"ก้าวไกล"ขอตัด 3 หมื่นล้านในงบฯรวมปี67 ซัดรัฐบาลไร้ประสิทธิภาพเร่งรัดเบิกจ่าย เป็นงง"นายกฯ"เพิ่งให้ปรับลดงบไม่จำเป็นในงบฯปี68 ทั้งที่มอบนโยบายไปก่อนแล้ว ด้าน"รมช.คลัง"ยันเดินหน้าต่อ"ดิจิทัลวอลเล็ต" หวังระยะยาวทำงบฯสมดุลในเวลาที่เหมาะสม
เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท วาระ 2 - 3 เรียงตามรายมาตรา โดยในมาตรา 4 งบรวม โดย น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะ กมธ.งบฯ ปี 67 ขอสงวนความเห็น และอภิปรายว่า ตนขอปรับลดงบฯ 3 หมื่นล้านบาท เพราะงบประมาณเบิกจ่ายล่าช้า เนื่องจากงบฯ ปี 67 มีการอนุมัติงบไปพลางก่อนไปแล้วโดย ผอ.สำนักงบประมาณ มูลค่า 1.8 ล้านล้านบาท ส่วนที่เหลือที่สภาฯ สามารถพิจารณาได้จริงๆ โดยที่ไม่ต้องไปโอนเปลี่ยนแปลงคืน ไม่ต้องถูกสำนักงบฯ ทักท้วงในห้องประชุม มีมูลค่าไม่ถึงครึ่งหนึ่งคือ 1.68 ล้านล้านบาท
"ดังนั้น ถ้ามีใครบอกว่างบประมาณไม่ออก 2 ไตรมาสแรก ไม่ได้เป็นปัญหาจากที่สภาฯ เนื่องจากสำนักงบฯ ได้มีการอนุมติงบไปพลางก่อนแล้ว แต่ที่เบิกจ่ายล่าช้าเป็นเพราะรัฐบาลขาดประสิทธิภาพในการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ เพราะงบใช้ไปพลาง สำหรับงบประจำเบิกจ่ายไปแล้ว ณ วันที่ 15 มี.ค.เบิกได้แค่ 79 เปอร์เซนต์ แต่ที่กังวลคือรายจ่ายลงทุน มีการอนุมัติไปแค่ 155,000 ล้านบาท ซึ่งปกติเราอนุมัติรายจ่ายลงทุนทั้งปี ประมาณ 6 แสนล้านบาท แต่ปรากฎว่าเบิกจ่ายไปได้เพียง 55 เปอร์เซนต์ ใน 6 เดือน ดังนั้น ดิฉันคิดว่าถ้ารัฐบาลขาดประสิทธิภาพในการเบิกจ่ายงบฯ ขนาดนี้ ก็สมควรถูกตัดงบลง" น.ส.ศิริกัญญา ระบุ
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า ประมาณการรายได้อาจผิดพลาด รัฐบาลได้ออกนโยบายที่จะกระทบการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลหลายส่วน เช่น จะไม่เก็บภาษีการขายหุ้น ทำนโยบายลดหย่อนกองทุน ESG ลดการนำส่งรายได้ของ กฟผ.ตอนนี้ลดไปแล้ว 8 พันล้านบาท แต่ไม่รู้ว่านำส่งจริงจำนวนเท่าไหร่ ลดภาษีสรรพสามิตสำหรับลดค่าใช้จ่ายราคาน้ำมันให้กับประชาชน ทั้ง 12 เดือน น่าจะใช้ไป 6 หมื่นล้านบาท 4 เดือนแรกก็ต่ำกว่าประมาณการ 2 หมื่นกว่าล้านบาท และยังมีรายได้ที่อาจจะจัดเก็บน้อยลงเนื่องจากเศรษฐกิจโตช้ากว่าตอนทำงบกระมาณ ดังนั้น คำนวณแล้ว มีความเสี่ยงที่จะประมาณการรายได้ประมาณ 110,000 ล้านบาท และจัดเก็บงบประมาณได้จริงไม่ถึง 2.787 ล้านล้านบาท ตามที่ประมาณการไว้
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวอีกว่า ปัญหาที่ตามมาคือ หากรายได้พลาดเป้า รัฐบาลต้องกู้เงินเพิ่มเพื่อชดเชยการขาดดุล 693,000 ล้านบาท เสี่ยงต่อการชนเพดานเงินกู้ซึ่งอยู่ที่ 790,656 ล้านบาท อีกเพียง 97,656 ล้านบาท จะชนเพดาน หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นจะทำอย่างไร แน่นอนว่าใครของบก่อนได้ก่อน จึงเห็นว่าควรต้องมาจัดสรรลำดับความสำคัญกันใหม่ ด้วยการปรับลดงบประมาณลงเล็กน้อย เพื่อให้สถานะทางการคลังของประเทศไม่สะดุดหยุดลงหรือมีปัญหา และใน กมธ.ฯ นายกรัฐมนตรี ได้เสนอตัดงบประมาณที่ไม่จำเป็นสำหรับปี 68 ได้แก่ งบประชาสัมพันธ์ ฝึกอบรมและดูงาน ค่าใช้จ่ายเดินทางต่างประเทศ ค่าใช้จ่ายในการเช่ายานพาหนะ ลดการบรรจุอัตรากำลังใหม่ แต่ตอนนี้งบประมาณปี 68 หน่วยรับงบประมาณได้ส่งคำขอไปตั้งแต่วันที่ 2 ก.พ.67
"ดิฉันยังงงอยู่ว่าทำไมนายกฯ เพิ่งทราบจาก กมธ.ว่าเราจำเป็นที่จะต้องลดงบที่ไม่จำเป็นเหล่านี้ แล้วมาสั่งวันที่ 3 มี.ค.67 ออกหนังสือวันที่ 6 มี.ค.67 ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่เราไม่มีนโยบายแบบนี้ตั้งแต่การมอบนโยบายงบ 68 ตั้งแต่วันที่ 12 ม.ค.67 แต่เราจะติดตามอย่างใกล้ชิดสำหรับงบปี 68 ซึ่งจะเผยโฉมหน้าให้ประชาชนทราบ ที่จะเข้า ครม.ในสัปดาห์หน้า" น.ส.ศิริกัญญา กล่าว
ด้าน นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะรองประธาน กมธ.งบฯปี 67 ชี้แจงว่า ข้อเท็จจริงงบประมาณไปพลางก่อนไม่ใช่อำนาจของสำนักงบฯ ฝ่ายเดียว แต่มีเรื่องของกลไกลตามข้อกฎหมายและรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีการอนุมติเห็นชอบผ่านนายกฯ รวมกับสำนักงบฯ และเนื่องจากเวลาในการทำงบฯประจำปีไม่ทันจึงมีความจำเป็นต้องใช้ แต่ในการใช้งบไปพลางก่อนจะมาตั้งโครงการใหม่ ซึ่งไม่ได้รับการบรรจุในงบประมาณปีก่อนหน้าทำไม่ได้ งบประมาณไปพลางก่อนข้อดีคือผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาในปีก่อนหน้ามาเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น จึงเป็นโครงการที่ได้รับความเห็นชอบจากตัวแทนประชาชนในระดับหนึ่ง ซึ่งนายกฯ และ ผอ.สำนักงบฯ สามารถกำหนดได้เฉพาะหลักเกณฑ์เงื่อนไขเท่านั้น เช่น งบประจำ เงินเดือนข้าราชการ เป็นต้น
นายจุลพันธ์ กล่วว่า รัฐบาลนี้เข้ามาเราได้มีการอนุมัติแผนการคลังปี 68 - 71 โดยให้ความสำคัญของการลดขนาดการขาดดุลงบประมาณลง เพื่อให้สอดคบ้องกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยกำหนดวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณปี 68 จำนวน 7.13 แสนล้านบาท ลดลงปีละประมาณ 1 หมื่นล้านบาท เฉลี่ยปีละ 0.2 เปอร์เซนต์ของจีดีพี หากระยะต่อไปเราสามาถทำการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้มีการขยายตัวได้เต็มศักยภาพ อย่างที่วางเป้าไว้ที่ 5 เปอร์เซนต์ ภาครัฐก็สามารถเสริมสร้างความเข้มแข็งในเรื่องของการคลังได้ทั้งด้านรายได้และหนี้สาธารณะ ก็สามารถบริหารได้เหมาะสมเพื่อที่จะเดินไปสู่เป้าหมายการคลังในระยะยาวได้ และสามารถเดินหน้าทำงบประมาณสมดุลได้ในเวลาที่เหมาะสม
"ยืนยันว่า โครงการของรัฐบาลทุกโครงการ ไม่ว่าจะเป็นดิจิทัลวอลเล็ต หรือโครงการใดก็ตามยังจะเดินหน้า แต่ด้วยกรอบการพิจารณาของชั้นคณะกรรมการผู้ดำเนินการนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต เรายังยืนยันว่าอาจจะต้องมีความจำเป็นจะต้องกู้ผ่าน พ.ร.บ. แต่หากจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ก็คงจะมาผ่านการพิจารณาการให้ความเห็นของจากสมาชิกอีกครั้ง ยืนยันว่าเราจะเดินหน้าแน่นอน" รมช.คลัง กล่าว
จากนั้นที่ประชุมลงมติเห็นด้วยไม่มีการแก้ไขตามเสียงข้างมากของ กมธ.
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี