‘เศรษฐา’ฮึด1-2สัปดาห์ถกบอร์ดดิจิทัล
ลุ้นอีกยกแจก1หมื่น
‘พท.’เขย่าทุกพรรคร่วมรัฐบาล
ปรับครม.ดึงคนเก่งลุยทำงาน
‘สว.เสรี’ยันมี27สว.ซักฟอกรบ.
รับอาจไม่ดุเดือดเพราะไร้ลงมติ
นายกฯเศรษฐา เผยภายใน 2 สัปดาห์ เรียกประชุมดิจิทัล วอลเล็ต ชุดใหญ่ เดินหน้าแจก1 หมื่น ก่อนบินติดตามบริหารจัดการน้ำบางระกำ จ.พิษณุโลก ด้าน “วรชัย เหมะ”ขุนศึกเพื่อไทย ชู “เศรษฐา-ภูมิธรรม” 8 เดือนผลงานโดดเด่น อัดรัฐมนตรีต่างตอบแทนไร้ผลงาน จี้นายกฯปรับ ครม.ดึงคนเก่งทำงาน ด้าน พปชร. จี้นายกฯ แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนโดยด่วน หลังยอดหนี้ NPL-SM พุ่งสูงต่อเนื่อง รถบ้านถูกยึดระนาว
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 23 มีนาคม 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลังเปิดเผยถึงการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม สน.ลุมพินี ว่าพอดีตนไปตัดผมที่โปโลคลับและเห็นว่ามีเวลาเหลือนิดหน่อยจึงแวะเข้าไปให้กำลังใจผู้กำกับ สน.ลุมพินี
เพราะเป็นพื้นที่ใหญ่ ที่ดูแลทั้งสถานทูตและสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ มีโรงแรมใหญ่ๆหลายแห่งรวมถึงชุมชนแออัดด้วย พร้อมทั้งไปสอบถามว่ามีความต้องการอะไรหรือไม่รวมถึงได้กำชับในเรื่องหนี้นอกระบบ โดย2สัปดาห์ ให้จัดมีตลาดหนี้นอกระบบซึ่งในพื้นที่ กทม.ไม่ค่อยทำกันเท่าไหร่ เรื่องหนี้ใน กทม. นั้นมีความสำคัญ และได้กำชับให้นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และผู้กำกับลงพื้นที่บ่อยขึ้น ไม่ใช่ลงไปแค่พื้นที่ท่องเที่ยวหรือโรงแรมเท่านั้น แต่ให้ลงไปในพื้นที่ชุมชนแออัดด้วย เพื่อดูแลประชาชนให้ดีมากขึ้นด้วย
สั่งนำร่องจัดตลาดแก้หนี้นอกระบบ
ผู้สื่อข่าวถามว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการสะท้อนปัญหาอย่างไรบ้าง นายเศรษฐา กล่าวว่า ยังไม่มีเวลาพูดคุยกัน เพราะวันนี้ไปโดยไม่ได้บอกใคร ซึ่งตนก็ได้เดินไปดูแฟลตหลัง สน. ด้วย งบประมาณไม่พอแต่จะทยอยจัดทำงบซึ่งอยู่ในแผนอยู่แล้ว รวมถึงเมื่อวานก็ได้พูดคุยกับรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ระหว่างประชุมสถาไปแล้วด้วย
นอกจากนี้ นายเศรษฐากล่าวด้วยว่าในพื้นที่ ตจว.ได้มีการจัดกิจกรรมตลาดนัดหนี้นอกระบบแต่กทม.ไม่ค่อยทำ ขณะนี้เป็นจังหวะที่ดี ตนให้เวลา 2 สัปดาห์ ในการดำเนินการ โดยให้ สน.ลุมพินี เป็นพื้นที่นำร่องซึ่งรักษาการ ผบ.ตร.จะไปคุยต่อในเรื่องนี้ ตนในฐานะที่เป็น รมว.คลังก็จะให้ธนาคารของรัฐเข้าไปช่วยด้วย
เรียกถกดิจิทัลชุดใหญ่2สัปดาห์
ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯและรมว.คลัง กล่าวถึงเรื่องโครงการดิจิทัลวอลเล็ต10,000บาทจะเห็นอะไรที่เป็นรูปเป็นร่างหรือไม่โดยนายกฯกล่าวว่าเป็นไปตามที่เคยบอกก่อนหน้านี้ว่า จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน10,000บาทผ่านระบบดิจิทัลวอลเล็ต แต่ไม่แน่ใจว่า กำหนดวันว่าเป็นวันที่เท่าไหร่ซึ่งนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลังเป็นผู้กำหนดวันก็คาดว่าจะภายใน 1-2 สัปดาห์ตามที่บอกไป
จากนั้นนายกฯมีกำหนดการเดินทางลงพื้นที่ตรวจราชการที่ จังหวัดพิษณุโลกและจะหารือประเด็นการบริหารจัดการน้ำและพบปะประชาชน ณ ประตูระบายน้ำท่านางงาม ต.ท่านางงาม อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก
นายกฯบินดูจัดการน้ำบางระกำ
เวลา 13.30น.ที่ประตูระบายน้ำท่านางงาม อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯและ รมว.คลังได้หารือประเด็นการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ จ.พิษณุโลก โดยมี นายบุญเหลือ บารมี รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลกพร้อมผู้บริหารส่วนราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและประชาชนในพื้นที่ให้การต้อนรับ
ชูพิษณุโลกท่องเที่ยวเมืองหลัก
ภายหลังการรับฟังบรรยายสรุปจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นายกฯได้กล่าวพบปะกับประชาชนที่มาให้การต้อนรับว่า จ.พิษณุโลกเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของภาคเหนือตอนล่างแต่ยังประสบปัญหาเรื่องน้ำท่วมน้ำแล้ง รวมถึงปัญหาหนี้นอกระบบและปัญหายาเสพติดซึ่งเป็นปัญหาที่รัฐบาลให้ความสำคัญและได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาแล้ว ทั้งนี้ จ.พิษณุโลก อยู่ในแผนการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวของรัฐบาล ประจำปี2568 โดยรัฐบาลพร้อมสนับสนุน ยกระดับจากจังหวัดเมืองรอง ให้เป็นจังหวัดท่องเที่ยวเมืองหลักซึ่ง จ.พิษณุโลก มีความพร้อม มีสนามบิน มีวัฒนธรรมที่ดีงาม รวมถึงมีสถานที่ท่องเที่ยวที่งดงามหลายๆ สถานที่
รบ.เน้นแก้ไขปัญหาน้ำทั้งระบบ
นายกฯกล่าวว่าวันนี้ได้มาดูเรื่องการแก้ไขปัญหาน้ำทั้งระบบร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรู้สึกยินดีที่ได้รับทราบข้อมูล รับทราบความต้องการของประชาชนในพื้นที่และยืนยันรัฐบาลต้องการแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำเพื่อการเกษตร หากไม่มีน้ำทำการเกษตร ก็ไม่สามารถได้ผลผลิตที่ดี การลงพื้นที่วันนี้ ต้องการมารับฟังข้อมูลพร้อมศึกษาความเป็นไปได้ ตนเองเข้าใจปัญหา รับทราบถึงความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน โดยได้สั่งการให้ดำเนินการ ดังนี้ 1. ศึกษาความเป็นไปได้ ในพื้นที่แม่น้ำยมฝั่งขวา ให้อยู่ในเขตชลประทาน 2.เสริมคันป้องกันน้ำท่วม ป้องกันตลิ่งพัง และ3.โครงการขยายถนน 4 เลน จากบางระกำไปลานกระบือ ซึ่งอนุมัติงบแล้ว
ป้องกันภัยแล้ง-น้ำท่วมอย่างยั่งยืน
สำหรับโครงการศึกษาความเหมาะสมในพื้นที่แม่น้ำยมฝั่งขวา อ.บางบางระกำ กรมชลประทานจะพิจารณาดำเนินการศึกษาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการใช้น้ำเพื่อการเกษตรและการพัฒนาโครงสร้างด้านการชลประทานเพื่อขยายเขตเป็นพื้นที่ชลประทาน พร้อมกับการพัฒนาแหล่งน้ำตามแผนหลักขอกรมชลประทานควบคู่กันไป ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 665 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเพิ่มแหล่งกักเก็บน้ำไว้ใช้เพื่ออุปโภค-บริโภคและการเกษตร ป้องกันภัยแล้งและอุทกภัยอย่างยั่งยืน
แวะสภ.บางระกำไม่แจ้งล่วงหน้า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯและรมว.คลัง ยังโพสต์ข้อความผ่าน xโดยระบุว่า”มาถึงบางระกำแล้ว ผมขอแวะสถานีตำรวจภูธรบางระกำโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า เพื่อดูความเรียบร้อย และการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมถึงสอบถามปัญหายาเสพติดซึ่งในพื้นที่ยังสามารถควบคุมได้
นอกจากนี้ยังได้พูดคุยถึงเรื่องหนี้นอกระบบ มีลูกหนี้เข้ามาร้องเรียนจำนวน 176 ราย และมีเจ้าหนี้เข้ามาแจ้งลงทะเบียน 219 ราย ซึ่งผมถือว่ายังมีจำนวนที่น้อยมาก ขณะที่ตลาดนัดหนี้นอกระบบมีเพียงเดือนละครั้ง ผมจึงกำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก บูรณาการการทำงานอย่างจริงจังกับทางผู้กำกับการตำรวจภูธร เพื่อเร่งรัดตรวจสอบ และจัดการปัญหาหนี้นอกระบบอย่างเร่งด่วนครับ
“วรชัย”เขย่าปรับครม.
นายวรชัย เหมะ ที่ปรึกษาของรองนายกรัฐมนตรี จากพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า การทำงานของรัฐบาลกำลังจะเข้ามาสู่เดือนที่8 สิ่งที่ทำได้คือการประคองสถานการณ์ ไม่ให้ปัญหาปากท้องลุกลามไปมากกว่าที่เป็นอยู่ เหตุผลสำคัญเป็น เพราะงบประมาณปี’67ยังไม่ออกประกอบกับรัฐบาลชุดนี้ เป็นรัฐบาลผสม การทำงานยังไม่สามารถบูรณาการได้ทุกกระทรวง
“คนที่ทำให้ประชาชนชื่นชอบในการทำงานของรัฐบาล มองว่า มีเพียงนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯและรมว.คลัง ที่ดำเนินการทั้งการเจรจา ดึงนักลงทุน ดึงนักท่องเที่ยว ติดตามงานลงพื้นที่พบประชาชน เร่งรัดปราบยาเสพติด แก้ปัญหาความขัดแย้งในส่วนขององค์กรราชการ และที่มองเห็นผลงานอีกอย่างของรัฐบาลคือ สินค้าทางการเกษตรที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.พาณิชย์ไปเดินสายเจรจาขายสินค้าให้หลายประเทศ เห็นผลแล้วจากสินค้าการเกษตรราคาดีขึ้นเกือบทั้งหมด”ที่ปรึกษารองนายกฯระบุ
นายวรชัย ยังกล่าวอีกว่า แต่รัฐมนตรีหลายกระทรวง ทั้งจากพรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาล ที่ได้ตำแหน่งในลักษณะต่างตอบแทน จากการเลือกตั้ง หลายท่าน ไม่มีผลงานออกมาให้จับต้องได้ เวลาที่ผ่านมา ถือว่าเป็นการให้เกียรติคนเหล่านี้แล้ว
ดึงคนเก่งเข้ามาทำงาน
“ฉะนั้น ต่อไปนี้นายกฯ ควรจะปรับคณะรัฐมนตรี เอาคนมีความรู้ ความสามารถ มีความขยัน มาทำงานแก้ปัญหาของแต่ละกระทรวง เพื่อให้ได้ผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรม ยกระดับชีวิตของประชาชน อย่าปล่อยให้รัฐบาลทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม เพราะจะทำให้เกิดวิกฤตศรัทธาแก่ประชาชน” นายวรชัย ย้ำ
ปชป.ยันเกาะติดใช้งบฯ67
วันเดียวกัน นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 และการอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 ว่า ต่อจากนี้ ก็จะมีการติดตามการใช้จ่ายงบประมาณอย่างใกล้ชิด ซึ่งหลังจากนี้จะเป็นหน้าที่ของ สว.ที่จะมีการพิจารณา เพื่อผ่านเป็นกฎหมายงบประมาณ ต้องยอมรับว่ามีความล่าช้าไปมาก ปัญหาของพี่น้องประชาชนยังคงต้องรอ รัฐบาลต้องใส่ใจในปัญหาต่างๆให้มากกว่านี้ ขณะนี้บางเรื่องที่ไม่จำต้องรองบประมาณใหม่ แต่ปรากฏชัดว่ายังไม่ได้มีการขับเคลื่อนเช่นการพักหนี้เกษตรกรที่ยังมีประชาชนรออยู่ ปัญหาเรื่องการปราบปรามยาเสพติด ที่ออกมาพูดเสียงดัง แต่ก็ยังไม่มีการดำเนินการจัดการอย่างเป็นระบบ
“โครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต10,000บาทประชาชนรอ แต่รัฐบาลก็ยังไม่มีจุดหมายที่แน่นอน อีกหลายเรื่องรัฐบาลไม่จริงใจ ก็ยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดงบประมาณปี2567 ในส่วนของพรรคก็จะมีการติดตามการใช้งบประมาณ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและเกิดประโยชน์กับประชาชนและประเทศให้มากที่สุด”นายราเมศ ระบุ
‘เฉลิมชัย’สั่งปชป.พร้อมลุยซักฟอก
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงในการเปิดอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 ว่านายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ย้ำเสมอว่าพรรคทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเต็มที่ สส.ทุกคนพร้อมอภิปราย มีการเตรียมความพร้อมเตรียมประเด็นซักซ้อมมีข้อมูลที่น่าสนใจหลายประเด็น การอภิปรายจะยึดข้อบังคับการประชุมอย่างเคร่งครัด ในส่วนการประท้วงของฝ่ายรัฐบาล หากมีการประท้วงก็ขอให้ยึดข้อบังคับ อยากให้รับฟังกันด้วยเหตุด้วยผล เปิดใจรับฟังก็จะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมแต่ไม่กังวลหากมีการประท้วง
“ในประเด็นการอภิปราย เรื่องกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวข้องกับผู้มีพระคุณกับฝ่ายรัฐบาล เพราะประชาชนฟังอยู่ และขอย้ำว่า ในเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมต้องตอบคำถามให้ชัด เพราะเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง”นายราเมศ ย้ำ
27สว.อภิปรายรบ./อาจไม่ดุเดือด
ในส่วนของวุฒิสภาที่จะมีการเปิดอภิปรายทั่วไปรัฐบาลโดยไม่มีการลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 153 ในวันที่ 25 มีนาคมนี้ นายเสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) กล่าวถึงการเปิดอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา153 ของวุฒิสภาในวันที่ 25 มี.ค.ว่าจะมีผู้อภิปราย27คน ส่วนประเด็นที่จะอภิปราย จะยึดตามกรอบญัตติที่เคยยื่นไป เมื่อถามว่าการอภิปรายครั้งนี้จะดุเดือดหรือไม่นายเสรีตอบว่า คิดว่าไม่ดุเดือด เพราะเป็นการพูดคุยด้วยเหตุผล ไม่ได้ลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล แต่เป็นเรื่องการแก้ปัญหาการบริหารประเทศ
พปชร.จี้นายกฯแก้ปัญหาหนี้
วันเดียวกัน ทีมเศรษฐกิจพรรคพลังประชารัฐเปิดเผยผลการศึกษาปัญหาหนี้ครัวเรือนในประเทศไทย โดยระบุว่าสถานการณ์โควิด-19ได้ส่งผลให้หนี้ครัวเรือนขยับสูงขึ้นเกือบร้อยละ 91ของจีดีพี คิดเป็นมูลค่าถึง 16.2 ล้านล้านบาท(ณ ไตรมาสที่ 3/2566) สถานการณ์ดังกล่าวกำลังสั่นคลอนความมั่นคงในครอบครัวคนไทย เนื่องจากตกอยู่ในภาวะชักหน้าไม่ถึงหลัง ไม่มีเงินในการจับจ่ายใช้สอยเพียงพอ เพราะมีภาระหนี้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หากรัฐบาลไม่เร่งแก้ไขปัญหาโดยเร็ว สุดท้ายนอกจากจะกระทบกับเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศแล้ว ยังเป็นชนวนเหตุให้เกิดปัญหาทางสังคมตามมารอบด้าน
ทั้งนี้ จากการศึกษาภาวะหนี้ครัวเรือนไทย พบว่า สัดส่วนหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคสูงถึงกว่าร้อยละ 76 ประกอบด้วยหนี้เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ หนี้สินส่วนบุคคลที่ไม่อยู่ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หนี้เช่าซื้อรถยนต์และจักรยานยนต์ หนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้กำกับของ ธปท. หนี้เพื่อการศึกษา ส่วนหนี้เพื่อการลงทุนประกอบอาชีพและอื่นๆคิดเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 24
ขณะที่ สถิติของบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ(เครดิตบูโร)ในปี 2566 มีหนี้เสียในระบบถึง 1.05 ล้านล้านบาท สูงกว่าปีก่อนหน้าร้อยละ 6.6 โดยหนี้เสียเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ คือกลุ่มหนี้สินเชื่อยานยนต์ บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล นอกจากนี้ ในกลุ่มหนี้ที่จับตาเป็นพิเศษ (SM) หรือหนี้ที่กำลังจะกลายเป็น NPL สูงถึง 6.1 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 17.8 และจากรายงานของกรมบังคับคดี ประเมินว่าจะมีลูกหนี้ถูกพิพากษาให้ชำระหนี้และถูกบังคับคดีราว 1.05 ล้านคดี ทุนทรัพย์รวมกว่า 15 ล้านล้านบาทภายในระยะ 10 ปีข้างหน้า
เมื่อพิจารณาด้านรายได้ พบว่าภายหลังวิกฤตโควิด -19 ยุติลง ได้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในคนไทยมากขึ้น โดยมีคนมากถึงร้อยละ 50 ที่ไม่สามารถสร้างรายได้กลับมาในระดับเดิมก่อนโควิด ในทางกลับกันมีคนเพียงร้อยละ 10 ที่สามารถสร้างรายได้สูงกว่าระดับเดิมก่อนช่วงโควิด
ผลการศึกษายังชี้ว่าผู้มีรายได้น้อย คือคนที่มีความเสี่ยงในการถูกฟ้องร้อง เข้าสู่กระบวนการยึดทรัพย์และล้มละลายมากที่สุด เนื่องจากกลุ่มรายได้น้อยมีภาระรายจ่ายและภาระหนี้สูงกว่ารายได้ในสัดส่วนสูงที่สุด โดยกลุ่มรายได้ต่ำกว่า1.5 หมื่นบาทต่อเดือน จะมีรายจ่ายบวกภาระคืนหนี้คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ138.2 ของรายได้ กลุ่มรายได้ 1.5–3 หมื่นบาทต่อเดือนคิดเป็นร้อยละ109.4กลุ่มรายได้ 3- 5หมื่นบาทต่อเดือนคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 104.7
แนะยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ
ดร.อุตตม สาวนายน ประธานกรรมการนโยบายพรรคพลังประชารัฐกล่าวว่าจากรายงานของIMFชี้ว่าสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทย อยู่ในระดับเดียวกับประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ฮ่องกง เนเธอร์แลนด์ สวีเดน แต่ขีดความสามารถทางการแข่งขันและโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ไม่ได้อยู่ระดับเดียวกับประเทศเหล่านั้นดังนั้น ไทยจึงมีความเสี่ยงที่หนี้ครัวเรือนจะก่อปัญหาทางเศรษฐกิจสูงซึ่งต้องได้รับการแก้ไขโดยเร่งด่วนด้วยการยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ
เสนอรบ.จับมือธปท.ลุยแก้4แนวทาง
โดยรัฐบาลต้องจับมือกับธนาคารแห่งประเทศไทย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลอดจนสถาบันการเงินเอกชนมาร่วมกันแก้ไขส่วนมาตรการที่กำหนดขึ้นควรขับเคลื่อนภายใต้ 4 แนวคิด เพื่อให้การแก้ไขปัญหาประสบความสำเร็จ ประกอบด้วย 1.ครอบคลุม เข้าถึงประชาชนในทุกพื้นที่ทุกอาชีพด้วยความเป็นธรรมเสมอภาค 2. ครบวงจร เชื่อมโยงการแก้หนี้เดิม เติมทุนใหม่ พร้อมกับเติมทักษะเพื่อสร้างอาชีพ 3. ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี โดยให้ความสำคัญกับการใช้ AI Data สร้างฐานข้อมูลการจัดการปัญหาหนี้อย่างเป็นระบบ เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาคนและชุมชนให้มีความเข้มแข็งต่อการรับมือวิกฤติเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต 4. ขับเคลื่อนขบวนการต่อเนื่อง โดยกำหนดมูลค่าหนี้และกลุ่มเป้าหมายชัดเจน พร้อมทั้งประเมินผลสัมฤทธิ์ และติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด พร้อมจัดงบประมาณที่เพียงพอ
“ทีมเศรษฐกิจพรรคพลังประชารัฐ เสนอว่าภาครัฐควรการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนโดยเร่งด่วน เพื่อไม่ให้หนี้ครัวเรือนเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยการแก้ไขจะสำเร็จได้จะต้องทำพร้อมกัน2ด้านคือทั้งการลดหนี้และสร้างรายได้หรือเม็ดเงินเข้ากระเป๋าประชาชนเพิ่มด้วยจึงจะเป็นการแก้ไขอย่างเบ็ดเสร็จ”ดร.อุตตมย้ำ
ปรับโครงสร้างหนี้แบบตัดยอดหนี้
ด้านนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ประธานกรรมการวิชาการกล่าวว่าจากการศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน ภาครัฐควรใช้กลไกลบรรษัทบริหารสินทรัพย์ที่มีอยู่จัดตั้งเป็นรูปแบบกองทุนแก้หนี้ภาคครัวเรือน ส่วนเม็ดเงินที่นำมาใช้ สามารถออกมาตรการกระตุ้นให้ธนาคารพาณิชย์เข้าร่วมช่วยเหลือลูกหนี้โดยวิธีที่ทำได้คือ กระทรวงการคลัง ต้องทำงานร่วมกับธปท.กำหนดนโยบายลดการส่งเงินเข้ากองทุนฟื้นฟู(FIDF)ครึ่งหนึ่งให้กับธนาคารเหลือ0.23%ต่อ 6เดือน เป็นการชั่วคราว 5ปีและให้นำเม็ดเงินส่วนที่ลดลงนั้นมาตั้งกองทุนดังกล่าว และธนาคารจะต้องนำเอากำไรสะสมของตนเองเข้าร่วมโครงการด้วยไม่น้อยกว่าร้อยละ25 ของหนี้ที่ลดให้แก่ลูกหนี้
สำหรับแนวทางในการช่วยเหลือลูกหนี้ของกองทุนคือปรับโครงสร้างหนี้แบบตัดยอดหนี้ (hair cut) ซึ่งเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่รวดเร็วทันกาล และสร้างโอกาสให้ลูกหนี้ตั้งตัวกลับมาเป็นลูกหนี้ที่ดีต่อไป โดยกำหนดใช้กับลูกหนี้ที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000บาทต่อเดือน ส่วนลูกหนี้ที่ธนาคารฟ้องคดีเสร็จสิ้นแล้วและอยู่ระหว่างบังคับคดียึดบ้าน ยึดหลักประกันหรืออาจถูกฟ้องล้มละลายนั้น ธนาคารที่เข้าร่วมโครงการต้องยอมสละสิทธิในการฟ้องล้มละลาย ต้องยอมชะลอการยึดหลักประกันและต้องลดราคาขายประกันเพื่อให้ลูกหนี้มีโอกาสมาซื้อหลักประกันคืน ตามหลักเกณฑ์ที่สมาคมธนาคารไทยจะกำหนดกับ ธปท.ทั้งนี้เฉพาะสำหรับลูกหนี้ที่มียอดหนี้ไม่เกิน3ล้านบาท
เร่งกระตุ้นศก.สร้างรายได้4มาตรการ
ทั้งนี้ ทีมเศรษฐกิจพลังประชารัฐเสนอว่า แม้จะมีการปรับโครงสร้างหนี้รวมทั้งมาตรการ hair cutจะต้องทำควบคู่ไปกับการกระตุ้นเศรษฐกิจสร้างรายได้เข้ากระเป๋าประชาชน ภายใต้ 4 มาตรการ ดังนี้ 1.นายกรัฐมนตรี ในฐานะรมว.คลัง ควรหารือกับ ธปท.เพื่อกระตุ้นการลงทุนเอกชนขยายกำลังผลิตและเพิ่มการจ้างงาน ด้วยการเพิ่มสภาพคล่องเข้าในระบบการเงินและหรือการลดดอกเบี้ย 2. รัฐบาลควรพิจารณาค้ำประกันหนี้ให้ SMEs ที่จะกู้ใหม่ไม่เกิน 3 ล้านบาท ในสัดส่วนสูงเป็นพิเศษชั่วคราว อาจจะถึง 80% ถ้าเป็นโครงการใหม่ที่ธนาคารเห็นว่ามีศักยภาพ และไม่ใช่การกู้หนี้ใหม่ไปเพื่อใช้คืนหนี้เก่า
3. รัฐบาลควรพิจารณาจัดตั้งกองทุนเพื่อร่วมลงทุนในธุรกิจเอกชนตั้งใหม่ที่เน้นนวัตกรรมในสัดส่วนร้อยละ 20 โดยร่วมกับหน่วยงานที่ชำนาญด้านการลงทุน เช่น ตลาดหลักทรัพย์ฯ สมาคมธนาคารไทย เป็นต้น 4. สร้างรายได้เพิ่มเติมหรือลดค่าใช้จ่ายให้เอกชน เช่น สนับสนุนการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ โดยเปิดเสรีการติดตั้งโซล่าร์รูฟท็อปและรับซื้อไฟฟ้าเข้าระบบแบบ“หักกลบลบหน่วย”โดยธนาคารของรัฐเข้าไปสนับสนุนเงินทุนแก่ครัวเรือน รวมทั้งอบต. เทศบาล เพื่อจัดทำโซลาร์ฟาร์ม และถ้าหากมีที่ราชพัสดุอยู่ใกล้ชุมชน ก็ควรพิจารณาให้ชุมชนเช่าใช้ในการทำโซลาร์ฟาร์มด้วย เป็นต้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี