ถ้าอยากให้ขัดแย้งคลี่คลาย!‘ณัฐวุฒิ’แนะ‘กมธ.ศึกษาฯนิรโทษกรรม-สภาฯ’เหมาเข่งปล่อยผี ‘ทุกกลุ่ม-ทุกฝ่าย-ทุกคดี-ทุกข้อกล่าวหา’ ยกเว้นคดีโกง-พวกโทษหนักถึงประหาร ขยายพื้นที่ครอบคลุมความผิด ‘มาตรา112’ อ้างเป็นเงื่อนไขที่ไม่เคยเกิดขึ้นในห้วง 20 ปีที่ผ่านมา-คนหนุ่มสาวต้องเติบโต ชี้ต้องหาจุดร่วมให้ตรงกัน ยึดประเทศเดินหน้า รับเคส ‘ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์’ ละเอียดอ่อน-เป็นเรื่องกฎหมาย-ข้อกล่าวหาบริหารบ้านเมือง ขอไม่ยุ่ง โยนฝ่ายเกี่ยวข้องพิจารณา
เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 14 มีนาคม 2567 ที่รัฐสภา นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตเลขาธิการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือคนเสื้อแดง ให้สัมภาษณ์ก่อนการเข้าร่วมประชุมคณะกรรมาธิการ(กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร มีความคาดหวังต่อจากนี้อย่างไร ว่า เรื่องนี้ตนได้แสดงความเห็นไปหลายครั้งแล้ว เพียงแต่วันนี้ที่มาร่วมในเวทีนี้ เพราะนายนิกร จำนง ประธานคณะอนุกรรมมาธิการพิจารณาข้อมูลและสถิติคดีความผิด อันเนื่องมาจากแรงจูงใจทางการเมือง ได้ประสานไปว่า มีความจำเป็นที่จะต้องได้รับข้อมูล และความคิดเห็นจากกลุ่มมวลชนที่เคยเคลื่อนไหวในสถานการณ์ต่อสู้ที่ผ่านมา ซึ่งคนเสื้อแดงก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น ตนก็ตอบรับ และได้รับทราบอีกครั้งว่า กมธ.ชุดใหญ่ ประสงค์ที่จะให้เรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมวงใหญ่ในคราวเดียวกัน จึงตอบรับเข้าร่วม และเป็นครั้งแรกที่ตนได้มาอาคารรัฐสภา ในการประชุมอย่างเป็นทางการ
นายณัฐวุฒิ กล่าวถึงหลักคิดและจุดยืนต่อประเด็นนิรโทษกรรมที่ยังเหมือนเดิมว่า ความเคลื่อนไหวอันเกิดขึ้นจากกลุ่มมวลชนต่างๆ ตั้งแต่ก่อนรัฐประหารปี 2549 จนถึงปัจจุบัน ตนเชื่อและยอมรับว่า ทางคนเสื้อแดงและกลุ่มมวลชน แม้จะเห็นต่าง แต่ล้วนมีแรงจูงใจทางการเมือง ตามหลักการ เหตุผล หรือข้อเท็จจริงจากที่ตัวเองสัมผัส และยอมรับ ดังนั้น หากคณะกรรมาธิการฯ ชุดนี้ หรือสภาฯ ชุดนี้ ประสงค์ที่จะทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมาคลี่คลายลง และหาข้อยุติร่วมกัน ที่จะตั้งต้นกันใหม่ เดินหน้านำพาบ้านเมืองไปในทิศทางที่ทุกฝ่ายที่แม้จะเห็นต่าง แต่อยู่ร่วมกันได้ ตนคิดว่า การนิรโทษกรรมควรหมายรวมถึงทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย ทุกคดีความ ทุกข้อกล่าวหา ในที่นี้ ตนก็เสนอให้มีการยกเว้นข้อกล่าวหาที่เกี่ยวกับการทุจริตคอรัปชั่น และคดีความที่ถึงแก่ชีวิต ซึ่งตนได้แสดงจุดยืนนี้มาตลอด
“ก็พูดกันให้ชัดไปเลยว่าประเด็นที่ยังมีความเห็นต่างอยู่ในคณะกรรมาธิการฯ คือข้อกล่าวหาอันเกี่ยวกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ส่วนตัวผมเห็นว่า เงื่อนไขทางการเมืองในปัจจุบันของประเทศเป็นเงื่อนไขที่ไม่เคยเกิดขึ้น อย่างน้อยที่สุดก็ในช่วง 20 ปีที่สู้กันมา ดังนั้น หากอยากคลี่คลายความขัดแย้ง ก็ควรจะขยายพื้นที่ของการนิรโทษกรรมให้ครอบคลุมถึงความผิด หรือข้อกล่าวหาในมาตราดังกล่าวด้วย” นายณัฐวุฒิ กล่าว
นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า ตนไม่ได้หมายความว่า ตนจะสนับสนุนให้ใครทำอะไรก็ได้ โดยที่ไม่ต้องรับผิดทางกฎหมาย แต่ประเด็นของตนคือ กลุ่มบุคคลจำนวนมากที่ต้องคดีความดังกล่าวอยู่นั้น เป็นเยาวชน คนหนุ่มสาว ซึ่งแน่นอนว่า พวกเขาและเธอเหล่านั้น ต่างต้องเติบโตเป็นอนาคตของประเทศ
อย่างไรก็ตาม หากต้องมีการนิรโทษกรรมคดีความที่มีแรงจูงใจทางการเมืองอื่นๆ และยังคงงดเว้นข้อกล่าวหาในมาตราดังกล่าวไว้เพียงลำพัง ก็จะกลายเป็นว่า สังคมนี้กำลังมีคู่ขัดแย้งคนเดียวคือ คนหนุ่มสาว และผู้ต้องหาในคดีมาตรา 112 ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ตนเห็นว่า จะไม่ส่งผลดี ต่อบุคคล องค์กร หรือสถาบันใดเลย ที่ตนตั้งใจมาวันนี้ เพื่อที่จะนำข้อเสนอนี้ ส่งต่อไปยังคณะกรรมมาธิการฯ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง เพื่อที่จะได้นำไปพิจารณาและหาข้อสรุปร่วมกันต่อไป
นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า ในสังคมไทยที่เราสู้กันมา มันถึงเวลาที่จะให้ทุกฝ่ายตั้งหลัก และยุติ เพื่อเริ่มต้นกันใหม่ได้แล้ว แน่นอนว่า การนิรโทษกรรมคงไม่ได้ทำให้ความขัดแย้งหายไปทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ทุกฝ่ายต้องเปิดใจให้กันจริงๆ มันถึงจะบรรเทาเบาบางลงได้บ้าง การที่สังคมเราจะจากความขัดแย้ง ไม่ได้อยู่ที่คุณยอมรับผม หรือผมยอมรับคุณ แต่ต้องอยู่ที่เราต่างยอมรับกันและกัน
“เราต้องยอมรับว่า ในสังคมที่เรามีอายุต่างกัน เราเชื่อไม่เหมือนกัน เราสนับสนุนแนวทางทางการเมืองที่ไม่ตรงกัน แต่เราไม่ใช่ศัตรู ไม่ใช่คนมุ่งร้าย ทำลายบ้านเมือง ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นอาชญากร หรือเป็นผู้ร้ายชนิดที่อยู่ร่วมกันในสังคมไม่ได้ ผมปรารถนาที่จะเห็นสิ่งนั้น และไม่อยากให้ใคร หรือใช้วิธีคิดแบบไหนไปบอกว่า คนหนุ่มคนสาวอีกเป็นจำนวนมากกว่าพันคนเป็นอาชญากร หรือเป็นคนที่สังคมไม่สามารถให้โอกาสได้” นายณัฐวุฒิ กล่าว
นายณัฐวุฒิ กล่าวด้วยว่า อดีตที่ผ่านมาสังคมไทยเราเห็นมาหลายเหตุการณ์แล้วว่า บุคคลที่เคยมีความคิดเห็นไม่ว่าจะเหมือนหรือต่างกับรัฐในทางการเมือง เขาเหล่านั้น ก็เติบโตมาเป็นบุคลากรคุณภาพของประเทศและสังคม และมีการขับเคลื่อนเรื่องต่างๆ ของสังคมไทยอยู่ในปัจจุบัน ตนคิดว่าถ้าจะจับมือกันทุกฝ่าย เราต้องไม่ยอมปล่อยมือใครเลย จับมือเด็กไปด้วย จับมือคนหนุ่มคนสาวในยุคปัจจุบันไปด้วย แม้ว่าบางเรื่องราวที่เกิดขึ้น ตนก็พูดคำว่าเห็นด้วยไม่ได้เหมือนกัน แต่สังคมนี้จะมีที่อยู่กับทุกคน ก็ต่อเมื่อสังคมเปิดหัวใจให้กว้างพอ
เมื่อถามว่า หากจะผลักดันการนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 อาจกระทบต่อฝ่ายที่ไม่สบายใจในเรื่องดังกล่าว จนทำให้การนิรโทษกรรมไม่สำเร็จเหมือนในอดีตหรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ขอความกรุณาอย่าให้เกิดความคิดเช่นนั้นเลย นี่เป็นขั้นตอนของการปรึกษาหารือกัน ขึ้นชื่อว่าการหารือเรื่องความขัดแย้ง คนคิดไม่เหมือนกันอยู่แล้ว เอาว่าตั้งเสาเข็มความคิดให้ตรงกันซะก่อนว่า จะต้องช่วยกันทำให้เรื่องนี้เดินหน้าไปให้ได้ เพราะความคิดแบบตนก็เป็นความคิดเห็นหนึ่ง อาจจะมีความคิดเห็นอื่นๆ และจบที่ข้อสรุปร่วมกันว่า ต้องมีเงื่อนไข มีหลักเกณฑ์ มีกระบวนการ ในการพิจารณาในแต่ละเรื่อง เพื่อให้บรรลุตามสิ่งที่เราเสนอกันไป ก็อาจเป็นไปได้ สิ่งที่ตนเสนอไม่ได้คาดคั้นว่า ทุกอย่างต้องเป็นไปตามนี้ ตนยืนยันว่า เป็นเพียงความคิดเห็นหนึ่ง และจะนำข้อเสนอนี้ไปจนสุดทางเช่นเดียวกัน
เมื่อถามว่าส่วนที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า คดีความของนายทักษิณ และน.ส.ยิงลักษณ์ ชินวัตร 2อดีตนายกรัฐมนตรี อาจเข้าข่ายคดีทางการเมือง เนื่องจากกระบวนการยุติธรรมที่บกพร่อง ภายหลังการรัฐประหาร นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เนื่องจากเป็นเรื่องข้อกฎหมาย และมีข้อกล่าวหาจากการบริหารราชการแผ่นดิน ถ้าตนจะบอกว่า เรื่องนี้เกี่ยวกับการเมืองแน่ๆ ก็กลายเป็นว่า ตนพยามที่จะตีไพ่ให้กัน ถ้าตนจะบอกว่า อย่างไรก็ไม่ใช่การเมือง ก็กลายเป็นว่า ตนจะมาสกัดขัดขวางใดๆ กันอีก
“ผมคิดว่าให้เป็นเรื่องของฝ่ายที่เกี่ยวข้องเขาพิจารณากัน ส่วนผมเสนอในเรื่องกลุ่มก้อนเคลื่อนไหวทางการเมือง ตั้งแต่ปี 48 จนถึงปัจจุบัน ส่วนประเด็นอื่นๆ ก็คิดว่าต้องให้ฝ่ายที่เขาทำงานกันอยู่ เป็นคนพิจารณา” นายณัฐวุฒิ กล่าว
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี