"สิทธิโชติ อินทรวิเศษ"เตรียมใช้ประสบการณ์เป็นประธานแผนคดีเลือกตั้งพัฒนากกต. อุดรอยรั้วสำนวนก่อนส่งศาลฎีกาเลือกตั้ง
เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2567 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดพิธีรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง นายสิทธิโชติ อินทรวิเศษ เป็นกรรมการการเลือกตั้ง เมื่อช่วงเช้าวันนี้ โดยมี นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง ศาสตราจารย์สันทัด ศิริอนันต์ไพบูลย์ นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะดร.ฐิติเชฏฐ์ นุชนาฏ และนายชาย นครชัย กรรมการการเลือกตั้ง เข้าร่วมพิธี และนายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง เป็นผู้อ่านพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งกรรมการการเลือกตั้ง
ในเวลาต่อมาช่วงบ่ายวันเดียวกัน นายสิทธิโชติ อินทรวิเศษ กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ให้สัมภาษณ์ถึงการเข้ารับตำแหน่ง กกต.ว่าก่อนหน้านี้ กกต.ทำงานได้ดีอยู่แล้ว แต่ถ้ามองจากข้างนอกก็มีอุปสรรคปัญหาที่สะท้อนกลับมาในบางเรื่อง ซึ่งเป็นภาพรวมที่ว่า กกต.ทำอะไรกันอยู่ กกต.ทำอะไรถึงไหนแล้ว พอตนเข้ามานั่งอยู่ในตำแหน่ง กกต.สิ่งหนึ่งที่อยากพัฒนาก็คือความสามารถของบุคลากรที่จะต้องมีความรู้ในการทำงานให้มีความทันสมัย เจ้าหน้าที่ กกต.ทุกคนต้องพัฒนาตัวเองตามปัญหา ซึ่งเราจะต้องสร้างความรู้ให้กับทุกคน รวมถึงต้องทำให้ระบบขั้นตอนมีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และจะต้องใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์สอดคล้องกับปัจจุบัน เบื้องต้นจะต้องทำให้องค์กรนี้มีความสามารถก่อน
เมื่อถามว่า การเข้ามาในขณะที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการทำงานของ กกต.ที่มีความล่าช้า อาจถูกมองว่าเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง นายสิทธิโชติ กล่าวว่า ตนก็เข้าใจว่าบางคนอยากให้การทำงานเห็นผล ไม่ว่าทางใดทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว คนที่ฟังกับคนที่ทำมีความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน ซึ่ง กกต.จะต้องทำตามกฎหมาย หากทำงานเร็วโดยไม่ยึดกฎหมาย โดยเอาความรู้สึกหรือทำแบบส่งเดช ไปที่ไหนก็แพ้ไปถึงศาลก็แพ้ เพราะฉะนั้นการรวบรวมพยานหลักฐานให้เป็นไปตามกฎหมาย ให้ศาลสามารถรับฟังได้ ดังนั้น กกต.จะต้องเลือกหาพยานหลักฐาน หรือกลั่นกรองพยานหลักฐานที่สามารถรับฟังได้ ซึ่งอาจจะช้าบ้างแต่กระบวนการก็ไม่ได้ช้าเกินไป เมื่อคดีไปถึงศาลแล้วศาลต้องรับฟังได้แรงกดดันต่างๆเราก็ขอทำความเข้าใจ เราจะทำตามแรงกดดันอย่างเดียวไม่ได้เราต้องมีหลักก่อน ซึ่งจะต้องไม่ช้าเกินไป
เมื่อถามว่า จากที่เคยทำงานในศาลฎีกามาก่อนจะนำความรู้ประสบการณ์ในการทำคดีเลือกตั้งในอดีตที่ กกต.ส่งเรื่องไปยังศาลมาปรับปรุงการทำสำนวน เพื่อให้ กกต.ทำงานได้อย่างรวดเร็วนั้นได้อย่างไร นายสิทธิโชติ กล่าวว่า เป็นเรื่องเดียวที่ตนได้เปรียบกว่าคนอื่น เพราะเคยเป็นประธานแผนกคดีเลือกตั้งมาก่อน ซึ่งทำคดีเกี่ยวกับการเลือกตั้งเข้าโดยเข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา 2 รอบ โดยในครั้งแรกคือการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 และการเลือกตั้งปี 2566 ซึ่งขั้นตอนของการดำเนินคดีมีขั้นตอนที่กำหนดไว้ เช่นกรณีการตัดสิทธิผู้สมัครรับเลือกตั้ง ศาลจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 7 วัน เมื่อศาลรับเรื่องจาก กกต.ก็นัดไปสวนทันทีนัดพร้อมทันที และในการเลือกตั้งสส.ก็ให้ศาลทุกจังหวัดดำเนินการไต่สวนแทนศาล แต่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 3 วัน และส่งข้อเท็จจริงมายังศาลฎีกา ซึ่งศาลฎีกาจะต้องตัดสินให้แล้วเสร็จภายใน 2 วัน และเหลือเวลาอีก 3 วันเพื่อส่งคดีกลับไปอ่านคำพิพากษาซึ่งไม่เคยล่าช้าเพราะถูกบังคับในระบบกฎหมายแล้ว ซึ่งเข้าใจว่าสาเหตุที่มีความล่าช้าอาจจะเป็นคดีอื่นที่มีความเกี่ยวพันกันไม่ใช่คดีเลือกตั้ง เช่นคดีฟ้องร้องชดใช้เรียกค่าเสียหายอาจเกิดจากการตัดสิทธิให้ใบเหลืองใบแดง ซึ่งกลายเป็นเรื่องคดีแพ่งคดีอาญาปกติไป สำหรับคดีเลือกตั้งปกติก็จะมีการบังคับอยู่แล้วยืนยันว่าไม่ช้าแน่นอน
เมื่อถามอีกว่า สำนวนจาก กกต.ที่ไปยังศาล เห็นจุดอ่อนอะไรที่จะนำมาปรับปรุงให้การทำงานของ กกต.เมื่อส่งสำนวนไปศาลก็สามารถวินิจฉัยได้เลยเพื่อให้ฝ่ายการเมืองเกิดความเกรงกลัว นายสิทธิโชติ กล่าวว่า เรื่องนี้ตนเห็นว่าเบื้องต้น กกต.มีพนักงานสืบสวนสอบสวนในต่างจังหวัดเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจจะไม่มีความเชี่ยวชาญในการรับฟังพยานหลักฐาน ซึ่งพยานหลักฐานบางชิ้นหากมาโดยไม่ชอบ หรือในความรู้สึกเราอาจพอรับฟังได้แต่เมื่อไปถึงศาล ศาลมองว่ายังรับฟังไม่ได้ เพราะยังจะต้องผ่านการพิสูจน์มาก่อน ดังนั้นการรับฟังพยานหลักฐานเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่ กกต.พลาดพลั้งเสียทีในบางเรื่อง ก็ขึ้นอยู่กับการรวบรวมพยานหลักฐานเบื้องต้น
"ถ้ามาจากจังหวัดแล้วมาถึง กกต.ส่วนกลาง เมื่อเห็นว่าพยานหลักฐานแค่นี้ยังไม่เพียงพอคุณต้องสอบเพิ่มเพื่ออุดรอยรั่วตรงนี้ จุดนี้คือจุดอ่อนที่จะต้องพัฒนา ผมได้คุยกับหลายฝ่ายของ กกต.ว่า กกต.จะต้องพัฒนาให้ความรู้ ในการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ซึ่งเป็นจุดที่สำคัญ ยกตัวอย่าง ตอนที่อยู่ศาลฎีกามีกรณีตัดสิทธิผู้สมัครก็มีการส่งเอกสาร ศาลฎีกาก็สงสัยว่า การนับเป็นสมาชิกพรรคหรือลาออกแล้ว ลาออกเมื่อไหร่ ทำให้การประชุมสาขาพรรคชอบหรือไม่ เอกสารบางอย่างไม่ชัด และข้อบังคับพรรคครอบคลุมขนาดไหนจึงต้องขอเอกสารเพิ่ม หาก กกต.เตรียมไว้ดีมีข้อมูลเหล่านี้ปิดหมดศาลก็วินิจฉัยได้เลย ซึ่งก็เคยขอไปและทำให้คดีมีความล่าช้าพอสมควร แต่ถ้าศาลฎีกาไม่ขอศาลฎีกาก็ยกฟ้องไปเลย หรือตัดสินให้ผู้ถูกร้องชนะไปเลย ขึ้นอยู่กับเวลาบีบขนาดไหน ดังนั้น การเตรียมสำนวนการรับฟังพยานหลักฐานเตรียมเอกสาร สนับสนุนข้อกล่าวหาของเราเป็นเรื่องสำคัญมาก ซึ่งข้อนี้ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่เราต้องพัฒนา" นายสิทธิโชติ กล่าว
เมื่อถามว่า เชื่อว่าแนวทางที่เราคิดไว้จะสามารถอุดรอยรั่วการทำงานของ กกต.และเอาผิดคนที่ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งได้มากขึ้นใช่หรือไม่ นายสิทธิโชติ กล่าวว่า แนวคิดของผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ในการรวบรวมพยานหลักฐานของ กกต.สืบสวนวินิจฉัยในทุกเรื่องของ กกต.ได้ แต่การจะอุดรอยรั่วให้ได้ดีที่สุดเราก็ต้องสร้างคนทำงานให้มีประสิทธิภาพซึ่งคนของ กกต.มีเยอะทั้งประเทศถ้าเราสามารถทำตรงนั้นได้คิดว่าจะสามารถอุดรอยรั่วเหล่านี้ได้
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี