทำให้ความสามารถของเขาในการดำเนินการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายอย่างมากลดลง การเปิดตัวกระเป๋าเงินดิจิทัลทำให้เขาต้องปวดหัวกับธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเกรงว่าการแจกเงินสดมูลค่า 1.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐจะกระตุ้นให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ

“การเป็นซีอีโอของบริษัท คุณจะรู้ว่าคุณมีอำนาจจำกัด แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดคือการไม่มีอำนาจอย่างที่นายกรัฐมนตรีมี” เศรษฐา เปรยกับผู้สื่อข่าวของ TIME

ในวันเดียวกับที่รัฐสภาโหวตรับรองให้เศรษฐาเป็นนายกฯ (22 ส.ค. 2566) บุคคลสำคัญอีกผู้หนึ่งที่ปรากฏตัวในการเมืองไทย: ผู้ก่อตั้งพรรคการเมืองสายเพื่อไทย มหาเศรษฐีและอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร (Thaksin Shinawatra) กลับมาจากการไปอยู่ต่างประเทศเป็นเวลา 15 ปี ทักษิณถูกจับกุมที่สนามบินและถูกตัดสินจำคุก 8 ปีในความผิดฐานคอร์รัปชั่นและใช้อำนาจโดยมิชอบ จากนั้นภายในไม่กี่ชั่วโมง ทักษิณในวัย 74 ปี ถูกย้ายจากห้องขังไปยังห้องพักของโรงพยาบาล และในวันที่ 18 ก.พ. 2567 เขาก็ได้รับการพักโทษ

แต่การที่พรรคเพื่อไทยกลับลำไปร่วมมือกับขั้วอำนาจฝ่ายอนุรักษ์นิยม ก็ทำให้ชาวไทยที่เป็นพวกฝ่ายหัวก้าวหน้าไม่พอใจอย่างมาก บางส่วนรวมตัวประท้วงบริเวณหน้าที่ทำการของพรรค รวมถึง นพ.เหวง โตจิราการ (Weng Tojirakarn) อดีตนักการเมืองของพรรคเพื่อไทย และยังเคยเป็นแกนนำมวลชนที่สนับสนุน ทักษิณ ชินวัตร ก็ยังกล่าวโจมตีพรรคเพื่อไทยว่าทรยศประชาชน

แผนปฏิรูปอย่างการยกเลิกการเกณฑ์ทหารถูกเก็บเข้าลิ้นชัก เศรษฐา ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเพียง “ลูกไล่ – หุ่นเชิด” ทั้งของทักษิณและเครือข่ายชนชั้นนำ อาทิ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ (Chuwit Kamolvisit) อดีตนักการเมืองและนักธุรกิจกลางคืน ที่ผันตัวมาเป็นนักเคลื่อนไหวต่อต้านปัญหาการทุจริต วิพากษ์วิจารณ์ เศรษฐา ทวีสิน ว่าเป็นเพียงหุ่นยนต์ ที่ทักษิณสามารกดรีโมทสั่งซ้ายหัน – ขวาหันได้ แต่เศรษฐาก็ได้ตอบโต้เสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้นอย่างหนักแน่นว่า ตนควบคุมทุกอย่างได้ด้วยตนเอง

เศรษฐาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าจุดมุ่งเน้นของเขาอยู่ที่ใด เช่น การลงทุนจากต่างประเทศ การค้า และความพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังตกต่ำ แต่คนไทยจำนวนมากกลัวว่าประเด็นเชิงค่านิยมจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง จริงอยู่ รัฐบาลของเศรษฐากำลังผลักดันกฎหมายเกี่ยวกับความเท่าเทียมในการแต่งงานและสิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBT) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสาธารณะอย่างกว้างขวาง และอาจส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านสิ่งที่เรียกว่าการเดินทางมาถึงด้วยเงินสีชมพู (pink-dollar : สำนวนภาษาอังกฤษ หมายถึงกำลังซื้อของกลุ่มหลากหลายทางเพศ)

แต่ปัญหาอื่นๆ อีกมากมายดูเหมือนจะกลับถอยกลับ เศรษฐากำลังครุ่นคิดถึงการปฏิรูปอุตสาหกรรมประมงของไทย ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อควบคุมการค้ามนุษย์ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นปัญหาใหญ่ ซึ่ง ฟิล โรเบิร์ตสัน (Phil Robertson) รองผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียขององค์กร ฮิวแมน ไรท์ วอทซ์ (Human Rights Watch) กล่าวว่า เห็นได้ชัดว่าสิทธิมนุษยชนไม่ได้อยู่ในวาระสูงสุดของเศรษฐา

และดูเหมือนจะเป็นการปรองดองในระดับชาติด้วย เยาวชนไทยเกือบ 2,000 คนยังคงถูกดำเนินคดีจากการกระทำที่เกี่ยวข้องกับการประท้วงเพื่อประชาธิปไตยอย่างสันติช่วงปี 2563 – 2564 เมื่อวันที่ 12 ก.พ. 2567 นักข่าวไทย 2 คนถูกจับกุมในข้อหาสัมภาษณ์นักเคลื่อนไหวที่พ่นสีสัญลักษณ์อนาธิปไตยและสัญลักษณ์ วิจารณ์กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพบนกำแพงวัดกรุงเทพฯ ตั้งแต่เดือน พ.ย. 2563 มีผู้ถูกจับกุมมากกว่า 200 รายภายใต้กฎหมายที่เข้มงวด โดยเป็นผู้ที่อายุน้อยที่สุดเพียง 14 ปี

เมื่อเดือน มี.ค. 2566 ชายคนหนึ่งถูกจำคุกเป็นเวลา 2 ปีเพียงเพราะขายปฏิทินเสียดสีที่มีรูปเป็ดยาง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์การประท้วงเพื่อประชาธิปไตย คำมั่นสัญญาของพรรคก้าวไกล ที่จะปฏิรูปกฎหมายดังกล่าวคือหนึ่งในตัวขับเคลื่อนเบื้องหลังชัยชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย อย่างไรก็ตาม เศรษฐาไม่เห็นปัญหาใดๆ โดย โรเบิร์ตสัน ย้ำว่า สิทธิที่จะมีความยุติธรรมที่ยุติธรรม สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอยู่ที่นั่น

แนวคิดที่ถูกให้นิยามว่า “ปฏิบัตินิยมแบบใจหิน (Ruthless Pragmatism)” ยังถูกนำไปใช้กับนโยบายต่างประเทศ ในเดือนตุลาคม เศรษฐาได้พบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง (Xi Jinping) ของจีนในกรุงปักกิ่งเพื่อชักชวนการลงทุนจากจีน โดยเฉพาะโครงการสะพานทางบกทางตอนใต้มูลค่า 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงท่าเรือระนองทะเลอันดามันผ่านทางถนน ทางรถไฟ และท่อส่งก๊าซไปยังจังหวัดชุมพรบน อ่าวไทยซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 60 ไมล์ เมื่อถามถึงความประทับใจที่มีต่อสี เศรษฐาก็หยุดชะงัก แล้วบอกว่า ในฐานะผู้นำระดับโลก เขามีกลิ่นอายในตัวเขา และตนคิดว่าเขาต้องการแลกเปลี่ยน ตนคิดว่าผู้นำจีนไม่ได้ดูจะสร้างปัญหาใดๆ ไม่ได้มองหาสงคราม

สิ่งเดียวกันนี้ไม่สามารถพูดถึงผู้นำรัสเซียอย่าง วลาดิเมียร์ ปูติน (Vladimir Putin) ซึ่งเศรษฐาได้พบในเดือน ต.ค. 2566 เช่นกัน และยังได้เชิญให้เดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ แม้ว่าจะมีศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ออกหมายจับประธานาธิบดีรัสเซียที่เกี่ยวข้องกับการบังคับเนรเทศเด็กชาวยูเครนก็ตาม (ประเทศไทยได้ลงนามแต่ไม่ได้ให้สัตยาบันในธรรมนูญของ ICC) ซึ่งการที่เศรษฐายินดีกับปูติน ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่สบายใจ

เจ้าหน้าที่อาวุโสของสหรัฐฯ กล่าวว่า สหรัฐฯ ได้ชี้แจงความกังวลต่อรัฐบาลไทยเกี่ยวกับการกระทำและกิจกรรมของปูติน รวมถึงการรุกรานที่ไม่ได้รับการยั่วยุในยูเครน โดยพูดเป็นเบื้องหลังเนื่องจากลักษณะการสนทนาที่ละเอียดอ่อน การเสียชีวิตเมื่อเร็วๆ นี้ของ อเล็กเซ นาวาลนี (Alexei Navalny) นักการเมืองฝ่ายตรงข้ามกับปูตินในทัณฑสถานในไซบีเรีย ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน (Joe Biden) เรียกว่า ยังเป็นข้อพิสูจน์อีกประการหนึ่งที่แสดงถึงความโหดร้ายของปูติน ได้เพิ่มความไม่สบายใจทางการทูต แต่นายกฯ ไทย ก็ไม่สนใจคำวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ

“มีหลักฐานว่าปูตินเป็นผู้รับผิดชอบหรือไม่ มันเป็นอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในดินแดนของพวกเขา หากเป็นอาชญากรรมจริงๆ เราไม่ก้าวก่ายอธิปไตยของประเทศอื่น” เศรษฐา กล่าว

ฟิล โรเบิร์ตสัน จากฮิวแมน ไรท์ วอทซ์ อธิบายท่าทีของ เศรษฐา ทวีสิน ว่า สำหรับเศรษฐา นักท่องเที่ยวชาวรัสเซียที่ใช้จ่ายมากกว่า 1 ล้านคนที่มาเยือนประเทศไทยทุกปีมีความสำคัญเหนือกว่า เศรษฐายังได้เสนอให้ผู้ถือหนังสือเดินทางรัสเซียทุกคนสามารถเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า 90 วัน ซึ่งมากกว่าที่ชาวอเมริกันจะสามารถทำได้ถึง 3 เท่า เขาไม่ละเลยในการพยายามดึงดูดนักท่องเที่ยวมายังประเทศไทยให้มากขึ้นและทำข้อตกลงทางธุรกิจ

แต่ในขณะที่ เศรษฐา ทวีสิน เดินทางไปทั่วโลกด้วยความคาดหวังให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางด้านการลงทุน เป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศไทยมีสภาวะที่เรียกว่าถูกผูกขาดโดยกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่จำนวนหนึ่งที่มีความใกล้ชิดกับภาครัฐ ซึ่ง ดันแคน แม็คคาร์โก (Duncan McCargo) ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับประเทศไทย นักวิชาการประจำมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยางในสิงคโปร์ กล่าวว่า บริษัทต่างชาติต้องการเข้าสู่ภาคโทรคมนาคม ภาคการค้าปลีก ภาคเครื่องดื่ม แต่ทุกคนรู้ดีว่าภาคส่วนเหล่านี้ถูกครอบครองไปแล้วเป็นส่วนใหญ่

แม้แถลงการณ์ของพรรคเพื่อไทยให้คำมั่นที่จะลดอำนาจของกลุ่มบริษัท เพียงหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่เขาได้รับการยืนยันว่าเป็นนายกรัฐมนตรี เศรษฐาได้เข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำที่จัดโดยผู้บริหารกลุ่มบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจำนวนครึ่งโหล โดยแชร์รูปภาพบนแพลตฟอร์ม X ปัจจุบันเศรษฐาไม่เห็นสิ่งที่ผิดกับสภาพที่เป็นอยู่มากนัก ยืนกรานยังมีพื้นที่ให้ผู้ประกอบการทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศได้หาส่วนแบ่งการตลาด เขายังกล่าวด้วยว่า ตนไม่คิดว่าเศรษฐกิจถูกครอบงำโดยกลุ่มบริษัทระดับโลกล้วนๆ

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (Pita Limjaroenrat) อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า คนไทยจำนวนมากไม่เห็นด้วย ดังที่เห็นได้จากคะแนนเสียง 14 ล้านเสียงสำหรับคำมั่นสัญญาอันกล้าหาญของพรรคก้าวไกล ในเรื่องการกระจายอำนาจและการทำลายทุนผูกขาด แต่เศรษฐาฯ ยังติดอยู่กับวิธีคิดแบบ “เศรษฐกิจไหลริน” (Trickle-down Economics : แนวคิดทางเศรษฐกิจที่เชื่อว่า หากทำให้ผู้ประกอบการรายใหญ่เข้มแข็ง ก็จะช่วยหมุนระบบเศรษฐกิจในภาพรวมทั้งหมดให้ดีขึ้นไปด้วย)

รายงานของ TIME ทิ้งท้ายว่า เศรษฐาดูมีความสุขที่ได้ไปเยี่ยมสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิในกรุงเทพฯ โดยไม่ได้กำหนดเวลาไว้ และตำหนิพนักงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ รวมถึงแสดงความเสียใจต่อการตัดสินใจของ เทย์เลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift) ป็อปสตาร์สาวชาวอเมริกัน ในการเลือกแสดงคอนเสิร์ต Eras Tour ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สิงคโปร์ไม่ใช่กรุงเทพฯ แต่การละทิ้งความเอิกเกริกและระเบียบปฏิบัติของทำเนียบรัฐบาลเป็นส่วนที่ง่าย ในที่สุด เศรษฐาจะถูกตัดสินจากการตัดสินใจที่ยากลำบากในการยกระดับกลุ่มที่อยู่ต่ำที่สุดในสังคม แม้ว่าจะต้องเสียค่าใช้จ่ายจากผู้สนับสนุนระดับสูงของเขาก็ตาม เพราะการปฏิรูปอย่างกล้าหาญคือสิ่งที่เศรษฐกิจไทยต้องการอย่างยิ่ง

“จากการเป็นซีอีโอของบริษัทไปจนถึงซีอีโอของประเทศ มีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอีกมากมาย” เศรษฐา กล่าว และเช่นเดียวกับในห้องประชุม อำนาจไม่เคยแบ่งเท่าๆ กัน!!!

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : 'เศรษฐา ทวีสิน'ขึ้นปกนิตยสารTIME พาดหัวใหญ่นายกฯไทยเป็น'เดอะ เซลส์แมน'

ขอบคุณเรื่องจาก : https://time.com/6899782/thailand-prime-minister-srettha-thavisin-business-hub/?utm_source=twitter&utm_medium=social&utm_campaign=editorial&utm_term=world_asia&linkId=357018853

- 006

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • \'นายกฯ\'ยินดี พระสันตะปาปาลีโอที่ 14 ได้ตำแหน่งสันตะปาปาองค์ที่ 267 'นายกฯ'ยินดี พระสันตะปาปาลีโอที่ 14 ได้ตำแหน่งสันตะปาปาองค์ที่ 267
  • นายกฯ เข้าบ้านพิษณุโลก เรียก\'รมว.กลาโหม -ผบ.ตร.-ปลัดมท.\'สางไฟใต้ นายกฯ เข้าบ้านพิษณุโลก เรียก'รมว.กลาโหม -ผบ.ตร.-ปลัดมท.'สางไฟใต้
  • ปชน. หวัง\'นายกฯอิ๊งค์\'รักษาคำพูด ยอมรับมติแพทยสภา ตามที่เคยลั่นวาจาไว้กลางสภา ปชน. หวัง'นายกฯอิ๊งค์'รักษาคำพูด ยอมรับมติแพทยสภา ตามที่เคยลั่นวาจาไว้กลางสภา
  • เกาะติดชายแดนใต้! นายกฯถก‘ภูมิธรรม-ผบ.ทบ.-รมว.กต.’ เกาะติดชายแดนใต้! นายกฯถก‘ภูมิธรรม-ผบ.ทบ.-รมว.กต.’
  • สานต่อมิตรภาพ! \'นายกฯ\'ต่อสายผู้นำออสซี่แสดงความยินดี หลังชนะเลือกตั้งสมัยที่ 2 สานต่อมิตรภาพ! 'นายกฯ'ต่อสายผู้นำออสซี่แสดงความยินดี หลังชนะเลือกตั้งสมัยที่ 2
  • ‘อนุทิน’ย้ำ‘นายกฯ’ไม่เคยคุย‘ปรับ ครม.’ ลั่นสัมพันธ์ยังปึ้ก อยู่กันอีกนาน ‘อนุทิน’ย้ำ‘นายกฯ’ไม่เคยคุย‘ปรับ ครม.’ ลั่นสัมพันธ์ยังปึ้ก อยู่กันอีกนาน
  •  

Breaking News

กระท้อนทองบางเจ้าฉ่า หวานฉ่ำถึงใจ! สวนลุงจ่า-แม่จงกล พร้อมให้ลิ้มลองและสั่งจอง

'เด็จพี่'ชูคอ! เชียร์'กกต.-ดีเอสไอ-ปปง.' เช็กบิลต้นตอ ฮั้วเลือก สว.

ยิปซีพยากรณ์'ดวงรายวัน'ประจำวันเสาร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2568

งานชุมนุมสายมูคึกคักจัดกลางสวนสาธารณะคุกเก่าลุ้นเลขธูปผู้ว่าฯหลังเคยเข้ามา2งวดซ้อน

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved