กระทรวงมหาดไทย จับมือ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ลงนาม MOU ฝึกอบรมหลักสูตรการพัฒนานักกฎหมายภาครัฐ มุ่งมั่นส่งเสริมและพัฒนาบุคลากรด้านกฎหมาย ยึดหลักนิติธรรม ทันสมัย สู่การทำหน้าที่ "บำบัดทุกข์ บำรุงสุข" ให้กับพี่น้องประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ
วันนี้ (17 เม.ย. 67) เวลา 13.30 น. ที่ห้องประชุมราชบพิธ ชั้น 5 อาคารดำรงราชานุสรณ์ กระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการฝึกอบรมหลักสูตรการพัฒนานักกฎหมายภาครัฐ (ภาคพิเศษ (กระทรวงมหาดไทย)) ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กับสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย โดย นายนพดล เภรีฤกษ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา นายโชตินรินทร์ เกิดสม นายเชษฐา โมสิกรัตน์ นายราชันย์ ซุ้นหั้ว รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายมานะ สิมมา ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย นายประสพโชค อยู่สำราญ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน นายสมชัย เลิศประสิทธิพันธ์ รองอธิบดีกรมการปกครอง นายศิริพันธ์ ศรีกงพลี รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายเธียรชัย ชูกิตติวิบูลย์ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายชยชัย แสงอินทร์ รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมเป็นสักขีพยาน
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ขอขอบคุณท่านปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ได้เมตตาช่วยในการที่จะทำให้ข้าราชการของกระทรวงมหาดไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับข้าราชการผู้ที่ทำหน้าที่ทางด้านกฎหมาย ทั้งในตำแหน่งนิติกร และตำแหน่งอื่น ๆ ที่มีความสำคัญในการปฏิบัติงานตลอดจนมีการทำงานที่เกี่ยวข้องกับด้านกฎหมายในการให้บริการกับประชาชน เพราะคนมหาดไทยทุกคนมีภารกิจ และการปฏิบัติราชการที่เกี่ยวข้องกับด้านกฎหมายมากมาย หรือ เรียกได้ว่าเราเป็นลูกค้าอันดับหนึ่งของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งเราต้องทำหน้าที่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้กับพี่น้องประชาชน ตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้ อาทิ กฎหมายที่ดิน กฎหมายลักษณะปกครองท้องที่ กฎหมายและระเบียบท้องถิ่น กฎหมายควบคุมอาคาร กฎหมายว่าด้วยการผังเมือง กฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมถึงกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการอนุมัติ อนุญาตต่าง ๆ อีกทั้งเรายังมีกฎหมายภายใต้การควบคุมดูแลของผู้ว่าราชการจังหวัด และนายอำเภอ ที่ต้องนำไปบังคับใช้ทั่วประเทศ ซึ่งกฎหมายเหล่านั้นหลายฉบับมีอายุเก่าแก่ สิ่งสำคัญ คือ การทำให้กฎหมาย "Active" และ มีความทันสมัย จึงต้องขอความอนุเคราะห์ทางผู้บริหารของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่จะช่วยยกระดับ และพัฒนากฎหมายที่อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงมหาดไทย ให้สามารถบังคับใช้ได้อย่างเหมาะสมในปัจจุบัน จึงต้องช่วยกันยกระดับและพัฒนาองค์ความรู้ในการใช้กฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการดูแลพี่น้องประชาชน
"การลงนามบันทึกความร่วมมือโครงการฝึกอบรมหลักสูตรการพัฒนานักกฎหมายภาครัฐ (ภาคพิเศษ (กระทรวงมหาดไทย)) ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กับสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ในวันนี้จะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน รวมถึงข้าราชการและบุคลากรในสังกัดกระทรวงมหาดไทย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติในส่วนรวม ซึ่งข้าราชการกระทรวงมหาดไทยจะได้มีโอกาสเพิ่มพูนความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านกฎหมาย ซึ่งจะทำให้เราได้ปฏิบัติหน้าที่ ในการทำงานได้สอดรับและสอดคล้องกับหลักนิติธรรม ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญของสังคม แม้ว่า เจ้าหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทย ทุกคนมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำให้เกิดผลดีต่อสังคมอยู่แล้ว แต่ด้วยภาระหน้าที่ความซับซ้อนของงาน ทำให้ด้านกฎหมายยังเป็นจุดอ่อน ดังนั้น การฝึกอบรมหลักสูตรนี้เปรียบเสมือนการให้ข้าราชการในตำแหน่ง นิติกร ในสังกัดกระทรวงมหาดไทยได้ใช้เวลา มุ่งมั่นตั้งใจในการศึกษาเรื่องสำคัญในด้านกฎหมายได้ดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงาน กระทรวงมหาดไทยจึงรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่เราได้ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทั้งในโอกาสนี้และต่อไป" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเพิ่มเติม
ด้าน นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา รู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย ในการจัดอบรมโครงการฝึกอบรมหลักสูตรการพัฒนานักกฎหมายภาครัฐ (ภาคพิเศษ (กระทรวงมหาดไทย)) ซึ่งเป้าหมายของเรา คือ การมุ่งพัฒนากฎหมายให้ดีขึ้น เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน "Better Regulation for Better Life" ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจของกระทรวงมหาดไทย คือ การบำบัดทุกข์ บำรุงสุข โดยที่ผ่านมาเรามีการจัดฝึกอบรมให้กับนักกฎหมายเป็นประจำอยู่แล้ว ซึ่งเรามีความเข้าใจ ในภารกิจอันหนักหน่วงของกระทรวงมหาดไทย โดยเฉพาะเรื่องการบังคับใช้กฎหมายซึ่งล้วนมีความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ดังนั้น นักกฎหมายของหน่วยงานจึงมีหน้าที่สำคัญในการสนับสนุนด้านกฎหมายให้กับหน่วยงาน สำหรับในส่วนของกฎหมายที่มีความเก่าแก่ แม้ว่าบางส่วนอาจจะยังเหมาะสมกับปัจจุบัน แต่ก็มีบางส่วนที่อาจจะต้องมีการปรับปรุง เราจึงหวังว่ากระทรวงมหาดไทยจะเป็นจุดเริ่มต้น ที่จะช่วยในการยกระดับและพัฒนากฎหมายที่อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงมหาดไทย ในส่วนของการฝึกอบรมถ่ายทอดองค์ความรู้ เนื่องจากข้าราชการมีการโยกย้ายเปลี่ยนแปลงกันอยู่ตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับข้าราชการกระทรวงมหาดไทย ดังนั้น สิ่งสำคัญ คือ การถ่ายทอดองค์ความรู้ การจัดทำคู่มือ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเราได้พัฒนา โดยจัดทำในรูปแบบ เว็บไซต์เพื่อเป็นฐานข้อมูลให้เจ้าหน้าที่ด้านกฎหมาย ตลอดจนประชาชนทุกคนสามารถเข้ามาใช้บริการและใช้ประโยชน์ของเราได้ เพื่อให้เกิดความรวดเร็วและถูกต้องมากที่สุด นอกจากนี้เราได้จัดทำข้อมูล Data Base ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงพัฒนา เพื่อทำให้การสืบค้นมีความรวดเร็ว และหากมีผลการดำเนินการที่ดีเยี่ยมจะได้ขยายผลไปยังส่วนราชการต่าง ๆ รวมไปถึงกระทรวงมหาดไทยอีกด้วย
"การจัดโครงการฝึกอบรมหลักสูตรการพัฒนานักกฎหมายภาครัฐในครั้งนี้ เราไม่ได้มีเพียงการถ่ายทอดด้านกฎหมายเท่านั้น แต่เรายังให้ความสำคัญกับความยั่งยืน โดยมีผู้เชี่ยวชาญมาเป็นผู้ให้ความรู้ จึงขอให้ผู้ที่เข้ารับการอบรมทุกคนได้มุ่งมั่นตั้งใจ เราเชื่อมั่นในกระทรวงมหาดไทย และได้เปิดการอบรมเพื่อให้ผู้อบรมได้เข้ามาศึกษา มุ่งมั่นเก็บเกี่ยวความรู้ด้านกฎหมาย จึงขอขอบคุณ คณะผู้บริหารของกระทรวงมหาดไทย และเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตลอดจนสถาบันพัฒนากฎหมายมหาชน ที่ได้จัดให้มีพิธีลงนามความร่วมมือในวันนี้ และหวังว่าเราจะได้ร่วมมือกันพัฒนาบุคลากรด้านกฎหมาย และด้านอื่น ๆ ในโอกาสต่อไป" นายปกรณ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี