‘ปกรณ์วุฒิ’ ขอตัดงบ‘ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม’ ทั้งโครงการ 69 ล้านบาท เหตุไร้ประสิทธิภาพ-ไร้ความเป็นกลาง พบหลายกรณีตรวจสอบแล้วเป็นข่าวจริง แต่ไม่เผยแพร่เพราะ ‘ไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาล’ชี้เปลี่ยนรัฐบาลแล้วแต่ศูนย์ฯ ยังถูกใช้เป็นแค่เครื่องมือในการผูกขาด-ปกปิดความจริง
21 มีนาคม 2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท ในวาระที่สอง เรียงตามรายมาตรา จำนวน 41 มาตรา ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 พิจารณาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เป็นวันที่ 2
นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้อภิปรายขอสงวนคำแปรญัตติในมาตรา 16 งบประมาณกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในส่วนของโครงการศูนย์ประสานงานและแก้ไขปัญหาข่าวปลอม หรือ “ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม” โดยขอตัดงบประมาณทั้งโครงการจำนวน 69.57 ล้านบาท จากผลการดำเนินงานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมในเดือนกันยายน 2566 ที่เผยแพร่อยู่บนเว็บไซต์ของศูนย์ฯ ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมคนใหม่เข้ามาดำรงตำแหน่งเรียบร้อยแล้ว ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้รับข้อมูลสำหรับการตรวจสอบทั้งหมด 5.47 ล้านข้อความ โดยส่วนใหญ่ได้มาจากการใช้เครื่องมือกวาดข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต และมีบางส่วนได้มาจากการรับเรื่องร้องเรียนของประชาชนผ่านช่องทางต่าง ๆ ของศูนย์ฯ เช่น เฟซบุ๊กและไลน์
นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า จาก 5.47 ล้านข้อความ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้คัดกรองจนเหลือจำนวนเรื่องที่เข้าเกณฑ์การตรวจสอบทั้งสิ้น 539 เรื่อง จากนั้นจึงส่งเรื่องไปยังหน่วยงานราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งสุดท้ายได้รับการตรวจสอบกลับมา 356 เรื่อง แต่สามารถ “เผยแพร่ได้” เพียง 235 เรื่องเท่านั้น โดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมแบ่งข้อมูลที่ตรวจสอบได้แต่ไม่ได้เผยแพร่ออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.หน่วยงานไม่สามารถชี้แจงได้ 2. หน่วยงานปฏิเสธการตอบกลับ และ 3.หน่วยงานไม่ประสงค์เผยแพร่
นายปกรณ์วุฒิอภิปรายต่อไปว่า ตนสงสัยมาตลอด 4 ปีว่าทำไมศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมถึงเลือกที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงจากหน่วยงานราชการเท่านั้น ทั้งที่บางเรื่องก็เป็นข้อมูลที่หาได้ทั่วไป แต่ก็สิ้นสงสัยหลังจากได้ดูเนื้อหากลุ่มที่ 3 คือข่าวที่หน่วยงานไม่ประสงค์เผยแพร่ตามหลักสากล หลักการที่สำคัญที่สุดขององค์กรตรวจสอบข้อเท็จจริงก็คือความเป็นกลางและความเป็นอิสระ ซึ่งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมก็ย้ำมาตลอดว่าตัวเองตรวจสอบอย่างเป็นกลางและเป็นอิสระ แต่เมื่อลองมาดูตัวอย่างข่าวที่หน่วยงานไม่ประสงค์เผยแพร่สักสองตัวอย่าง ก็จะเห็นว่าศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมไม่ได้มีความเป็นอิสระจริง แต่เป็นเพียงเครื่องมือของรัฐบาลเท่านั้น
นายปกรณ์วุฒิ กล่าวต่อว่า ตัวอย่างแรก จากข่าวที่ปรากฏออกมาว่า ครม.อนุมัติแผนบริหารหนี้สาธารณะปี 2567 ก่อหนี้ใหม่ 1.94 แสนล้านบาทจริงหรือไม่ เมื่อศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมตรวจสอบไปที่กรมประชาสัมพันธ์กลับได้รับคำชี้แจงว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นข่าวจริง แต่ไม่ประสงค์เผยแพร่เพราะไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาล ตัวอย่างถัดไป จากข่าวที่ว่าทำเนียบรัฐบาลใช้งบประมาณในการจัดซื้อยางรถยนต์ 8 เส้น ราคา 3.4 ล้านบาท กรมประชาสัมพันธ์ก็บอกว่าข้อมูลดังกล่าวเป็น ข่าวจริง แต่ไม่ประสงค์เผยแพร่เพราะ ไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลอีกเช่นกัน
นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า สิ่งนี้ทำให้ตนหายสงสัย ว่าทำไมศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมถึงตรวจสอบข้อมูลจากหน่วยงานราชการเท่านั้น เพราะตลอดเวลาตั้งแต่ตั้งศูนย์แห่งนี้ขึ้นมา การส่งเรื่องไปให้หน่วยงานราชการไม่ใช่การขอให้ตรวจสอบ แต่มันคือการขออนุญาตว่าหน่วยงานราชการจะยอมให้เผยแพร่หรือไม่ หน่วยงานว่าอย่างไรศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมก็มีหน้าที่แค่ทำไปตามนั้น
“นี่คือหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดว่าตลอด 4 ปี 5 เดือนตั้งแต่ก่อตั้งมา ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมไม่เคยมีความเป็นกลาง ไม่เคยมีความเป็นอิสระ เป็นแค่เครื่องมือของรัฐในการผูกขาดความจริงแบบที่รัฐอยากให้ประชาชนรู้ และปกปิดความจริงที่รัฐไม่อยากให้ประชาชนเห็นเท่านั้น และผมยืนยันว่าโครงการแบบนี้ไม่ควรได้รับงบประมาณจากภาษีประชาชนแม้แต่บาทเดียว” นายปกรณ์วุฒิ กล่าว
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี