พท.ฉะออกระเบียบเกินก.ม.บัญญัติ
รุมถล่มกกต.ยบ
‘จาตุรนต์’อัดแย่ยิ่งกว่าจับสลาก
แปลกใจไม่เน้นสกัด‘โกง-ฮั้ว’
ชี้ห้ามเผยข้อมูลละเมิดสิทธิปชช.
เลขาฯกกต.โบ้ยแก้อะไรไม่ได้
“จาตุรนต์” ถล่มระเบียบกกต.ห้ามสารพัด ถือว่าเกินกว่ากฎหมายบัญญัติ ทำให้การเลือกสภาสูงแบบให้เลือกไขว้ระหว่างกลุ่มอาชีพแย่กว่าการจับสลากที่สำคัญเรื่องป้องกันทุจริตการฮั้วเลือกตั้งกกต.กลับไม่เน้น และระเบียบดังกล่าวขัดเสรีภาพ ปชช. ด้านเลขาฯกกต.เผยคงแก้อะไรไม่ได้ แม้จะมีหลายฝ่ายทักท้วง ให้ปรับรูปแบบเลือกสว. เหตุรธน.กำหนดไว้ ชี้ไทม์ไลน์ไม่เหมือนเลือกสส. ยันมีมาตรการสกัดโกง-ฮั้งทุกพื้นที่
ชำแหละยับ ทำเลือก‘สว.’แย่ยิ่งกว่าจับฉลาก
เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม นายจาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) โพสต์เฟซบุ๊ก “Chaturon Chaisang” แสดงความเห็นต่อระเบียบ กกต.ว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่ออกมาเมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมาว่า มีปัญหามากทั้งไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา แต่ยิ่งไปกว่านั้นไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ เพราะจงใจปิดกั้นและจำกัดสิทธิเสรีภาพของทุกฝ่าย ทั้งผู้สมัคร ผู้ที่จะช่วยเหลือผู้สมัคร ประชาชนทั่วไปที่ต้องการมีส่วนร่วม รวมไปถึงสื่อมวลชน ขัดพรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา”ได้แก่ ในมาตรา 21 ระบุว่า “ให้ผู้อำนวยการเลือกตั้งระดับอำเภอต้องประกาศรายชื่อผู้สมัครที่อย่างน้อยต้องระบุอาชีพและอายุของผู้สมัครให้ประชาชนทราบโดยทั่วไป…” จะเห็นเลยว่าเจตนาของกฎหมายต้องการให้ประชาชนทั่วไปได้รับรู้ข้อมูลข่าวสาร แต่ระเบียบกลับห้ามเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารทุกรูปแบบ
“จาตุรนต์”ฉะกกต.ออกระเบียบเกินกม.
นายจาตุรนต์กล่าวต่อว่า ในมาตรา 37 และมาตรา 38 กฎหมายจะระบุชัดเจนว่าห้ามไปหาเสียงในวันเลือกตั้ง แต่ตอนที่จะแนะนำตัวก่อนถึงช่วงเลือกนั้นระบุไว้ในมาตรา 36 ว่า “ผู้สมัครอาจแนะนำตัวได้ตามวิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด…” จะเห็นว่าในมาตรานี้ไม่ได้ระบุห้ามทำสิ่งใดเหมือนในมาตรา37และ38 แต่กกต.กลับออกระเบียบห้ามสารพัด จึงถือว่าการออกระเบียบนี้เกินกว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้
ขัด “รัฐธรรมนูญและหลักการประชาธิปไตย” ได้แก่ มาตรา114 “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย…” : ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะหลักประชาธิปไตยถือว่าประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ซึ่งสมาชิกวุฒิสภาต้องเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย แต่ระเบียบกลับออกมาไม่ให้ประชาชนรับรู้อะไรเกี่ยวกับการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา สิทธิเสรีภาพสื่อมวลชน โดยดูจากระเบียบ ข้อ 11 ที่จงใจไม่ให้สื่อมวลชนมาทำหน้าที่ แม้ไม่ได้ห้ามสื่อมวลชนโดยตรง เพราะในรัฐธรรมนูญจะถือว่าไปจำกัดการทำหน้าที่ของสื่อ แต่กกต.ไปพลิกแพลงห้ามผู้สมัครหรือผู้ช่วยผู้สมัครไม่ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อแทน รวมถึงห้ามแจกใบปลิว ห้ามติดป้ายประกาศ ห้ามลงสื่อออนไลน์ จึงเป็นการเลือกตั้งที่แปลกประหลาดมากที่ไม่ต้องการให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารใดๆทั้งสิ้น แต่จำกัดข้อมูลอยู่แต่ผู้สมัครด้วยกัน ก็หมายความว่าผู้สมัครต้องส่งไลน์หรือสร้างไลน์กลุ่มขึ้นมาส่งประวัติเท่านั้น
การเลือกไขว้แย่กว่าการจับฉลาก
นายจาตุรนต์กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ในระบบกติกาแบบนี้ต้องการให้สว.เป็นตัวแทนกลุ่มอาชีพต่าง ๆ แต่วิธีการเลือกแบบไขว้คือ ผู้ที่จะเป็นตัวแทนกลุ่มอาชีพที่ได้รับเลือกในขั้นตอนสุดท้ายจะมาจากการเลือกของผู้ที่อยู่ในอาชีพอื่นเป็นหลัก ดังนั้น การเลือกคนในกลุ่มอาชีพใดกลุ่มอาชีพหนึ่งนี้ โดยไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย แล้วประชาชนก็ไม่ได้มามีส่วนเกี่ยวข้อง หมายความว่าจะไม่มีหลักประกันอะไรว่าผู้ที่ได้รับเลือกเหมาะสมจะเป็นตัวแทนกลุ่มอาชีพได้จริง การทำแบบนี้จะทำให้การเลือกตั้งแย่กว่าการจับฉลาก จะเลวร้ายกว่ามาก เพราะแทนที่ กกต.จะไปให้ความสำคัญ กับการป้องกันการทุจริต เช่น คนมีอำนาจ คนมีเครือข่าย คนมีเงินมากๆจะได้เปรียบมาก ที่สามารถจะจ้างคนจำนวนมากๆไปสมัคร แต่ กกต.กลับไม่เน้นเรื่องนี้
นายจาตุรนต์ยังระบุด้วยว่า ที่แย่ไปกว่านั้น กกต.ไม่เข้าใจว่าการป้องกันทุจริตเหล่านี้ที่ดีที่สุดคือ การให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนให้มากที่สุด ประชาชนถึงจะช่วยป้องกัน ช่วยตรวจสอบ ฉะนั้นการแนะนำการเชิญชวน ให้มาสมัครกันมากๆก็ดี การให้ข้อมูลข่าวสารต่อประชาชนให้มากๆก็ดี หรือการให้ผู้ที่สมัครหรือผู้ช่วยผู้สมัครสามารถสื่อสารกับประชาชนได้ จึงไม่ใช่เรื่องควรห้าม แต่ควรส่งเสริมอย่างจริงจัง
ระเบียบกกต.ขัดเสรีภาพปชช.
“เปรียบเทียบได้จากเงื่อนไขการเลือกตั้งสส. ที่ห้ามจูงใจด้วยการสัญญาว่าจะให้ ห้ามจัดมหรสพ หรือการข่มขู่ แต่จูงใจได้ถ้าทำโดยสุจริต ทั้งจูงใจให้ไปเลือกตั้งหรือแม้กระทั่งจูงใจให้ไปเลือกผู้สมัครแต่ละคน ซึ่งตรงข้ามกับกฎระเบียบการเลือกสว. ที่ห้ามจูงใจให้คนไปสมัคร และห้ามให้ข้อมูลแก่ประชาชน และเราจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้สมัครเป็นที่ยอมรับของคนในอาชีพนั้นหรือไม่ ผู้สมัครมีความคิดอย่างไรเกี่ยวกับป้องกันทุจริตคอรัปชั่น มีความคิดอย่างไรเกี่ยวกับการดูแลให้ได้องค์กรอิสระ หรือเวลาจะรับรอง ประธานตุลาการ ศาลปกครอง อัยการ การไปทำหน้าที่สำคัญทั้งหลายเหล่านี้ คนที่ไปสมัครมีความคิดอย่างไร จึงจะไม่มีใครรู้ ดังนั้น ระเบียบของ กกต.จึงขัดต่อหลักการสำคัญของประชาธิปไตยคือสิทธิเสรีภาพของประชาชน และหลักการที่สำคัญคือ “สมาชิกวุฒิสภาต้องเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย” แต่จะเป็นตัวแทนปวงชนชาวไทยได้อย่างไร ในเมื่อประชาชนไม่รู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับพวกคุณเลย”นายจาตุนต์กล่าว
‘นิพิฏฐ์’ลั่นไม่ลง‘สว.-ท้องถิ่น’
ด้านนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ“ผมไม่ครับ” ระบุว่า 1.ไม่สมัคร สว. เพราะตนลงมติไม่เห็นชอบกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ และการเลือกสว. มีกระบวนการยุ่งยาก ซับซ้อน ไม่สะท้อนความเป็นตัวแทนที่แท้จริงของประชาชน ตนเป็นสส. มา 8 สมัย เคยเป็นรัฐมนตรีกับเขามาบ้าง รู้ว่า สว.ในระบบการเมืองไทย ทำอะไรได้บ้าง ถ้าสว.มีหน้าที่กลั่นกรองกฎหมาย ตรวจสอบ,เลือกองค์กรอิสระ ฯลฯ ดูรายชื่อผู้ที่ประกาศตัวมาแล้ว ตนไม่อาจอหังการพูดว่าตนทำหน้าที่ได้ดีกว่า แต่ตนน่าจะพูดได้ว่า ตนทำหน้าที่ได้ไม่แพ้ใคร แต่ใจไม่รัก สว. 2. ส่วนนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ก็อย่าระแวงตนเลย ตนเคยเป็นสมาชิกสภาจังหวัด เคยเป็นประธานสภาจังหวัดมาแล้ว 2 สมัย ตนไม่รักและไม่ถนัดการเมืองท้องถิ่นอีกแล้ว 3.ตนถนัดและรักสองเรื่องคือ การเป็นสส. และนักกฎหมาย เมื่อประชาชนไม่เลือกเป็นสส.ตนก็กลับมารักและหลงใหลในอาชีพนักกฎหมาย แม้จะขัดใจกระบวนการยุติธรรม และรำคาญ ทนายความเพื่อนร่วมอาชีพกันตนก็ตาม 4.ยังคงขอใช้สิทธิแสดงความเห็นทางการเมืองไปด้วยในฐานะพลเมืองคนหนึ่ง และ 5.เนื่องจากตนสมาทานเป็นนัก “เสรีนิยมประชาธิปไตย” และหันหลังให้ “ประชาธิปไตย” ไปแล้ว หากการเมืองยังเป็นเช่นนี้ สมัยหน้าตนคงเดินเข้าคูหา แล้วไม่เลือกพรรคใดและผู้สมัครรายใด เชิญบรรดานักการเมืองและประชาชนชาวไทย ละเลงประเทศนี้กันตามสบาย
เลือกสว.ขึ้นกับรธน.-กกต.แก้ระเบียบไม่ได้
ด้านนายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงกรณีมีการทักท้วงรูปแบบการคัดเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) กกต.จะนำไปปรับปรุงหรือไม่ว่า รูปแบบการเลือกตั้งคงแก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะขึ้นอยู่กับรัฐธรรมนูญ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.บ.) ไม่ใช่กกต. เป็นคนกำหนด สิ่งที่ กกต. ทำได้คือ เรื่องการแนะนำตัวระเบียบ
“กรณีประชาชนไม่มีสิทธิ์เลือก หรือรูปแบบการเลือก เป็นไปตามกฎหมาย ไม่ใช่ กกต. แก้อะไรไม่ได้แน่นอน ส่วนการแนะนำตัว ก็มาจากกฎหมาย เราไม่ได้ทำเกินกฎหมาย กฎหมายบอกว่า ให้แนะนำตัวกับผู้มีสิทธิ์เลือก ซึ่งคือผู้สมัครด้วยกันเอง ระเบียบก็ออกมาแบบนี้”เลขาฯกกต.ระบุ
และว่า แต่เราตระหนักความสำคัญของประชาชน เพราะสุดท้ายสว.ถึงจะไม่ได้เลือกโดยตรงจากประชาชน แต่ก็เป็นตัวแทนปวงชนชาวไทย เพราะต้องทำหน้าที่แทน ทั้งนี้ ประชาชนมีสิทธิ์ติดตาม ตรวจสอบ สังเกตการณ์ ตั้งแต่หลังปิดรับสมัคร เนื่องจากระหว่างสมัคร ไม่สามารถเปิดเผยรายชื่อได้ เพราะจะมีส่วนได้เสียระหว่างกลุ่มต่างๆ โดยเราจะนำชื่อของผู้สมัคร สว.ทุกคนลงในแอปพลิเคชัน สมาร์ทโหวต และนำไปไว้ในเว็บไซต์ของสำนักงาน กกต. ประชาชนจะทราบทั้งรายชื่อ ประวัติส่วนตัว การทำงาน ประสบการณ์ของผู้สมัคร สว.ทุกคน และผู้สมัคร สว.ก็สามารถติดต่อกันได้ในช่องทางต่างๆ ที่อยู่ในแบบ สว.3 เพื่อให้เขาได้แนะนำตัวเองไม่ว่าจะในกลุ่มหรือข้ามกลุ่ม
วันคัดเลือกถ่ายทอดสดให้สื่อ-ปชช.ติดตาม
นายแสวงยังกล่าวถึงจำนวนผู้สมัครว่า ขณะนี้ ยังไม่ทราบ แต่ในชั้นระดับจังหวัดจะเหลือ 55,000 คน มีข้อมูลทุกกลุ่มสาขาอาชีพ ระดับประเทศ ประชาชนสามารถติดตามได้ตลอด และในวันคัดเลือกเราจะถ่ายทอดกล้องวงจรปิดจากทุกที่ ตั้งแต่การให้ผู้สมัครเข้าไปนั่งรอลงคะแนน เพื่อให้สื่อมวลชนและประชาชนได้สังเกตการณ์ภายในได้ตลอด ทั้งระดับอำเภอ 928 อำเภอ ชั้นระดับจังหวัด 77 จังหวัด และในระดับประเทศ คาดว่าจะเป็นที่เมืองทองธานี อีกหนึ่งแห่ง
นายแสวงย้ำว่า ด้วยระบบนี้ คิดว่าเพียงพอที่จะทำให้ทั้งประชาชนและผู้สมัครมีข้อมูลพิจารณาเลือกผู้สมัครด้วยกันเองได้ ส่วนกรณีที่ขณะนี้มีผู้สมัครบางคนออกมาประกาศตัวลงสมัครนั้น ไม่ได้ผิดกฎหมาย การเปิดตัวและการเชิญชวนสามารถทำได้ กกต.เองก็เชิญชวน เพียงแต่ขอให้เป็นคนที่มีคุณสมบัติ ไม่มีลักษณะต้องห้าม และเป็นผู้มีประสบการณ์ในกลุ่มที่จะลงสมัคร ย้ำว่าไม่ได้มีข้อห้ามอะไรในการทำแบบนี้
ส่วนกรณีของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า นายแสวงกล่าวว่า ตนตอบไปแล้ว ไม่ว่าใครจะเป็นคนทำ นาย ก. นาย ข. จะทำแบบนี้ ก็ทำได้
ไทม์ไลน์เลือกสว.ต่างจากสส.
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล ออกมาระบุว่า ยังไม่มีความชัดเจน เรื่องวันประกาศและไทม์ไลน์ นายแสวงกล่าวว่า เรื่องเวลาของ สว. ไม่เหมือนเวลาของ สส. ที่ต้องกำหนดว่า ต้องเลือกตั้งภายในกี่วัน แต่สว. จะนับหนึ่งก็ต่อเมื่อมีพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ซึ่งขณะนี้ยังไม่โปรดเกล้าฯ ลงมา จากนั้นจะเข้ากระบวนการว่ากระบวนการใดใช้เวลาเท่าไหร่ มีเวลาแต่ละกระบวนการ รวมแล้วไม่เกิน 60 วัน
เมื่อถามว่า หากมี พ.ร.ฎ.ออกมาแล้ว ผู้สมัครสามารถเผยแพร่ประวัติ หรือข้อมูล รวมถึงการแนะนำตัว ผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือโซเชียลมีเดียได้หรือไม่ นายแสวง กล่าวว่า ในระเบียบแนะนำตัว สามารถทำผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ แต่แนะนำตัวได้แค่กับผู้สมัครด้วยกันเอง เพราะรัฐธรรมนูญให้ผู้สมัครเลือกกันเอง เขาก็ต้องแนะนำกันเอง
ยันมีมาตรการสกัดโกง-ฮั้วเลือกตั้ง
ถามถึงข้อปฏิบัติของสื่อมวลชน ในการสัมภาษณ์ และแนะนำตัวผู้สมัครก่อนหน้านี้ต้องลบ หรือซ่อนเนื้อหาหรือไม่ นายแสวง ระบุว่า ที่ผ่านมายังไม่เห็นอะไรที่ผิดกฎหมาย เราดูทั้งสื่อ ทั้งพฤติการณ์ของกลุ่มผู้ที่คิดว่าจะสมัคร จากการรวบรวมยังไม่มีอะไรที่หมิ่นเหม่ หรือล่อแหลมจะผิดกฎหมาย
นายแสวงยังระบุด้วยว่า พูดถึงสื่อ ระเบียบการแนะนำตัวออกมาใช้กับผู้สมัครเท่านั้น ไม่ได้บังคับใช้กับสื่อ สื่อจึงรายงาน เสนอ วิเคราะห์ ให้ความเห็น จัดเวที หรืออะไรได้หมด แต่ให้ระวังกฎหมายอื่น ที่อาจไปหมิ่นประมาทผู้สมัคร หากเป็นข้อเท็จจริง ก็นำเสนอได้ ไม่มีข้อห้ามแต่อย่างใด สำหรับกลไกป้องกันการทุจริตหรือการฮั้วเลือกตั้งนั้น ด้วยตัวระบบ กฎหมายออกแบบมาเพื่อป้องกันการฮั้วอยู่แล้ว เรามีมาตรการ ทุกพื้นที่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี