‘รมช.คลัง’แจงดีเทลโครงการเงินหมื่นดิจิทัล เริ่มจ่ายเงินไตรมาส 4 ปีนี้ หวังกระตุ้นเศรษฐกิจปีหน้า เข็น‘จีดีพี’โต 5% ตามฝัน เบื้องต้นซื้อของ‘ร้านสะดวกซื้อ’ได้ แต่‘ห้างใหญ่’ไม่เข้าข่าย
เมื่อเวลา 11.30 น.วันที่ 10 เมษายน 2567 ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง แถลงความคืบหน้าโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ว่า คณะกรรมการได้วางแนวทางรายละเอียด และเงื่อนไขโครงการดังนี้
1. กลุ่มเป้าหมาย ประชาชนจำนวนประมาณ 50 ล้านคน โดยจะมีเกณฑ์ ได้แก่ อายุเกิน 16 ปี ณ เดือนที่มีการลงทะเบียน และมีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท
ไม่เป็นผู้ที่มีเงินได้พึงประเมินเกิน 840,000 บาทต่อปีภาษี จากเดิมที่กำหนดให้ผู้มีรายได้ไม่เกิน 70,000 บาท ต่อเดือน เพื่อสะดวกในสอดคล้องกับกระบวนการของสรรพากร
2. เงื่อนไขการใช้จ่าย แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
2.1 ระหว่างประชาชนกับร้านค้า ใช้จ่ายเชิงพื้นที่ในระดับอำเภอ โดยกำหนดให้ใช้จ่ายกับร้านค้าขนาดเล็กที่ตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดเท่านั้น
2.2 ระหว่างร้านค้ากับร้านค้า ไม่กำหนดเงื่อนไขการใช้จ่ายเชิงพื้นที่ระหว่างร้านค้ากับร้านค้าในระดับอำเภอและขนาดของร้านค้าการใช้จ่ายเงินสามารถใช้จ่ายได้หลายรอบ โดยรอบที่ 1 จะเป็นการใช้จ่ายระหว่างประชาชนกับร้านค้าขนาดเล็กเท่านั้น ตั้งแต่รอบที่ 2 ขึ้นไป จะเป็นการใช้จ่ายระหว่างร้านค้ากับร้านค้าโดยไม่จำกัดขนาดร้านค้า
3. ประเภทสินค้า สินค้าทุกประเภทสามารถใช้จ่ายผ่านโครงการฯ ได้ ยกเว้น สินค้าอบายมุข น้ำมัน บริการ และออนไลน์ เป็นต้น และสิ่งที่กระทรวงพาณิชย์จะกำหนดเพิ่มเติม
4. การจัดทำระบบ จะเป็นการพัฒนาต่อยอดของรัฐบาลดิจิทัลโดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.) ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยมีเป้าหมายให้เป็น Super App ของรัฐบาล โดยการใช้งานจะพัฒนาให้สามารถใช้จ่ายได้กับธนาคารอื่น ๆ ในลักษณะ open loop ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการจัดทำของภาครัฐ รัฐบาลจะดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปอย่างรอบคอบ โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ตามกฎหมาย
5. คุณสมบัติร้านค้าที่สามารถถอนเงินสดจากโครงการฯ ต้องเป็นร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษี ดังนี้
(1) ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax: VAT) หรือ
(2) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (Personal Income Tax: PIT) เฉพาะผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (แห่งประมวลรัษฎากร หรือ
(3) ภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax: CIT)
ทั้งนี้ ร้านค้าไม่สามารถถอนเงินสดได้ทันทีหลังประชาชนใช้จ่าย แต่ร้านค้าจะสามารถถอนเงินสดได้เมื่อมีการใช้จ่ายตั้งแต่ในรอบที่ 2 เป็นต้นไป เพื่อลดความเสี่ยงการทุจริต และเกิดผลดีต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ
นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ประชาชนและร้านค้าเข้าร่วมโครงการภายในไตรมาส 3 ปี2567 และจะเริ่มใช้จ่ายได้ในไตรมาส 4 ปี 2567 นอกจากนี้เพื่อป้องกันการทุจริตได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านการตรวจสอบการกระทำที่เข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการโดยมีรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นประธาน มีผู้บัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นกรรมการ และที่ประชุมยังได้มีมติแต่งตั้งอนุกรรมการการดำเนินกำกับโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ที่มีมีตนเป็นประธาน และยังทำหน้าที่ประสานงานและประชาสัมพันธ์โครงการนี้ด้วย อีกทั้งได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังนำมติดังกล่าวเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ภายในเดือนเมษายนนี้
เมื่อถามว่า โครงการนี้จะช่วยกระตุ้นจีดีพี 1.2-1.6 % จะมีผลต่อปีนี้และปี 2568 เท่าไร นายจุลพันธ์ กล่าวว่า จีดีพีจะเพิ่มขึ้นในปี 2568 เป็นหลัก เพราะเราเริ่มจ่ายเงินช่วงปลายปี 2567
เมื่อถามต่อว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจในปีหน้าโตใกล้เป้าที่รัฐบาลตั้งไว้ 5 % หรือไม่ นายจุลพันธ์ ตอบว่า แน่นอน เมื่อรวมกับมาตรการกระตุ้นอื่นๆเช่น การกระตุ้นการซื้ออสังหาริมทรัพย์
เมื่อถามว่าร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-11 และแม็คโคร ถือเป็นร้านค้าขนาดเล็กที่เข้าเงื่อนไขหรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า เบื้องต้นร้านสะดวกซื้อลงมาถือว่าเป็นร้านขนาดเล็ก เพราะต้องการให้เงินกระจายอยู่ในชุมชน ส่วนแม็คโคร ห้างค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ ซูเปอร์มาร์เก็ต และห้างสรรพสินค้า ไม่รวมไม่นับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี