จ่อขับพ้น‘ปชป.’
นักการเมืองหญิง
‘เคลม’พระหนุ่ม
ประชาธิปัตย์ แถลงรับนักการเมืองหญิง ลอบมีสัมพันธ์สวาทกับพระมหาและเป็นสมาชิกพรรคจริงสั่งตั้งกก.สอบข้อเท็จจริงแล้วผิดจริงขับออกจากพรรคแน่
เมื่อเวลา 08.30น.วันที่ 11เมษายน2567 ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เปิดแถลงข่าวฉาวกรณีถูกเปิดเผยว่ามีนักการเมืองสาว สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ อดีตผู้สมัครสส.มีสัมพันธ์สวาท กับพระมหาหนุ่มวัย 24ปี เจ้าอาวาสวัดดัง ที่เป็นลูกบุญธรรม และถูกสามีบุกจับได้คาหนังคาเขา จนกลายเป็นข่าวฉาว ที่ทำเสนอไปก่อนหน้านี้ นายราเมศ กล่าวว่า จากกรณีการสอบถามว่า อดีตผู้สมัครสส.ประชาธิปัตย์ มีสัมพันธ์กับพรรค เราได้รับทราบข้อเท็จจริงตั้งแต่เมื่อวาน มีสื่อโทรศัพท์มาสอบถาม มีคนแจ้งมา ทางพรรคไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ติดตามในทันที ในฐานะที่ตนเป็น 1 ในกก.บห.พรรค ได้รายงานให้หัวหน้าพรรคได้ทราบในทันที เพราะเป็นเรื่องสำคัญ ที่คนเป็นสมาชิกพรรค ต้องปฏิบัติตนอยู่ในกรอบจริยธรรม ศิลธรรม และความเป็นที่เชื่อถือศรัทธาของประชาชน ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีของการเป็นสถาบันครอบครัว ทั้งหมดเป็นสาระสำคัญของข้อบังคับพรรค เขียนไว้ชัดว่าต้องทำตามในกรอบจริยธรรมข้อบังคับพรรคอย่างเคร่งครัด เมื่อหัวหน้าพรรคได้ทราบเรื่องแล้ว ก็มีบัญชาและคำสั่งให้ตั้งกก.สอบข้อเท็จจริง โดยมีตน และอดีตสส.รวม3คน มาสอบข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าวให้กระจ่างชัด เมื่อตรวจสอบพบเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ในปัจจุบัน ยังเป็นสมาชิกพรรคอยู่
จากการตรวจสอบพบเป็นอดีตผู้สมัครพรรคจริง หลังเสร็จเลือกตั้ง ก็ไม่ปรากฏว่า ได้ร่วมทำกิจกรรมทางการเมืองกับพรรค แต่อย่างใด ลึกลงไปปัจจุบัน ตรวจสอบมีรับตำแหน่งในพรรคหรือไม่ ก็พบว่าไม่มีตำแหน่งใดๆ วันนี้จะสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเล็กน้อย สอบถามคนที่เกี่ยวข้องอีกไม่กี่ทัน ให้เสร็จสิ้นใน 3 วัน และรายงานต่อกก.บห. เพื่พิจารณาต่อไป ซึ่งโทษฝ่าฝืนข้อบังคับพรรค ขัดต่อจริยธรรม ศีลธรรม ก็จะมีโทษถึงขั้นให้พ้นจากการเป็นสมาชิกพรรค
โดยช่วงหนึ่ง นายราเมศ ได้ตอบคำถามสื่อมวลชนว่า ตนได้โทรศัพท์สอบถาม (อดีตนักการเมืองหญิง) ไป 3 ครั้ง ยังไม่สามารถติดต่อได้ และจะสอบถามสามีต่อไปแต่เป็นเรื่องละเอียดอ่อน คงไม่ได้นำเรียนสื่อมวลชนทุกเรื่อง บางครั้งเรื่องส่วนตัวก็ยากที่จะไปตรวจสอบ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องรับผิดชอบ ในฐานะสถาบันทางการเมือง ก็จะมีมาตรการ และให้ความสำคัญ พรรคต้องรับความจริงที่เกิดขึ้น และหากลไกที่เหมาะสม เรื่องที่เกิดขึ้นก็ต้องมีมาตรการชัดเจน เด็ดขาด
นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า ตนรับทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว จากการตรวจสอบพบว่าพระรูปดังกล่าว ลาสิกขาไปตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคมแล้ว โดยเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ แต่เพิ่งมาเป็นข่าวเมื่อวานนี้ ทางสำนักพุทธ จะดำเนินการอย่างไรได้บ้างนั้น ตอนนี้เขาได้สึกจากการเป็นพระไปแล้ว จึงขึ้นอยู่กับผู้เสียหายว่าจะดำเนินคดีหรือไม่ แต่ในส่วนขั้นตอนของพระไม่สามารถดำเนินการได้แล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในรายการ’เที่ยงวันทันเหตุการณ์’พิธีกรหนุ่ม กรรชัย เปิดเผยว่า ได้พูดคุยกับสามี ของนักการเมืองหญิงรายนี้ โดย สามี ระบุว่า เอาตรงๆว่าผมจะไปโทษภรรยาแบบ 100% มันก็ไม่ได้ จริงๆแล้ว ในวันนั้น ยอมรับว่าโมโห มันเลือดขึ้นหน้า ถ้าไปเห็นภาพแบบนั้นตำตา จะทำอย่างไร แต่เมื่อผ่านมาได้สักระยะหนึ่ง ผมมานั่งทบทวนว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตผมกันแน่ จนผมกลับไปมองเหตุผล
“ซึ่งผมมั่นใจว่า แฟนของผมคนนี้ คู่หมั้นผมคนนี้ไปเชื่อเรื่องราวของวงเวียนกรรม เชื่อเรื่องหมอดู เชื่อเรื่องครูบา เชื่อเรื่องของอดีตชาติ เลยทำให้แฟนของผมคนนี้ไปติดกับพระ ซึ่งพระน่าจะใช้กลอุบายต่างๆนาๆ ไปหลอกลวงแฟนของผม จนแฟนของผมหลงเชื่อ และไปมีสัมพันธ์กัน เพราะแฟนผมเชื่อเรื่องราวเหล่านี้แบบขีดสุด”
สามีระบุ เพิ่มเติมว่า แต่ที่เสียใจที่สุดคือ พระรูปนี้ ไม่ควรจะสึกเอง เพราะพระรูปนี้ควรจะปาราชิก โดนจับสึก และเป็นสมี ไม่ควรจะกลับมาบวชได้อีก อยากจะร้องเรียน สำนักพุทธว่าจะไปจัดการเรื่องนี้อย่างไร รวมถึงหมอดู สำนักสงฆ์ต่างๆนาๆ ที่พยายามไปพูดให้เมียผมติดกับ จนกระทั่งไปประเคนกายแบบนี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี