ครบรอบ 131 ปี องค์กรอัยการ "อสส."ชี้การเติบโตขึ้น สร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคมไทย อดีตอสส."เข็มชัย"ระบุสังคมไม่พอใจ การแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมใช้กำจัดคู่แข่งทางการเมือง สั่งคดีต้องตามพยานหลักฐานไม่ใช่ความเชื่อ ลั่นอัยการควรมีอำนาจสอบสวนมากขึ้น ขณะที่พนักงานสอบสวนระแวงอัยการเข้ามาควบคุมการสอบสวน
เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 1 เมษายน 2567 ที่ห้องประชุม 120 ปี สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนแจ้งวัฒนะ นายอำนาจ เจตน์เจริญรักษ์ อัยการสูงสุด (อสส.) เป็นประธานพิธีเปิดกิจกรรมครบรอบ 131 ปี องค์กรอัยการ ที่พึ่งด้านกฎหมายของรัฐและประชาชน ในงานมีการจัดเสวนาวิชาการ วิวัฒนาการอัยการไทย โดย ศ.พิเศษ เข็มชัย ชุติวงศ์ อดีต อสส.กล่าวปาฐกถา หัวข้อ องค์กรอัยการ : ความหวังในการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และมีการเสวนาวิชาการ วิวัฒนาการอัยการไทย โดยศ.พิเศษ ดร.เรวัต ฉ่ำเฉลิม อดีต อสส.และนายพนัส ทัศนียานนท์ อดีตอัยการชั้นผู้ใหญ่ และอัยการเข้าร่วมงาน ซึ่งมีการจัดกิจกรรมต่างๆและงานเสวนาตั้งแต่วันที่ 1 - 4 เมษายน นี้
นายอำนาจ เจตน์เจริญรักษ์ อัยการสูงสุด (อสส.) ได้กล่าวเปิดงานว่า วันนี้ตนมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่องค์กรอัยการครบรอบ 131 ปี นับแต่วันแรกที่ก่อตั้งในวันที่ 1 เมษายน ร.ศ.112 หรือ พ.ศ.2436 เป็นกรมอัยการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ภายหลังมีการย้ายไปสังกัดกระทรวงมหาดไทย และต่อมาแยกเป็นสำนักงานอัยการสูงสุด นับตั้งแต่มีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2556 ได้บัญญัติองค์กรอัยการเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งดำเนินมาถึงรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาองค์กรอัยการได้เติบโตขึ้นตามลำดับและเนื่องในครบรอบ 131 ปี จึงได้มีการจัดงานขึ้น "องค์กรอัยการ ที่พึ่งด้านกฎหมายของรัฐและประชาชน" โดยจัดกิจกรรมในส่วนกลาง เพื่อให้ข้าราชการอัยการและบุคลากรได้ภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์การก่อตั้งองค์กรอัยการ เพื่อให้บุคลากรของหน่วยงานได้บูรณาการทำงานร่วมกัน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดงานครั้งนี้จะทำให้เราทุกคน ภาคภูมิใจในองค์กรของเรามากยิ่งขึ้น เพื่อร่วมพัฒนาองค์กร สร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคมไทย
ศ.พิเศษ เข็มชัย ชุติวงศ์ อดีต อสส.กล่าวช่วงหนึ่งของการปาฐกถาว่า เราจะได้ยินเสียง ว่ากระบวนการยุติธรรมเอื้อประโยชน์ให้กับคนร่ำรวยและถูกเเทรกแซงสังคมไม่พอใจและเราจะเห็นสังคมไม่พอใจว่ามีการใช้กระบวนการยุติธรรมกำจัดคู่แข่งทางการเมือง ซึ่งก็จะเป็นวิกฤติศรัทธาในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งจะมีเรื่องของประสิทธิภาพซึ่งจะต่ำกว่าที่สังคมคาดหวัง เช่น เรื่องการนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ ซึ่งภายหลังหลังจากมีการรัฐประหารและมีการตั้งความหวังที่จะปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม คือ การปฏิรูปองค์กรตำรวจ ซึ่งก็ได้ผลงานเป็น พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ 2565 แต่กฎหมายฉบับนี้ก็ยังไม่ได้มีบทบัญญัติตามที่คณะกรรมการแห่งชาติในฐานะผู้ร่างฯ ต้องการ
สำหรับองค์กรอัยการแม้จะไม่มีการปฏิรูปในช่วงนี้แต่ก็มีการปฏิรูปรัฐธรรมนูญมาแล้วในช่วงปี 2550 ซึ่งตนคิดว่าเป็นเป้าหมายของอัยการชั้นผู้ใหญ่ในอดีต ซึ่งเป็นกฎหมายที่รองรับสถานะและเป็นเกาะกำบัง ฐานที่มั่นเพื่อไม่ให้องค์กรของเราถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองหรือจากรัฐบาลในทางที่ไม่ชอบ ตนถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่แข็งแรงพอสมควร ตอนนี้ขึ้นอยู่กับพวกเราที่จะต้องดูแลรักษากัน เพราะพวกเราได้สร้างว่าการที่ไม่ให้คนอื่นเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการเรา ตนอยากให้พวกเราได้รักษาไว้ สิ่งที่จะรักษาได้คือต้องสร้างศรัทธาความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่าอัยการสามารถคุ้มครองดูแลกระบวนการยุติธรรมและเป็นความหวังของประชาชนของสังคมในการขับเคลื่อนกระบวนการยุติธรรมในทางที่ถูกต้องและเป็นหลักนิติธรรม ส่วนประเด็นหนึ่งที่คณะกรรมการปฏิรูปประเทศต้องการปฏิรูปแต่ไม่สำเร็จก็คือเรื่องการสอบสวน ซึ่งการสอบสวนเป็นปัญหาที่สังคมตระหนัก
เมื่อถามว่า การสอบสวนมีปัญหาอะไร ต้องตอบว่าการสอบสวนมีปัญหาหลายอย่างเช่น ที่สังคมไม่ไว้วางใจเช่นบางครั้งพนักงานสอบสวนไม่ได้สอบสวนแบบตรงไปตรงมาและให้ความเป็นธรรม ตรงนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่สังคมเห็นว่าต้องการการปฏิรูป ในอดีตที่ผ่านมาอำนาจการสอบสวนเน้นที่การใช้อำนาจขององค์กรต่างๆ องค์กรใดที่มีบทบาทในการสอบส่วนมากเป็นองค์กรที่มีอำนาจมาก
นอกจากนี้ กระบวนการสอบสวนยังมีผลกระทบกับบุคคลที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นผู้ต้องหา พยาน ผู้เสียหาย ที่ผ่านมาประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญามีการขับเคลื่อนจากการใช้อำนาจไปสู่การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพบทบัญญัติที่เติมเข้ามาจะเป็นเรื่องการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพซะส่วนใหญ่ มีการสร้างความสมดุลย์ในการใช้มาตรการบังคับระหว่างองค์กรตุลาการและองค์การบริหารโดยมีการให้อำนาจที่ใช้บังคับกับองค์กรตุลาการ
หากพูดถึงตัวบทกฎหมายประเทศเราไม่แพ้ประเทศใดในโลกในเรื่องของมาตรฐานในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ แม้ส่วนหนึ่งจะเป็นการใช้อำนาจเพราะเป้าหมายของเราคือการนำตัวคนผิดมาลงโทษให้ได้ เพื่อให้สังคมปลอดภัย แต่อีกด้านหนึ่งคือการปลดปล่อยคนบริสุทธิ์ที่บังเอิญเข้ามาถูกกระทำในกระบวนการยุติธรรมให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะพนักงานสอบสวนที่ปัจจุบันจะมองในเรื่องการเอาผิดโดยไม่สนใจว่าจะมีคนไม่บริสุทธิ์ถูกนำเข้ามาในกระบวนการถูกกระทำหรือไม่
ซึ่งเมื่อก่อนสังคมจะไม่สนใจเรื่องคนบริสุทธิ์ถูกกระทำแต่สังคมจะกดดันไปที่ว่าอยากได้คนทำผิดมาลงโทษ แต่คิดว่าในอนาคตสังคมจากคาดหวังว่ากระบวนการยยุติธรรมจะมีการกลั่นกรองไม่ให้ผู้บริสุทธิ์มาถูกกระทำ ซึ่งความคาดหวังของสังคมก็จะอยู่ที่พนักงานอัยการ เพราะพนักงานอัยการไม่ใช่จุดเริ่มต้น ของการแสวงหาพยานหลักฐาน เพราะฉะนั้นก็จะมีความเป็นธรรมมากกว่าพนักงานสอบสวนซึ่งเป็นโมเดลเดียวกันทุกประเทศ
ในส่วนการเเก้บทบัญญัติที่ให้พนักงานอัยการเข้าร่วมสอบสวน แม้จะไม่ได้ผ่านจบ แต่ก็ได้ฝากผลงานไว้ ตนคิดว่าการสอบสวนควรจะต้องมีการร่วมมือกัน พนักงานอัยการควรจะต้องมีบทบาทเพิ่มขึ้นในเรื่องการสอบสวน
ตรงนี้อาจสร้างความไม่พอใจ เพราะพนักงานสอบสวนหวาดระแวงว่าพนักงานอัยการจะเข้าไปควบคุมและสั่งการการทำงาน ซึ่งพนักงานสอบสวนไม่ได้ต้องการเเบบนั้น เขาต้องการเพียงแค่ร่วมมือกันทำงาน ซึ่งในความเป็นจริงในระดับสากล พนักงานอัยการคล้ายจะเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน ซึ่งอัยการเองก็ไม่ได้สั่งพนักงานสอบสวนบ่อยนักจะเป็นในลักษณะร่วมมือ แต่ของเรา พนักงานสอบสวนก็ระเเวงจึงทำให้เป็นปัญหา
อย่างทุกวันนี้ที่เราเคยตกลงกันกับพนักงานสอบสวนเรื่องระยะเวลาในการส่งสำนวน ซึ่งพนักงานสอบสวนก็จะชอบส่งมาตอนใกล้ครบระยะเวลาฝากขังทำให้พนักงานอัยการรีบร้อนเร่งฟ้องไปก่อนที่จะหมดระยะเวลาฝากขังทำให้การพิจารณาพยานหลักฐานไม่สมบูรณ์ครบถ้วน 100 เปอร์เซ็นต์ เรียกว่าได้ไม่ครบก็ต้องฟ้องไปแล้ว
ประเด็นที่สำคัญของอัยการคือมาตรฐานกันสั่งฟ้องคดี ที่จะต้องไปในทิศทางเดียวกันในต่างประเทศต้องใช้พยานหลักฐานเพียงพอที่ศาลจะลงโทษ แต่ของประเทศเราใช้เพียงพยานหลักฐานพอฟ้องซึ่งคำนี้มันแตกต่างกันและทำให้ไม่เป็นเอกภาพเดียวกัน ดังนั้น การทำงานของพวกเราน่าจะทำให้เกิดความเชื่อถือแก่สังคมจะต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน อันนี้คือความคิดของตน สุดท้ายอยากฝากว่าสิ่งสำคัญที่สุดในกระบวนการยุติธรรมที่จะทำให้องค์กรทั้งหลายปฏิบัติเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพคือศรัทธาของสังคม เราจะต้องช่วยกันสร้างศรัทธาอันนี้ให้ได้ การทำงานของอัยการจะต้องทำตามพยานหลักฐาน การจะสั่งของใครไม่สั่งของใครต้องทำตามพยานหลักฐานไม่ใช่ความเชื่อ
การกระทำของพวกเราอัยการเพียง 1 - 2 คน อาจจะทำให้เกิดวิกฤติศรัทธาได้ไม่ยาก แต่สังคมก็เข้าใจว่าในทุกองค์กรมีทั้งคนดีและไม่ดี ทุกคนจะคาดหวังว่าทุกคนเป็นคนดีหมดเป็นไปไม่ได้ ซึ่งองค์กรจะต้องมีวิธีที่ทำให้สังคมเห็นว่ารับไม่ได้และไม่เห็นด้วยกับสิ่งไม่ดีที่เกิดขึ้น ซึ่งองค์กรหลักตรงนี้คือคณะกรรมการอัยการและเราทำได้ค่อนข้างดีและเป็นที่เชื่อถือของสังคม และบางครั้งสังคมอาจจะสงสัยว่าเราเอาจริงกันหรือไม่ แต่ช่วงหลังตนขอสังเกตว่าของเราเอาจริงกัน เพื่อให้เกิดศรัทธาว่าองค์กรเราไม่เห็นด้วยที่จะปกป้องคนไม่ดี
"เรามีเครื่องหมายเครื่องมือพร้อมแต่ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเอาจริงกันหรือไม่เราก้าวมาถึง 131 ปีได้แล้วด้วยความเสียสละทุ่มเทของบรรพอัยการทั้งหลายในอดีตพยามที่จะสรรค์สร้างศรัทธาวันละเล็กน้อย" อดีต อสส.กล่าวตอนท้าย
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี