วันที่ 14 พฤษภาคม 2567) เวลา 10.00 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 3/2567 ณ ห้องประชุมพะนอมแก้วกำเนิด ชั้น 2 อาคารสุเมธตันติเวชกุล มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี ตำบลนาวุ้ง อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตพื้นที่ตำบลธงชัย และตำบลแม่รำพึง อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นพื้นที่ใช้มาตรการในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตพื้นที่ตำบลธงชัย และตำบลแม่รำพึง อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นพื้นที่ใช้มาตรการในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญ
ทส. เสนอว่า พระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 มาตรา 21 บัญญัติให้เพื่อป้องกันปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง และป้องกันความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ มีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อกำหนดเขตพื้นที่ที่จะใช้มาตรการในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง
ปัจจุบันปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งมีความรุนแรงและเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน จึงมีการดำเนินการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่ไม่เหมาะสม ซึ่งทำให้เกิดการรบกวนสมดุลของตะกอนชายฝั่งจนอาจทำให้เสถียรภาพชายฝั่งพังลง จนทำให้ชายฝั่งเกิดการกัดเซาะ ประกอบกับปัจจุบันไม่มีมาตรการในการป้องกันและรักษาการกัดเซาะชายฝั่ง รวมถึงมาตรการที่ควบคุมกิจกรรมที่รบกวนเสถียรภาพชายฝั่ง
ดังนั้น เพื่อเป็นการกำกับ และควบคุมมิให้เกิดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ทส. จึงได้จัดทำร่างกฎกระทรวงกำหนดเขตพื้นที่ตำบลธงชัย และตำบลแม่รำพึง อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นพื้นที่ใช้มาตรการในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง พ.ศ. .... ขึ้น ซึ่งในคราวประชุมคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2564 เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2564 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบด้วยกับร่างกฎกระทรวงดังกล่าวแล้ว โดยร่างกฎกระทรวงดังกล่าวมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. กำหนดนิยามคำว่า “แนวชายฝั่งทะเล” หมายความว่า แนวที่น้ำทะเลขึ้นสูงสุดตามปกติทางธรรมชาติ รวมถึงแนวเนินทรายธรรมชาติ ยกเว้นพื้นที่กรรมสิทธิ์ หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดินของบุคคลใดซึ่งมิใช่หน่วยงานของรัฐ
2. ให้พื้นที่ตั้งแต่แนวชายฝั่งทะเลออกไปในทะเลเป็นระยะ 1,000 เมตร ของตำบลธงชัยและตำบลแม่รำพึง อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ภายในแนวเขตตามแผนที่แนบท้ายกฎกระทรวง เป็นเขตพื้นที่ใช้มาตรการในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง ทั้งนี้ มาตรการตามกฎกระทรวงนี้ไม่ใช้บังคับแก่การดำเนินการเพื่อประโยชน์ในราชการของกองทัพเรือ
3. กำหนดมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ได้แก่
3.1 การปลูกป่าชายหาดหรือป่าชายเลนจะต้องดำเนินการเพื่อช่วยเสริมหรือทดแทนพันธุ์ไม้ให้เป็นไปตามสภาพตามธรรมชาติเดิม และต้องแจ้งให้อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทราบ
3.2 ห้ามมิให้ดำเนินการ เช่น การถ่ายเททราย เติมทราย ปักเสาดักตะกอน ฯลฯ เว้นแต่ได้จัดทำมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง โดยผ่านความเห็นชอบจากอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
3.3 ห้ามมิให้ดำเนินการสร้างเขื่อนกันคลื่นนอกชายฝั่งและรอดักทราย
4. กำหนดให้การใช้ประโยชน์ในพื้นที่จะต้องดำเนินการ ดังนี้
4.1 ห้ามมิให้สร้างสิ่งปลูกสร้างและถนนบนสันทรายและเนินทราย
4.2 ห้ามมิให้สร้างเขื่อนกันทรายและคลื่นปากร่องน้ำ
4.3 ห้ามมิให้ถมที่ดินในทะเล
4.4 ห้ามดำเนินการใด ๆ ที่อาจก่อให้เกิดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง เว้นแต่ได้จัดทำมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง โดยผ่านความเห็นชอบจากอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
5. กำหนดให้การจัดทำมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งต้องมีสาระสำคัญอย่างน้อย ได้แก่ ข้อมูลทั่วไป รายการตรวจสอบข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม รายการผลกระทบสิ่งแวดล้อม และรายการแสดงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ มาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม มาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมในระยะก่อสร้าง และระยะดำเนินการ
6. กรณีพบว่าการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมใดที่ได้ดำเนินการก่อนกฎกระทรวงนี้มีผลใช้บังคับ ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งหรือก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางธรณีสัณฐาน หรือสภาพทางธรรมชาติของชายฝั่งเปลี่ยนไปจากเดิม ให้เจ้าของโครงการหรือกิจกรรมรายงานต่อกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งโดยเร็ว เพื่อที่จะได้กำหนดวิธีการใด ๆ เพื่อให้เจ้าของโครงการหรือกิจกรรมปฏิบัติตามต่อไป
เศรษฐกิจ-สังคม
2. เรื่อง รายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการร่วมใจภักดิ์ รักษ์สิ่งแวดล้อม เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการร่วมใจภักดิ์ รักษ์สิ่งแวดล้อม เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
เนื่องด้วยคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 มอบหมายให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐดำเนินมาตรการรักษาความสะอาดในพื้นที่สาธารณะต่าง ๆ ในความรับผิดชอบให้ทั่วถึงและต่อเนื่อง เช่น ถนน พื้นที่ทางเท้า สวนสาธารณะ แหล่งน้ำ บริเวณที่ทิ้งขยะและสิ่งปฏิกูล เพื่อให้การตกแต่งสถานที่ ประดับไฟและธงเฉลิมพระเกียรติและการใช้ตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 เป็นระเบียบเรียบร้อย เหมาะสมและสมพระเกียรติ และมอบหมายให้กระทรวงยุติธรรม (กรมราชทัณฑ์) ประสานงานกับกระทรวงมหาดไทย กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำนักโทษที่กรมราชทัณฑ์พิจารณาคัดเลือกเข้าร่วมทำกิจกรรมสาธารณะประโยชน์ต่าง ๆ นอกเรือนจำ ตามความเหมาะสม เช่น การขุดลอกคูคลอง การลอกท่อระบายน้ำ ประกอบกับเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2567 นายกรัฐมนตรี (นายเศรษฐา ทวีสิน) ได้สั่งการให้กระทรวงยุติธรรม จัดกิจกรรมแสดงพลังในการทำความดีของกลุ่มผู้ต้องราชทัณฑ์และผู้ที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมในลักษณะที่เป็นงานบริการสาธารณะ เพื่อชดเชยความเสียหายที่เคยได้กระทำกลับคืนสู่สังคม พร้อมให้ประสานกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้กลุ่มผู้ต้องขังร่วมดำเนินกิจกรรม เช่น ปลูกป่า เก็บขยะพื้นที่ชายฝั่งทะเล ขุดลอกคูคลอง ท่อระบายน้ำ เพื่อแสดงพลังในการทำความดีเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567
ในการนี้ กระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ร่วมกันจัดทำโครงการร่วมใจภักดิ์ รักษ์สิ่งแวดล้อม เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยมีวัตถุประสงค์ในการจัดกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ตลอดปี พ.ศ. 2567 เพื่อพัฒนาพื้นที่ให้มีสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นเพื่อประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตของประชาชน และเป็นการให้โอกาสแก่ผู้กระทำผิดได้ชดเชยความเสียหายที่เคยได้กระทำให้กับสังคม อีกทั้งได้เพิ่มพูนทักษะความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยมีกิจกรรมหลักของโครงการฯ จำนวน 5 กิจกรรม ได้แก่
1) กิจกรรมปลูกป่าและการเพิ่มพื้นที่สีเขียว
2) กิจกรรมการเก็บขยะชายฝั่ง
3) กิจกรรมขุดลอกคูคลองพัฒนาแหล่งน้ำและการขุดลอกท่อระบายน้ำ
4) กิจกรรม Green Justice ยุติธรรมพิทักษ์สิ่งแวดล้อม
5) กิจกรรมการอบรมให้ความรู้ทางด้านการอนุรักษ์หลักสูตรสิ่งแวดล้อม
โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในกระบวนการยุติธรรม ประกอบด้วย ผู้ต้องขังของกรมราชทัณฑ์ ผู้ถูกคุมประพฤติของกรมคุมประพฤติ และเด็กและเยาวชนที่กระทำผิดของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรมได้กำหนดวันเริ่มต้นโครงการร่วมใจภักดิ์ รักษ์สิ่งแวดล้อมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 เพื่อดำเนินการจัดกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์โดยพร้อมเพรียงกันทั่วประเทศ ในวันพุธที่ 15 พฤษภาคม 2567 และมีกำหนดจัดพิธีเปิดโครงการฯ ในวันดังกล่าว ณ ทัณฑสถานเกษตรอุตสาหกรรมเขาพริก จังหวัดนครราชสีมา โดยได้กราบเรียนเชิญนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
3. เรื่อง ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณโครงการก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟ จุดตัดทางรถไฟกับถนนสาย พบ.1010 แยก ทล.4 - บ้านหนองโรง อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี 1 แห่ง ของกรมทางหลวงชนบท
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณโครงการก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟ จุดตัดทางรถไฟกับถนนสาย พบ.1010 แยก ทล.4 - บ้านหนองโรง อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี 1 แห่ง ของกรมทางหลวงชนบท (โครงการก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟฯ) จากเดิม จำนวน 138.60 ล้านบาท เป็น จำนวน 152.67 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 14.07 ล้านบาท) และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณจาก ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 -2562 เป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 – 2569 ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
คค. รายงานว่า
1. กรมทางหลวงชนบทได้ว่าจ้างเอกชนให้ดำเนินโครงการก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟฯ วงเงินค่างานตามสัญญา 111.9 ล้านบาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 - 2562 ซึ่งอยู่ภายในวงเงินที่สำนักงบประมาณ (สงป.) ได้เห็นชอบความเหมาะสมของราคาค่าก่อสร้างรายการดังกล่าว จำนวน 111.9 ล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้าง 720 วัน (เริ่มก่อสร้างวันที่ 1 มิถุนายน 2560 และกำหนดแล้วเสร็จภายในวันที่ 21 พฤษภาคม 2562) แต่เนื่องจากผู้รับจ้างดำเนินการล่าช้ากว่าแผนและไม่สามารถปฏิบัติงานได้ตามเงื่อนไขสัญญา กรมทางหลวงชนบทจึงได้บอกยกเลิกสัญญากับผู้รับจ้าง ซึ่งกรมทางหลวงชนบทได้เบิกจ่ายให้ผู้รับจ้างไปแล้ว 28.38 ล้านบาท ทั้งนี้กรมทางหลวงชนบทได้ตรวจสอบผลงานที่ได้ดำเนินการไปแล้ว มีงานบางส่วนไม่อยู่ในสภาพที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ รวมกับปริมาณงานส่วนที่เหลือที่ต้องการดำเนินการเพิ่มเติมตามความจำเป็น กรมทางหลวงชนบทจึงได้ประมาณการราคากลางใหม่ วงเงิน 135.38 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 690 วัน
2. ต่อมากรมทางหลวงชนบทได้ดำเนินการประกวดราคาจ้างด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2566 และจัดจ้างเอกชนเพื่อมาดำเนินโครงการก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟฯ ต่อ ในวงเงิน 124.29 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าราคากลางเป็นจำนวน 11.09 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.19 (ราคากลาง 135.38 ล้านบาท) โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 690 วัน ซึ่งกรมทางหลวงชนบทได้มีหนังสือถึง สงป. ขอให้พิจารณาความเหมาะสมของราคาค่าก่อสร้างดังกล่าวแล้วด้วย
3. สงป. พิจารณาแล้วเห็นว่า หากกรมทางหลวงชนบทได้ตรวจสอบผลงานที่ได้ดำเนินการไปแล้ว และปริมาณงานส่วนที่เหลือต่อเนื่องจากผู้รับจ้างรายเดิมที่บอกเลิกสัญญาดังกล่าว โดยคำนึงถึงความจำเป็นในการก่อสร้างให้แล้วเสร็จอย่างละเอียดรอบคอบและถูกต้อง เป็นไปตามหลักวิศวกรรม และประโยชน์สูงสุดของทางราชการที่จะได้รับและไม่ทำให้ทางราชการเสียประโยชน์ และได้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน จึงเห็นชอบความเหมาะสมของราคารายการโครงการก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟฯ (ส่วนที่ยังไม่ได้ดำเนินการ) ในวงเงิน 124.29 ล้านบาท โดยให้เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ที่กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี จำนวน 74.38 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ จำนวน 49.91 ล้านบาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เมื่อรวมกับวงเงินงบประมาณที่เบิกจ่ายไปแล้ว จำนวน 28.38 ล้านบาท รวมเป็นวงเงินค่าก่อสร้างทั้งสิ้น 152.67 ล้านบาท ซึ่งมีวงเงินและระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเกินกว่าที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ (วงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ จำนวน 138.60 ล้านบาท เกินวงเงิน จำนวน 14.07 ล้านบาท) จึงขอให้กรมทางหลวงชนบทนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จาก ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 - พ.ศ. 2562 เป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 - พ.ศ. 2569 ก่อนลงนามในสัญญาจ้าง ตามนัยข้อ 7 (3) ของระเบียบว่าด้วยการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 อนึ่ง กรณีที่บอกเลิกสัญญาและแจ้งให้ผู้รับจ้างรายเดิมเป็นผู้ทิ้งงานทำให้ค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้นดังกล่าว กรมทางหลวงชนบทจะต้องตรวจสอบและดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
4. เรื่อง รายงานความคืบหน้าการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาท เท่ากันทั่วประเทศ
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาท เท่ากันทั่วประเทศ ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ
สาระสำคัญ
รง. รายงานว่า
1. เดิมคณะรัฐมนตรีมีมติ (26 ธันวาคม 2566) รับทราบประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 12) ลงวันที่ 8 ธันวาคม 2566 เพื่อลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป โดยคณะกรรมการค่าจ้าง1 ได้กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี 2567 จำแนกเป็น 17 อัตรา อัตราวันละ 330-370 บาท ในกรุงเทพมหานครและ 76 จังหวัด
2. ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติ (2 เมษายน 2567) รับทราบประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำประเภทกิจการโรงแรม ลงวันที่ 27 มีนาคม 2567 เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน 2567 เป็นต้นไป เพื่อใช้สำหรับนายจ้างและลูกจ้างที่ทำงานในสถานประกอบกิจการประเภทกิจการโรงแรมระดับ 4 ดาวขึ้นไป และมีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป ในพื้นที่ 10 จังหวัดนำร่อง2 ในเขตพื้นที่ที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวสูง โดยให้ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่ม เป็นอัตราวันละ 400 บาท (ปรับเพิ่มอัตรา วันละ 30-55 บาท แล้วแต่เขตพื้นที่)
3. สืบเนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ราคาน้ำมันมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในการครองชีพของผู้ใช้แรงงานมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นหรือมีการปรับลดขนาดหรือปริมาณลง จึงสมควรที่จะทบทวนการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี 2567 อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การพิจารณากำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของคณะกรรมการค่าจ้าง3 เป็นไปด้วยความรอบคอบ เหมาะสม เป็นธรรม อยู่บนพื้นฐานของความเสมอภาคเป็นที่ยอมรับร่วมกันของทุกฝ่าย และไม่เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศหรือมีผลกระทบต่อราคาสินค้าและอัตราเงินเฟ้อ รง. จึงมีแนวทางการดำเนินการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาท เท่ากันทั่วประเทศ ดังนี้
การดำเนินการ |
ช่วงเวลาดำเนินการ |
(1) กำหนดให้มีการสำรวจค่าใช้จ่ายที่จำเป็นของแรงงานทั่วไปแรกเข้าทำงานในภาคอุตสาหกรรม ปี 2567 |
เดือนเมษายน-มิถุนายน 2567 |
(2) กำหนดให้มีการประชุมหารือผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสภาหอการค้าประเทศไทย |
เดือนพฤษภาคม 2567 |
(3) สำนักงานคณะกรรมการค่าจ้างเสนอคณะกรรมการค่าจ้างพิจารณากรอบแนวทางและหลักเกณฑ์การทบทวนความเหมาะสมของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด เพื่อให้การประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัดทุกจังหวัด และคณะอนุกรรมการวิชาการและกลั่นกรองเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดอย่างมีหลักวิชาการและเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ |
เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2567 |
(4) สำนักงานคณะกรรมการค่าจ้างเสนอคณะกรรมการค่าจ้างพิจารณาข้อเสนออัตราค่าจ้างขั้นต่ำของคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัดทุกจังหวัดและคณะอนุกรรมการวิชาการและกลั่นกรองเพื่อทบทวนการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี 2567 และเสนอประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้ |
เดือนกันยายน-ตุลาคม 2567 |
![]() |
1 เป็นองค์กรไตรภาคีตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ประกอบด้วย ตัวแทนฝ่ายนายจ้าง ฝ่ายลูกจ้าง และหน่วยงานภาครัฐ ฝ่ายละ 5 คนเท่ากัน
2ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดกระบี่ ชลบุรี เชียงใหม่ ประจวบคีรีขันธ์ พังงา ภูเก็ต ระยอง สงขลา และสุราษฎร์ธานี
3การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการค่าจ้าง ตามมาตรา 79 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2551
5. เรื่อง มาตรการชะลอการเก็บเกี่ยวมันสำปะหลัง ปี 2566/67
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ ดังนี้
1. รับทราบสถานการณ์การผลิตและการตลาดมันสำปะหลัง ปี 2566/67
2. รับทราบแนวทางการรักษาเสถียรภาพราคาหัวมันสด ปี 2566/67
3. เห็นชอบมาตรการชะลอการเก็บเกี่ยวมันสำปะหลัง ปี 2566/67 (มาตรการฯ) วงเงินงบประมาณ 56.963 ล้านบาท
สาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลัง (นบมส.) [รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) เป็นประธาน] ในคราวประชุม ครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2567 มีมติดังนี้
1.1 รับทราบสถานการณ์การผลิตและการตลาดมันสำปะหลังปี 2566/67 สรุปได้ดังนี้
1.1 การผลิต สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรพยากรณ์การผลิตมันสำปะหลัง ปี 2566/67 ณ เดือนมีนาคม 2567 โดยมีผลผลิตทั้งประเทศ 26.88 ล้านตัน ลดลง 3.74 ล้านตัน (ร้อยละ 12) เนื่องจากขาดแคลนท่อนพันธุ์ สภาวะอากาศร้อน/แล้ง รวมทั้งเสี่ยงต่อการเกิดโรคใบด่าง เพลี้ยไฟ และเพลี้ยแป้ง โดยผลผลิตกระจุกตัวช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2567 ปัจจุบันเก็บเกี่ยวแล้ว 23.50 ล้านตัน (ร้อยละ 87)
1.2 ราคาในประเทศ ณ วันที่ 3 พฤษภาคม 2567
ประเภท |
ราคา (บาทต่อกิโลกรัม) |
(1) มันสำปะหลัง เชื้อแป้งร้อยละ 25 |
3.20 |
(2) มันเส้น |
7.43 |
(3) แป้งมัน |
18.85 |
โดยราคามีแนวโน้มลดลงเนื่องจากเกษตรกรบางส่วนเร่งขุดผลผลิตที่ไม่ครบอายุออกจำหน่าย ประกอบกับสภาวะอากาศร้อนจัดส่งผลให้ผลผลิตต่อไร่ลดลงและมีเปอร์เซ็นต์เชื้อแป้งต่ำ สำหรับราคาส่งออกมันเส้นอยู่ที่ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม และแป้งมันอยู่ที่ 20.59 บาทต่อกิโลกรัม
1.3 การนำเข้า ปี 2567 ช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม มีปริมาณเพิ่มขึ้นร้อยละ 16 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สอดคล้องกับผลผลิตในประเทศที่ลดลง การส่งออก ลดลงร้อยละ 42 จากปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบทำให้มีวัตถุดิบไม่เพียงพอในการนำไปแปรรูปเพื่อส่งออก
1.2 เห็นชอบการรักษาเสถียรภาพราคาหัวมันสด ปี 2566/67 เพื่อให้การกำกับดูแลมันสำปะหลังเป็นประโยชน์แก่เกษตรกรและเกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย โดยสรุปประเด็นปัญหาและแนวทางแก้ไขได้ดังนี้
ปัญหา |
แนวทางแก้ไข |
(1) ผลผลิตภายในประเทศลดลงเนื่องจากโรคใบด่างมันสำปะหลังและสภาวะอากาศร้อน-แล้งสูงกว่าปกติ |
มอบหมายคณะอนุกรรมการบริหารจัดการศัตรูมันสำปะหลังบริหารจัดการศัตรูมันสำปะหลังรับไปพิจารณาดำเนินการปรับแผนการขยายท่อนพันธุ์ให้ครอบคลุมพื้นที่ระบาดภายในปี 2569 ทั้งพันธุ์ต้านทานโรค (พันธุ์ที่มีภูมิคุ้มกัน ไม่ติดโรค) และพันธุ์ทนทานต่อโรค (พันธุ์ที่มีความแข็งแรง ติดโรคได้ยาก แต่ยังติดโรคได้) รวมทั้งการส่งเสริมการเพาะปลูกด้วยระบบน้ำหยดเพื่อเพิ่มผลผลิตและรองรับการขยายท่อนพันธุ์ โดยจัดทำรายละเอียดโครงการ แผนดำเนินการกรอบวงเงินงบฯ และแหล่งเงินก่อนเสนอ นบมส. ในคราวประชุมครั้งถัดไป |
(2) การนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน |
- มอบหมายกรมศุลกากรกำกับดูแลการนำเข้ามันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังทั้งการนำเข้าทางด่านถาวรและจุดผ่อนปรน ให้เป็นไปตามระเบียบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประสานความร่วมมือหน่วยงานด้านความมั่นคง ป้องกัน สกัดกั้น การลักลอบนำเข้าทางช่องทางธรรมชาติอย่างเข้มงวด - มอบหมายกรมการค้าต่างประเทศเข้มงวดตรวจสอบมาตรฐานมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่นำเข้าและส่งออก ให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัด |
ทั้งนี้ หากราคารับซื้อหัวมันสำปะหลังในประเทศยังมีแนวโน้มลดลงไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ ให้กรมการค้าต่างประเทศพิจารณาใช้อำนาจตามความจำเป็นและเหมาะสมภายใต้อำนาจหน้าที่และกฎหมายที่มีเพื่อยกระดับมาตรการ โดยคำนึงถึงพันธกรณีระหว่างประเทศ
1.3 เห็นชอบมาตรการฯ โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้
หัวข้อ |
รายละเอียด |
วัตถุประสงค์ |
เพื่อดูแลเกษตรกรให้ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าต่อการเพาะปลูก โดยการชะลอการเก็บเกี่ยวผลผลิตให้ผ่านพ้นช่วงแล้ง ให้ได้รับฝนซึ่งจะทำให้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้นและเปอร์เซ็นต์แป้งสูงขึ้น และช่วยเหลือให้เกษตรกรมีเงินหมุนเวียนเป็นค่าใช้จ่ายในครัวเรือนระหว่างรอการเก็บเกี่ยว |
กลุ่มเป้าหมาย |
เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตรและยังไม่ได้เก็บเกี่ยวผลผลิตฤดูการผลิตปี 2566/67 ประมาณ 65,100 ครัวเรือน |
วิธีดำเนินการ |
เกษตรกรสมัครเข้าร่วมโครงการกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และ ธ.ก.ส. ตรวจสอบพื้นที่เพาะปลูกประเมินพื้นที่ที่ยังไม่ได้เก็บเกี่ยวและให้สินเชื่อแก่เกษตรกร ครัวเรือนละไม่เกิน 50,000 บาท (ไม่เกิน 20 ไร่/ครัวเรือน ไร่ละไม่เกิน 2,500 บาท) |
ระยะเวลาดำเนินการ |
- ระยะเวลาโครงการ : ตั้งแต่ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ – 30 เมษายน 2568 - ระยะเวลาสมัครเข้าร่วมโครงการ : ภายใน 30 มิถุนายน 2567 - ระยะเวลาจ่ายสินเชื่อ : ตั้งแต่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ – 31 กรกฎาคม 2567 - ระยะเวลาชดเชยดอกเบี้ย : เป็นระยะเวลา 6 เดือน นับแต่วันรับสินเชื่อแต่ไม่เกิน 31 มกราคม 2568 |
วงเงินสินเชื่อ |
3,255 ล้านบาท (65,100 ครัวเรือน x 50,000 บาท) |
งบประมาณ/แหล่งที่มา |
56.963 ล้านบาท โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 3.5 เกษตรกรสมทบในอัตราร้อยละ 1 ระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน [ธ.ก.ส. จ่ายค่าชดเชยดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการตามมาตรา 28 ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 และให้สำนักงบประมาณ (สงป.) ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 คืนให้ ธ.ก.ส. หรือแหล่งงบประมาณอื่นตามที่ สงป. จัดสรร] |
ทั้งนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และ สงป. พิจารณาแล้วเห็นควรรับทราบและเห็นชอบตามที่ พณ. เสนอ โดยมีความเห็นเพิ่มเติม ดังนี้
สศช. เห็นว่า พณ. ควรติดตามกำกับการดำเนินการให้ถูกต้องตามเงื่อนไขของมาตรการฯ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ โดยในส่วนของกรอบวงเงินงบประมาณ แหล่งเงิน และแนวทางดำเนินการที่เกี่ยวข้อง เห็นสมควรให้เป็นไปตามความเห็นของ สงป. และกระทรวงการคลัง (กค.) เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปอย่างเหมาะสมและถูกต้องตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ พณ. ควรร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการติดตามและกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาในอุตสาหกรรมมันสำปะหลังตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะปัญหาการแพร่ระบาดของโรคใบด่างที่ยังคงมีการระบาดในหลายพื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลัง ซึ่งจำเป็นต้องเร่งการขยายพันธุ์ทนทานและพันธุ์ต้านทานให้เพียงพอกับความต้องการของเกษตรกรและทันต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค และการกำหนดราคาการซื้อ - ขายที่เป็นธรรมสอดคล้องกับคุณภาพของสินค้า ตลอดจนการเพิ่มความเข้มงวดการตรวจสอบคุณภาพสินค้าและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังนำเข้าให้ได้ตามคุณภาพและมาตรฐานที่กำหนดและเร่งแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้ามันสำปะหลังจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างไม่ถูกต้อง เพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมมันสำปะหลังของประเทศไทย มีความสามารถในการแข่งขันกับประเทศคู่แข่งและสร้างรายได้ให้กับประเทศได้อย่างยั่งยืนต่อไป รวมทั้งส่งเสริมและยกระดับความสามารถของเกษตรกรในการบริหารความเสี่ยงและปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของสภาวะตลาดซึ่งจะช่วยลดภาระการคลังในการอุดหนุนของภาครัฐลงในอนาคตและสอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 เรื่อง การจัดทำมาตรการโครงการเพื่อสนับสนุนหรือ ให้ความช่วยเหลือเกษตรกร)
สงป. เห็นว่า เนื่องจากการดำเนินมาตรการดังกล่าวรัฐต้องชดเชยค่าใช้จ่ายส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย เข้าข่ายการดำเนินการตามนัยมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 จึงเห็นสมควรพิจารณาให้เป็นไปตามความเห็นของ กค. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระต่องบประมาณนั้น ให้ ธ.ก.ส. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินงานจริงต่อไป ทั้งนี้ เห็นควรให้ พณ. กษ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจัดทำระบบหรือกลไกในการตรวจสอบที่มีมาตรฐาน เพื่อให้สามารถรวบรวมข้อมูลได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน ไม่ซ้ำซ้อน และทันต่อสถานการณ์ โดยคำนึงถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ ทั้งในส่วนของข้อมูลด้านการลงทะเบียนเกษตรกร จำนวนเกษตรกร ปริมาณผลผลิตต่อไร่ จำนวนพื้นที่เพาะปลูก ตลอดจนพิจารณาดำเนินการในพื้นที่ที่มีเอกสารแสดงสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดินและตามกฎหมายอื่น รวมทั้งพื้นที่ที่มีเอกสารแสดงการอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในที่ดินที่หน่วยงานของรัฐออกให้เพื่อทำการเกษตร ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2556 (เรื่อง เอกสิทธิ์และสิทธิครอบครองประกอบการออกใบรับรองเกษตรกร) และกำหนดมาตรการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดวางระบบการตรวจสอบย้อนกลับที่มาของมันสำปะหลังในพื้นที่ผิดกฎหมาย และจัดทำระบบในการติดตาม ตรวจสอบ และควบคุมพื้นที่เพาะปลูกที่เข้าร่วมมาตรการฯ ให้ชะลอการเก็บเกี่ยวตามวัตถุประสงค์ของมาตรการฯ ที่กำหนดไว้อย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งการปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนจัดให้มีระบบการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ที่ได้รับจากการดำเนินการเพื่อให้มีข้อมูลในการบริหารงานอย่างถูกต้องครบถ้วนสำหรับประกอบการกำหนดนโยบายของภาครัฐที่เหมาะสมและยั่งยืน
6. เรื่อง แนวทางการสร้างมูลค่าที่ดินที่รัฐจัดให้กับประชาชน
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการแนวทางการสร้างมูลค่าที่ดินที่รัฐจัดให้กับประชาชน และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดรายละเอียดการดำเนินการตามแนวทางการสร้างมูลค่าที่ดินที่รัฐจัดให้ประชาชน ให้มีความชัดเจน เหมาะสม เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยรับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาด้วย ทั้งนี้ โดยยังคงหลักการว่า ที่ดินที่จัดให้กับประชาชนนั้นถือเป็นของรัฐและไม่อาจบังคับหลักประกันเพื่อชำระหนี้ได้ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สาระสำคัญโดยสรุป
แนวทางการสร้างมูลค่าที่ดินที่รัฐจัดให้กับประชาชนมีทั้งหมด 3 แนวทาง ประกอบไปด้วย
แนวทางที่ 1 การปรับปรุงกฎหมายและระเบียบ ประกอบด้วย
1. การปรับปรุงกฎหมายและระเบียบเพื่อลดข้อจำกัดในการแลกเปลี่ยน/โอนสิทธิที่ดิน เพื่อให้เกิดกลไกในการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ เฉพาะในกรณีผู้ได้รับสิทธิในที่ดินของรัฐไม่ชำระหนี้เงินกู้กับสถาบันการเงิน เพื่อให้ที่ดินนั้นสามารถโอนไปยังบุคคลอื่นที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนดได้ ในลักษณะเดียวกับการจัดทำบันทึกข้อตกลงระหว่าง ส.ป.ก. และ ธ.ก.ส. ที่กำหนดว่าหากผู้ได้รับสิทธิจากการปฏิรูปที่ดินไม่ชำระหนี้เงินกู้แก่ ธ.ก.ส. ที่ดินนั้นจะต้องสามารถการโอนไปยังบุคคลอื่นได้ กรณีผู้ได้รับสิทธิจากการปฏิรูปที่ดินยังไม่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจาก ส.ป.ก. จะต้องมีกลไกในการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ โดยการนำที่ดินนั้นไปจัดให้แก่เกษตรกรรายใหม่ ซึ่งยินยอมชำระหนี้แทนให้ ธ.ก.ส. หรือหากกรณีเป็นผู้ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจาก ส.ป.ก. แล้ว ให้ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ดังกล่าวตกลงกับ ส.ป.ก. เพื่อโอนสิทธิในที่ดินกลับไปยัง ส.ป.ก.
2. การปรับปรุงกฎหมายและระเบียบเพื่อลดข้อจำกัดการใช้ประโยชน์ที่ดินที่รัฐจัดให้กับประชาชน เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ที่ดินให้สอดคล้องกับศักยภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด เนื่องจากที่ดินแต่ละพื้นที่มีศักยภาพในการพัฒนาที่แตกต่างกัน โดยแนวทางในการลดข้อจำกัดการใช้ประโยชน์ที่ดิน ประกอบด้วย
(1) การจำแนกประเภทที่ดินเพื่อทราบศักยภาพซึ่งหน่วยงานของรัฐที่จัดที่ดินให้กับประชาชนควรเป็นหน่วยงานหลักในการสำรวจจำแนกประเภทที่ดินและจัดเก็บฐานข้อมูลศักยภาพที่ดินภายในขอบเขตพื้นที่รับผิดชอบของตน โดยมีกรมพัฒนาที่ดิน และกรมโยธาธิการและผังเมืองเป็นหน่วยงานสนับสนุน
(2) การปรับปรุงระเบียบให้มีการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อกิจการนอกเหนือการเกษตรกรรมได้ เช่น พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 อนุญาตให้เกษตรมีสิทธิขุดบ่อเพื่อการเกษตรกรรม ไม่เกินร้อยละ 5 ของเนื้อที่ที่ได้รับมอบและมีสิทธิปลูกสร้างสิ่งปลูกสร้างสำหรับโรงเรือนที่อยู่อาศัย ยุ้งฉาง หรือสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ ที่ใช้ประโยชน์เพื่อการเกษตรของเกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกรนั้นได้ตามสมควร หากประสงค์จะขุดบ่อเกินร้อยละ 5 ของเนื้อที่ที่ได้รับมอบ หรือปลูกสร้างสิ่งปลูกสร้างเกินสมควรจะต้องได้รับอนุญาต พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 รวมถึงกรณีการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล ไม่มีบทบัญญัติที่กำหนดให้การทำประโยชน์ในที่ป่าสงวนแห่งชาติจำกัดเพียงการทำเกษตรเท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติแล้วเป็นที่ยอมรับร่วมกันว่าเป็นการจัดที่ดินเพื่ออยู่อาศัยและเพื่อทำเกษตรเท่านั้น ไม่สามารถนำไปทำประโยชน์อย่างอื่นได้ เป็นต้น
(3) การกำหนดสัดส่วนการใช้ประโยชน์ที่ดินในกิจการอื่นนอกจากการเกษตร โดยกำหนดสัดส่วนขั้นต่ำของการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมไว้ป้องกันไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงสภาพของการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ต่างไปจากเจตนารมณ์หลักในการจัดที่ดินให้กับประชาชนเพื่อใช้สำหรับการทำเกษตรกรรม
(4) การส่งเสริมให้มีการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเหมาะสมตามศักยภาพ
แนวทางที่ 2 การกำหนดแนวทางการประเมินมูลค่าที่ดินและทรัพย์สินที่รัฐจัดให้กับประชาชน เพื่อเป็นกลไกสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุนแก่ประชาชนที่ได้รับการจัดที่ดินทำกินจากรัฐ โดยเกณฑ์ที่ควรนำมาพิจารณาในการประเมินมูลค่าที่ดินและทรัพย์สิน ได้แก่ (1) ทำเลที่ตั้ง (2) ลักษณะทางกายภาพของดิน(3) กฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาที่ดิน เช่น พระราชบัญญัติการผังเมือง การขออนุญาตก่อสร้าง เป็นต้น ซึ่งการวิเคราะห์มูลค่าที่ดินและทรัพย์สินที่รัฐจัดให้กับประชาชน สามารถดำเนินการได้ 2 รูปแบบ คือ การพิจารณาตามสิทธิในการซื้อขายและการพิจารณาตามรูปแบบการจัดที่ดิน
แนวทางที่ 3 การจัดให้มีระบบหรือสถาบันที่ให้สินเชื่อระยะปานกลางและระยะยาวให้แก่ประชาชนที่ได้รับการจัดที่ดินของรัฐและจัดให้มีระบบประกันความเสี่ยงในการอำนวยสินเชื่อ เพื่อเป็นแหล่งทุนแก่เกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับการจัดที่ดินจากรัฐแต่มีทุนและความสามารถในการเข้าถึงแหล่งทุนได้จำกัด ซึ่งที่ดินและทรัพย์สินที่ได้รับจัดสรรมาจากหน่วยงานของรัฐจะถูกกำหนดวัตถุประสงค์ในการใช้ประโยชน์ไว้แล้วและมีข้อจำกัดในการห้ามซื้อขายเปลี่ยนมือที่เป็นอุปสรรคในการพิจารณาสินเชื่อของสถาบันการเงินในการใช้ที่ดินดังกล่าวเป็นหลักประกัน รวมไปถึงต้นทุนทางธุรกรรมในการเข้าถึงสินเชื่อสำหรับเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยก็สูงผิดปกติ เนื่องจากจำเป็นต้องพึ่งพาแหล่งเงินกู้อื่น ๆ ที่มีหลักเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อที่ผ่อนปรนกว่าแต่มีอัตราดอกเบี้ย ค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมที่สูงกว่า ดังนั้น การจัดให้มีระบบหรือมีตัวกลางที่ทำหน้าที่อำนวยสินเชื่อระยะกลางและระยะยาวที่มีประสิทธิภาพ ก็เป็นแนวทางสำคัญอีกประการหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วย
1. ระบบค้ำประกันสินเชื่อ โดยอาจเพิ่มภารกิจในการค้ำประกันสินเชื่อให้แก่สถาบันการเงิน เช่น บสย. บจธ. เป็นต้น ให้สามารถครอบคลุมการให้สินเชื่อแก่เกษตรกร กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์และผู้มีรายได้น้อย หรืออาจจัดตั้งธนาคารเฉพาะกิจหรือกองทุนขึ้นใหม่เพื่อปฏิบัติภารกิจดังกล่าว
2. ระบบตรวจสอบ ติดตามสินเชื่อ ให้สถาบันการเงินหรือกองทุนผู้ให้สินเชื่อสามารถตรวจสอบการใช้เงินของลูกหนี้ว่ามีการใช้เงินสินเชื่อตามวัตถุประสงค์ เพื่อให้ใช้เงินสินเชื่อและการดำเนินกิจการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
3. ระบบออมทรัพย์ เพื่อสร้างวินัยทางการเงินให้แก่เกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย ซึ่งจะเป็นการลดความเสี่ยงในการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินหรือกองทุนอย่างเป็นระบบด้วย
การดำเนินการในเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์สำคัญคือเพื่อปลดข้อจำกัด ในการนำที่ดินของรัฐประเภทต่าง ๆ ให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ตามศักยภาพของที่ดินโดยไม่จำกัดเฉพาะการทำเกษตรกรรม และให้สามารถเกิดการเปลี่ยนตัวผู้ได้รับสิทธิในที่ดินในกรณีที่ผู้ได้รับสิทธิเดิมมีหนี้สินล้นพ้นตัวไม่สามารถชำระคืนสถาบันการเงินได้ก็จะมีการปรับแก้กฎระเบียบให้สามารถเปลี่ยนตัวผู้รับสิทธิในที่ดินเป็นรายอื่นที่ยินยอมจะชำระหนี้แทนผู้ได้รับสิทธิในที่ดินรายเดิมได้ นอกจากนี้ ยังจะปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อให้สามารถนำสิทธิในการใช้ประโยชน์ในที่ดินไปเป็นหลักประกันในการชำระหนี้จากสถาบันการเงินได้และจะมีการยกร่างมาตรฐานการประเมินมูลค่าที่ดินเพื่อให้การประเมินราคาที่ดินของรัฐเป็นไปด้วยมาตรฐานเดียวกัน ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวสอดคล้องกับคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2566 ในประเด็นการดำเนินนโยบายเพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์เพื่อสร้างโอกาสในการมีอาชีพ รายได้และความมั่นคงในชีวิต โดยเร่งดำเนินการให้ประชาชนมีสิทธิในที่ดินและนำไปต่อยอดให้เข้าถึงแหล่งทุนได้เพื่อนำมาพัฒนาที่ดินเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาวอีกทั้งยังเป็นไปในทางเดียวกันกับที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดำเนินการไปแล้ว ในกรณีการเปลี่ยน สปก. 4-01 ไปเป็นโฉนดเพื่อการเกษตรที่สามารถนำไปใช้ค้ำประกันเงินกู้ได้
7. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เกี่ยวกับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ EEC Visa แนวทางการให้สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกอบกิจการในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ และการพัฒนาเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เสนอ ดังนี้
1. รับทราบผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 3/2566 เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 ดังนี้
1.1 การตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ EEC Visa
1.2 แนวทางการให้สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกอบกิจการในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ (EEC)
2. รับทราบการปรับแนวทางดำเนินการโครงการเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (โครงการ EECd)1 โดยนำออกจากการดำเนินการภายใต้ประกาศ กพอ. เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการ ในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน พ.ศ. 2560 (ประกาศ กพอ. หลักเกณฑ์ฯ) ตามมติ กพอ. ในการประชุมครั้งที่ 5/2563 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2563
3. ให้ สกพอ. พิจารณาแนวทางการให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกอบกิจการในเขต EEC อย่างรอบคอบ โปร่งใส และเป็นธรรม รวมทั้งเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 อย่างเคร่งครัดด้วย ทั้งนี้ ให้ สกพอ. รับความเห็น ข้อสังเกต และข้อเสนอแนะของ กค. กต. กระทรวงคมนาคม ดศ. พน. มท. รง. และ สกท. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
4. ให้ สกพอ. สกท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางในการเชื่อมโยงข้อมูลของนักลงทุน โดยเฉพาะในส่วนของการให้สิทธิประโยชน์แก่นักลงทุน เพื่อให้มีการจัดทำและเชื่อมโยงข้อมูลกันอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพรวมทั้งให้พิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการบูรณาการการทำงานของศูนย์บริการนักลงทุนที่มีอยู่ในปัจจุบันร่วมด้วย ทั้งนี้ ในการดำเนินการดังกล่าวให้คำนึงถึงหลักความประหยัด คุ้มค่า มุ่งให้เกิดผลสัมฤทธิ์ และประโยชน์สูงสุดเป็นสำคัญ
เรื่องเดิม
1. คณะรัฐมนตรีมีมติ (6 กุมภาพันธ์ 2561) รับทราบผลการประชุมของ กพอ. ครั้งที่ 3/2560 เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2560 ซึ่งเห็นชอบให้โครงการ EECd เป็นหนึ่งในโครงการภายใต้ EEC Project List ซึ่งต่อมาได้มีประกาศ กพอ. กำหนดให้พื้นที่บริเวณอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี จำนวน 830 ไร่ เป็นเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ: EECd2
2. คณะรัฐมนตรีมีมติ (24 เมษายน 2562) ดังนี้
2.1 รับทราบผลการประชุมของ กพอ. ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2562 ซึ่งเห็นชอบหลักการโครงการ EECd เป็นโครงการหนึ่งในโครงการภายใต้ EEC Project List โดยให้บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) [ปัจจุบันคือ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน)] และ สกพอ. ดำเนินการในกระบวนการคัดเลือกเอกชนผู้ดำเนินโครงการ การกำกับดูแลและติดตามการว่าจ้างที่ปรึกษาในการคัดเลือกเอกชนผู้ดำเนินการโครงการ รวมทั้งการประสานงานกับหน่วยงานของรัฐอื่นที่เกี่ยวข้องร่วมกันเป็นหน่วยงานหลักในการรับผิดชอบในการดำเนินโครงการ EECd
2.2 ให้ สกพอ. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับและเร่งรัดการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ รวมทั้งให้ สกพอ. และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) [บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน)] พิจารณาจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงเพื่อรองรับในกรณีที่การดำเนินโครงการเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัลไม่สามารถขับเคลื่อนให้เป็นไปตามแผนการดำเนินการที่กำหนดไว้
สาระสำคัญของเรื่อง
สกพอ. รายงานว่า
1. การพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษ3 มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ผู้บริหาร หรือผู้ชำนาญการเฉพาะด้านที่ประเทศไทยขาดแคลนทั้งในมิติด้านจำนวนและคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในศาสตร์หรือองค์ความรู้ใหม่ ๆ ดังนั้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมที่มีการใช้นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีขั้นสูงที่ทันสมัยเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจึงควรจัดให้มีการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ (EEC Visa) เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่คนต่างด้าวที่มีศักยภาพและเป็นกลุ่มเป้าหมายให้เข้ามาทำงานในประเทศไทย
2. กพอ. ในคราวประชุมครั้งที่ 3/2566 เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการของ EEC Visa และแนวทางการให้สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกอบกิจการในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
2.1 หลักการของ EEC Visa
2.1.1 ประเภท คุณสมบัติ และสิทธิประโยชน์ สรุปได้ ดังนี้
ประเภท |
คุณสมบัติของผู้มีสิทธิที่จะได้รับ EEC Visa |
สิทธิประโยชน์จากการที่ได้รับ EEC Visa |
(1) ผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ (Specialist: “S”)” (2) ผู้บริหาร (Executive: “E”) (3) ผู้ชำนาญการ (Professional “P”)
|
(1) มีสัญญาจ้างกับผู้ประกอบกิจการหรือมีสัญญากับบุคคลอื่นที่กำหนดให้ต้องปฏิบัติงานเพื่อประโยชน์ของผู้ประกอบกิจการ (2) ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง (3) ต้องได้รับการรับรองคุณสมบัติจากผู้ประกอบกิจการ (4) มีลักษณะเพิ่มเติม ดังนี้ - กรณีเป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ : ต้องเป็นบุคคลผู้มีความรู้ความสามารถในด้านที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษหรือกิจการที่เกี่ยวเนื่องหรือเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษ - กรณีเป็นผู้บริหาร: ต้องเป็นบุคคลที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารงานมีอำนาจในการตัดสินใจที่เกี่ยวกับการประกอบกิจการ - กรณีเป็นผู้ชำนาญการ: ต้องเป็นบุคคลผู้มีประสบการณ์การทำงานในสายงานที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษหรือกิจการที่เกี่ยวเนื่องหรือเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษ ทั้งนี้ ต้องแสดงหลักฐานว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติตามลักษณะข้างต้น หมายเหตุ: คนต่างด้าวที่ถือวีซ่าประเภทอื่น สามารถเปลี่ยนประเภทเป็น EEC Visa ได้หากมีความจำเป็น |
สิทธิในการเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรตามจำนวนและระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตจากเลขาธิการ กพอ. สูงสุดไม่เกิน 10 ปี ทั้งนี้ ต้องไม่เกินระยะเวลาตามสัญญาจ้างสำหรับใช้เข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่จำกัด จำนวนครั้ง โดยประทับตราขาเข้าและอนุญาตให้เข้ามา และอยู่ในราชอาณาจักรในครั้งแรกเป็นเวลาไม่เกิน 5 ปี สิทธิในการรายงานตัวแจ้งที่พักอาศัยตามที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) กำหนด หรือรายงานตัวผ่านระบบออนไลน์ สิทธิ์ในการตรวจลงตรา/เปลี่ยนประเภท/ต่ออายุ Visa ณ สตม. ทุกแห่งในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก สิทธิในการนำคู่สมรสและบุคคลซึ่งอยู่ในอุปการะเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรตามความจำเป็นและเหมาะสม สิทธิในการทำงานโดยได้รับ EEC Work permit และไม่ต้องขอรับใบอนุญาตทำงานตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว สิทธิในการได้รับการลดหย่อนอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราคงที่ร้อยละ 17 สิทธิในการได้รับการอำนวยความสะดวกในการใช้ช่องทางพิเศษ (Fast track) ณ สนามบินนานาชาติ |
(4) คู่สมรสและบุคคลซึ่งอยู่ในอุปการะ (Other. “O”) |
(1) เป็นคู่สมรสและบุคคลซึ่งอยู่ในอุปการะของผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ผู้บริหาร หรือผู้ชำนาญการ (2) ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง |
สิทธิในการเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรตามจำนวนและระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตจากเลขาธิการ กพอ. สูงสุดไม่เกิน 10 ปี (ต้องไม่เกินระยะเวลาตามสัญญาจ้างของคู่สมรสและผู้อุปการะ) สำหรับใช้ได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง โดยประทับตราขาเข้าและอนุญาตให้เข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรในครั้งแรกเป็นเวลาไม่เกิน 5 ปี สิทธิในการรายงานตัวแจ้งที่พักอาศัยตามที่ สตม. กำหนด หรือรายงานตัวผ่านระบบออนไลน์ สิทธิในการได้รับการอำนวยความสะดวกในการใช้ช่องทางพิเศษ (Fast track) ณ สนามบินนานาชาติ |
หมายเหตุ * EEC Visa ประเภทผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ (ประเภท S) จะมุ่งเน้นการดึงดูดกลุ่มคนที่เป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ โดยพิจารณาจากการศึกษาเป็นสำคัญ โดยต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทขึ้นไปหรือเทียบเท่าและมีประสบการณ์ในด้านดังกล่าวไม่น้อยกว่า 3 ปี ส่วน EEC Visa ประเภทผู้ชำนาญการ (ประเภท P) มุ่งเน้นการดึงดูดกลุ่มคนที่เป็นผู้ชำนาญการ โดยพิจารณาจากประสบการณ์การทำงานเป็นสำคัญ โดยต้องมีประสบการณ์การทำงานไม่น้อยกว่า 5 ปี เว้นแต่เป็นกรณีที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์หรือองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นใหม่ ต้องมีประสบการณ์ไม่น้อยกว่า 1 ปี |
2.1.2 เงื่อนไขของการได้รับ EEC Visa สรุปได้ ดังนี้
(1) ผู้ประกอบกิจการต้องจัดให้มีกรมธรรม์ประกันสุขภาพ (คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ) แก่ผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ผู้บริหาร หรือผู้ชำนาญการ รวมทั้งคู่สมรสและบุคคลซึ่งอยู่ในอุปการะแต่ละรายตลอดระยะเวลาการอยู่ในราชอาณาจักร
(2) ผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ผู้บริหาร หรือผู้ชำนาญการ รวมทั้งคู่สมรสและบุคคลซึ่งอยู่ในอุปการะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) สตม. และหน่วยงานอื่นของรัฐที่เกี่ยวข้องประกาศกำหนด
(3) หากตรวจพบในภายหลังว่าผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ผู้บริหาร หรือผู้ชำนาญการ รวมทั้งคู่สมรสและบุคคลซึ่งอยู่ในอุปการะไม่มีคุณสมบัติตามที่กำหนด ให้เลขาธิการ กพอ. มีอำนาจเพิกถอนการอนุญาตให้เข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรของบุคคลดังกล่าว รวมทั้งการอนุญาตการทำงาน
2.1.3 ขั้นตอนและวิธีการขอรับการตรวจลงตรา EEC Visa สรุปได้ ดังนี้
(1) เมื่อ สกพอ. ได้รับแจ้งความประสงค์ของผู้ประกอบกิจการที่ได้รับอนุญาตจากเลขาธิการ กพอ. ที่จะนำผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญผู้บริหาร หรือผู้ชำนาญการ รวมทั้งคู่สมรสและบุคคลซึ่งอยู่ในอุปการะเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรแล้ว ให้ สกพอ. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบคุณสมบัติประวัติอาชญากรรมและพฤติการณ์การไม่เป็นบุคคลต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองหรือการอื่นใดที่เกี่ยวข้อง
(2) กรณีบุคคลดังกล่าวข้างต้นมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ให้เลขาธิการ กพอ. พิจารณาอนุญาตให้เข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรได้ตามจำนวนและระยะเวลาที่เลขาธิการ กพอ. กำหนด (สูงสุดคราวละไม่เกิน 10 ปี) โดย สกพอ. จะแจ้งผลการพิจารณาไปยังผู้ประกอบกิจการและบุคคลดังกล่าว พร้อมทั้งกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) สตม. หรือสถานที่อื่นที่ สตม. กำหนด เพื่อพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
(3) เมื่อได้รับอนุญาตจากเลขาธิการ กพอ. แล้ว ให้ยื่นขอรับ EEC Visa ได้จากสถานเอกอัครราชทูต หรือสถานกงสุลใหญ่ของไทยในต่างประเทศ หรือสถานที่อื่นใดที่ สตม. กำหนด สำหรับใช้ได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งภายในอายุการใช้งานการตรวจลงตราตามที่เลขาธิการ กพอ. อนุญาต และชำระค่าธรรมเนียมในอัตราปีละ 10,000 บาท เศษของปีคิดเป็น 1 ปี
(4) เมื่อได้รับอนุญาตให้เข้ามาและ อยู่ในราชอาณาจักรแล้ว ให้เลขาธิการ กพอ. พิจารณาออกหนังสืออนุญาตการทำงานและให้บุคคลดังกล่าวชำระค่าใช้จ่ายครั้งเดียวในอัตรารายละ 20,000 บาท โดยให้มีกำหนดเวลาเท่ากับระยะเวลาที่อนุญาตให้เข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักร และให้ สกพอ. จัดให้มีการจัดเก็บฐานข้อมูลและรายงานต่อกรมจัดหางานเพื่อทราบเป็นระยะ
2.2 แนวทางการให้สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกอบกิจการในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ (EEC)4 สรุปได้ ดังนี้
2.2.1 กรอบสิทธิประโยชน์สูงสุดสำหรับผู้ประกอบกิจการในเขต EEC เพื่อให้คณะกรรมการเจรจาใช้สำหรับดำเนินการเจรจากับผู้ขอรับสิทธิประโยชน์ สรุปได้ ดังนี้
(1) สิทธิประโยชน์ด้านภาษีอากร
สิทธิประโยชน์ |
รายละเอียด |
(1) ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่ได้จากการประกอบกิจการ |
ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ระยะเวลา 1 – 15 ปี นับแต่วันที่เริ่มมีรายได้จากการประกอบกิจการ ทั้งนี้ การยกเว้นดังกล่าวอาจกำหนดเป็นสัดส่วนของทุน โดยไม่รวมค่าที่ดินและเงินทุนหมุนเวียนด้วยก็ได้ |
(2) ลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่ได้จากการประกอบกิจการ |
กรณี ผู้ประกอบกิจการได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล [ตาม (1)] ไม่เกิน 8 ปี : - ลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราไม่เกินร้อยละ 50 ของอัตราปกติ ระยะเวลา 1 – 5 ปี นับจากวันที่การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลได้สิ้นสุดลง กรณี ผู้ประกอบกิจการไม่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล : - ลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราไม่เกินร้อยละ 50 ของอัตราปกติระยะเวลา 1 – 10 ปี |
(3) นำผลขาดทุนประจำปีที่เกิดขึ้นระหว่างเวลาที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลไปหักออกจากกำไรสุทธิที่เกิดขึ้นภายหลังระยะเวลาได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล |
นำผลขาดทุนประจำปีที่เกิดขึ้นระหว่างเวลาที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลไปหักออกจากกำไรสุทธิที่เกิดขึ้นภายหลังระยะเวลาได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลโดยมีกำหนดเวลาไม่เกิน 5 ปีนับแต่วันพ้นกำหนดเวลานั้น โดยจะเลือกหักจากกำไรสุทธิของปีใดปีหนึ่งหรือหลายปีก็ได้ |
(4) นำเงินที่ใช้ไปในการลงทุนในการประกอบกิจการหักออกจากกำไรสุทธิ |
ผู้ประกอบกิจการที่ไม่ได้รับทั้งการยกเว้นหรือการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล คณะกรรมการเจรจาอาจพิจารณาให้สิทธิในการนำเงินที่ใช้ไปในการลงทุนในการประกอบกิจการหักออกจากกำไรสุทธิ รวมทั้งสิ้นจำนวนร้อยละ 1 – 70 ของเงินที่ลงทุนแล้วในกิจการนั้น นอกเหนือไปจากการหักค่าเสื่อมราคาตามปกติ โดยจะเลือกหักจากกำไรสุทธิของปีใดปีหนึ่งหรือหลายปีก็ได้ภายใน 10 ปี นับแต่วันที่มีรายได้จากการประกอบกิจการ |
(5) นำค่าขนส่ง ค่าไฟฟ้า และค่าประปามาหักเพิ่มเติมจากจำนวนเงินค่าใช้จ่ายเดิม |
หักค่าขนส่ง ค่าไฟฟ้า และค่าประปาได้สองเท่าของจำนวนเงินที่เสียไปเป็นค่าใช้จ่ายในการประกอบกิจการ โดยมีระยะเวลาตามที่คณะกรรมการเจรจากำหนด |
(6) นำเงินลงทุนในการติดตั้งหรือก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกในการประกอบกิจการหักจากกำไรสุทธิ |
นำเงินลงทุนร้อยละ 1 - 25 ของเงินที่ลงทุนแล้ว มาหักจากกำไรสุทธิของปีใดปีหนึ่งหรือหลายปีก็ได้ ภายใน 10 ปี นับแต่วันที่มีรายได้จากการลงทุน |
(7) ยกเว้นการนำเงินปันผลมาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล |
ยกเว้นไม่ต้องนำเงินปันผลจากกิจการที่ได้รับการสนับสนุนการลงทุนซึ่งได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตลอดระยะเวลาที่ผู้ประกอบกิจการได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้น โดยให้รวมถึงเงินปันผลที่ได้จ่ายภายในหกเดือนนับแต่วันพ้นระยะเวลาที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลด้วย |
(8) ยกเว้นค่าแห่งกู๊ดวิลล์5 ค่าแห่งลิขสิทธิ์หรือสิทธิอย่างอื่น ไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล |
ยกเว้นการนำค่าแห่งกู๊ดวิลล์ ค่าแห่งลิขสิทธิ์ หรือสิทธิอย่างอื่นของผู้ประกอบกิจการมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล มีกำหนดระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ผู้ประกอบกิจการเริ่มมีรายได้จากการประกอบกิจการ |
(9) ยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับเครื่องจักร |
ยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับเครื่องจักรตามที่คณะกรรมการเจรจาพิจารณาอนุมัติ |
(10) ยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับของที่นำมาใช้เพื่อการวิจัยและพัฒนา |
ยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับของที่ผู้ประกอบกิจการนำเข้ามาเพื่อใช้ในการวิจัยและพัฒนา รวมทั้งการทดสอบที่เกี่ยวข้อง |
(11) ยกเว้นอากรขาเข้า สำหรับวัตถุดิบหรือวัสดุที่จำเป็น เพื่อใช้ในการผลิตเพื่อการส่งออก |
ยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับวัตถุดิบและวัสดุจำเป็นที่ต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ เพื่อใช้ ผลิต ผสม หรือประกอบผลิตภัณฑ์หรือผลิตผลเฉพาะที่ใช้ในการส่งออก ตามเงื่อนไข วิธีการ และระยะเวลาที่คณะกรรมการเจรจากำหนด โดยมิให้นำกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากรมาใช้บังคับ |
(12) ลดหย่อนอากรขาเข้า สำหรับวัตถุดิบหรือวัสดุ ที่จำเป็น |
ลดหย่อนอากรขาเข้า สำหรับวัตถุดิบหรือวัสดุจำเป็นที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อใช้ผลิต ผสมหรือประกอบในกิจการที่ได้รับอนุญาตจากเลขาธิการ กพอ. ในอัตราไม่เกินร้อยละ 90 ของอัตราปกติ โดยมีกำหนดเวลาคราวละไม่เกิน 1 ปี นับแต่วันที่คณะกรรมการเจรจากำหนด |
(13) ยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับของที่นำเข้ามาเพื่อส่งกลับออกไป |
ยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับของที่ผู้ประกอบกิจการในเขต EEC นำเข้ามาเพื่อส่งกลับออกไป ตามเงื่อนไข วิธีการ และระยะเวลาที่คณะกรรมการเจรจากำหนด โดยมิให้นำกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากรมาใช้บังคับ |
(14) ยกเว้นอากรขาออกสำหรับผลิตภัณฑ์หรือผลิตผลที่ผู้ประกอบกิจการในเขต EEC ผลิตหรือประกอบ |
ยกเว้นอากรขาออกสำหรับผลิตภัณฑ์หรือผลิตผลที่ผู้ประกอบกิจการในเขต EEC ผลิตหรือประกอบ ตามเงื่อนไข วิธีการ และระยะเวลาที่คณะกรรมการเจรจากำหนด โดยมิให้นำกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากรมาใช้บังคับ |
ทั้งนี้ แนวทางในการให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีอากรแก่ผู้ประกอบกิจการในเขต EEC ให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ กพอ. กำหนด แต่ต้องไม่เกินที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนหรือกฎหมายว่าด้วยการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย
(2) สิทธิประโยชน์ที่มิใช่ด้านภาษีอากร
สิทธิประโยชน์ |
รายละเอียด |
(1) ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินภายในเขต EEC |
สิทธิถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินภายในเขต EEC เพื่อการประกอบกิจการที่ได้รับอนุญาตจากเลขาธิการ กพอ. โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตตามประมวลกฎหมายที่ดินและไม่เกินกว่าที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนหรือกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) |
(2) ถือกรรมสิทธิ์ห้องชุด |
สิทธิถือกรรมสิทธิ์ในห้องชุดภายในเขต EEC เพื่อประกอบกิจการหรืออยู่อาศัยโดยได้รับการยกเว้นจากการจำกัดสิทธิของคนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด โดยไม่เกินกว่าที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนหรือกฎหมายว่าด้วย กนอ. |
(3) นำคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักร |
นำคนต่างด้าวที่เป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ผู้บริหาร หรือผู้ชำนาญการตลอดจนคู่สมรสและบุคคลซึ่งอยู่ในอุปการะของบุคคลดังกล่าว เข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรได้ตามจำนวนและระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตจากเลขาธิการ กพอ. |
(4) สิทธิ์ในการทำงานของคนต่างด้าว |
คนต่างด้าวที่เป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ผู้บริหาร หรือผู้ชำนาญการที่ผู้ประกอบกิจการในเขต EEC นำเข้ามา มีสิทธิทำงานในตำแหน่งหน้าที่ที่ กพอ. กำหนด โดยไม่ต้องได้รับใบอนุญาตทำงานตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว |
(5) ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน |
ได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินทั้งหมดหรือบางส่วนตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ กพอ. กำหนดและตกลงร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) |
(6) การใช้เงินตราต่างประเทศเพื่อชำระค่าสินค้าหรือบริการ |
ผู้ประกอบกิจการสามารถใช้เงินตราต่างประเทศเพื่อชำระค่าสินค้าหรือบริการระหว่างผู้ประกอบกิจการในเขต EEC ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ กพอ. กำหนดและตกลงร่วมกับ ธปท. |
(7) สิทธิประโยชน์อื่นตามกฎหมายว่าด้วยการเพิ่มขีดความสามารถ |
สิทธิในการขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) |
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับกรอบสิทธิประโยชน์สูงสุดสำหรับผู้ประกอบกิจการในเขต EEC แล้ว สกพอ. จะดำเนินการจัดทำร่างประกาศ กพอ. เรื่อง สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกอบกิจการในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษฉบับใหม่เสนอ กพอ. ในการประชุมครั้งถัดไปและประกาศใช้ต่อไป
(3) ปัจจัยในการพิจารณาให้สิทธิประโยชน์ในการเจรจาสิทธิประโยชน์กับผู้ประกอบกิจการในเขต EEC คณะกรรมการเจรจาจะพิจารณาโดยคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
ข้อ |
ปัจจัยในการพิจารณาให้สิทธิประโยชน์ |
1. |
ประเภทอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษหรือกิจการที่เกี่ยวเนื่องหรือเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษ |
2. |
แผนการลงทุน รวมถึงระยะเวลาเริ่มการลงทุนหรือประกอบกิจการ |
3. |
ความสำคัญของกิจการต่อห่วงโซ่อุปทานและห่วงโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษ |
4. |
การเป็นผู้นำในการลงทุน |
5. |
มูลค่าเงินลงทุนที่ใช้ในการประกอบกิจการ (เน้นการลงทุนจริงในพื้นที่) |
6. |
การใช้ทรัพยากรในประเทศในการประกอบกิจการ เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบกิจการในประเทศ |
7. |
ระดับเทคโนโลยีที่ใช้ในการประกอบกิจการ |
8. |
แผนการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยี |
9. |
การลงทุนในการวิจัยและพัฒนา |
10. |
จำนวนการจ้างงานแรงงานฝีมือ |
11. |
การดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงความยั่งยืน |
12. |
การลดหรือกักเก็บปริมาณก๊าซเรือนกระจกหรือคาร์บอนเครดิต ตามมาตรฐานสากลหรือมาตรฐานของประเทศ (T-VER)6 |
13. |
ช่วยเหลือชุมชนโดยรอบ |
ทั้งนี้ คณะกรรมการเจรจอาจพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ประกอบการพิจารณา เพื่อกำหนดสิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกอบกิจการแต่ละรายจะได้รับ
2.2.2 หลักการในการให้สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกอบกิจการในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ ประกอบด้วย
(1) หลักการสร้างนวัตกรรมการให้บริการภาครัฐ โดย สกพอ. ให้บริการตามความต้องการเฉพาะกิจการแต่ละราย ซึ่งสามารถออกแบบเลือกรูปแบบ วิธีการในการขอรับสิทธิประโยชน์ รวมถึงลดขั้นตอน ข้อจำกัด และเงื่อนไขในการประกอบกิจการให้มีความเหมาะสม ซึ่งจะดึงดูดนักลงทุนด้วยการสร้างความร่วมมือโดยเปลี่ยนรูปแบบจากการกำกับดูแลหรือควบคุมเป็นการสร้างความร่วมมือด้านการลงทุนและเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่ดำเนินโครงการร่วมกัน
(2) หลักการเจรจาสิทธิประโยชน์ โดยกำหนดให้ กพอ. เป็นผู้กำหนดสิทธิประโยชน์สูงสุดสำหรับเขต EEC แต่ละแห่ง และให้คณะกรรมการเจรจาและทำความตกลงเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกอบกิจการในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพื่อกิจการพิเศษ (คณะกรรมการเจรจา) เป็นผู้พิจารณาให้สิทธิประโยชน์ ซึ่งต้องไม่เกินสิทธิประโยชน์สูงสุดที่ กพอ. กำหนด โดยการให้สิทธิประโยชน์จะใช้วิธีการทำความตกลงกับผู้ประกอบกิจการแต่ละรายและรายงานให้ กพอ. เพื่อทราบต่อไป
(3) หลักการพิจารณาให้สิทธิประโยชน์ผู้ขอรับสิทธิประโยชน์ต้องเป็นผู้ประกอบกิจการในเขต EEC ที่ได้รับอนุญาตจากเลขาธิการ กพอ. โดยต้องนำเสนอแผนงานหรือโครงการเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษหรือกิจการที่เกี่ยวเนื่องหรือเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษที่ประสงค์จะประกอบกิจการในเขต EEC และมีสถานะทางการเงินที่มั่นคงหรือความสามารถในการจัดหาเงินลงทุนได้เพียงพอตามแผนงานหรือโครงการ พร้อมทั้งมีประสบการณ์การดำเนินงาน องค์ความรู้หรือความสามารถที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษหรือกิจการที่เกี่ยวเนื่องหรือเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษ
(4) หลักการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงาน สกพอ. จะร่วมกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง จัดให้มีบริการแบบเบ็ดเสร็จครบวงจรโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือโดยวิธีการอื่นใดที่เชื่อมโยงกันได้ มีความมั่นคงปลอดภัยและผู้ประกอบกิจการในเขต EEC สามารถเข้าถึงได้โดยสะดวก รองรับการใช้สิทธิประโยชน์ รวมทั้งการตรวจสอบคุณสมบัติ การตรวจสอบประวัติอาชญากรรมและพฤติการณ์ การตรวจสอบการไม่เป็นบุคคลต้องห้ามเดินทางเข้าประเทศ การตรวจลงตรา และการอื่นใดที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ สกพอ. จะร่วมกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องจัดให้มีการกำกับ ติดตามตรวจสอบ และประเมินความคุ้มค่าในทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนผลกระทบด้านต่าง ๆ จากการให้สิทธิประโยชน์
(5) หลักการติดตามตรวจสอบ กำหนดให้ สกพอ. ร่วมกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องจัดให้มีการกำกับ ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินความคุ้มค่าในทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนผลกระทบด้านต่าง ๆ จากการให้สิทธิประโยชน์
3. กพอ. ในคราวประชุมครั้งที่ 5/2563 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2563 ได้มีมติเห็นชอบการปรับแนวทางการดำเนินโครงการ EECd ให้ออกจากการดำเนินการภายใต้ประกาศ กพอ. หลักเกณฑ์ฯ โดยให้ สกพอ. เป็นหน่วยงานหลักในการรับผิดชอบร่วมกับ ดศ. และบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ในการพัฒนาโครงการ EECd ต่อไป เนื่องจากในขั้นตอนการรับซองข้อเสนอเข้าร่วมลงทุนในโครงการ EECd ปรากฏว่า ไม่มีผู้ยื่นข้อเสนอเข้ามาลงทุนในโครงการ EECd ดังนั้น คณะกรรมการคัดเลือกฯ จึงให้มีการดำเนินการรับฟังความเห็นจากภาคเอกชน ซึ่งต่อมาได้มีการนำความเห็นดังกล่าวมาแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารการคัดเลือกเอกชนเรียบร้อยแล้ว ในการนี้ มีเอกชนที่แจ้งความสนใจที่จะลงทุนในโครงการ EECd เพียงรายเดียว แต่เป็นการลงทุนที่มุ่งเน้นการพัฒนาด้านอสังหาริมทรัพย์มากกว่าการพัฒนาด้านดิจิทัล (ยังไม่แน่นอนว่าจะเข้าร่วมประมูลโครงการหรือไม่) ดังนั้น คณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการ EECd จึงมีความเห็นว่า การคัดเลือกเอกชนภายใต้ประกาศ กพอ. หลักเกณฑ์ฯ จะไม่ก่อให้เกิดผลดีกับโครงการ EECd เนื่องจากอาจทำให้ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการ EECd ที่จะส่งเสริมการพัฒนาด้านเทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างแท้จริง ซึ่ง ดศ. สกพอ. และบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) เห็นชอบด้วยแล้ว
ทั้งนี้ ปัจจุบัน ดศ. ได้ดำเนินโครงการ Thailand Digital Valley พื้นที่จำนวน 30 ไร่ เพื่อเป็นการนำร่องการพัฒนาพื้นที่ EECd แล้ว นอกจากนี้ปัจจุบันมีนักลงทุนระดับนานาชาติที่แสดงความจำนงเข้าลงทุนในพื้นที่โครงการ EECd และพร้อมลงนามในสัญญาเช่าพื้นที่โครงการ EECd อาทิ (1) บริษัท CtrlS ซึ่งเป็นบริษัทด้านศูนย์ข้อมูล (Data Center) ระดับโลกจากประเทศดินเดีย (2) การลงทุนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) สำหรับจัดตั้งศูนย์อัดประจุไฟฟ้าต้นแบบ (EV Charging) ในพื้นที่โครงการ EECd และ (3) บริษัท ALBA Asia Group Limited ผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Zero Waste and Recycling
3.4 สกพอ. แจ้งว่า การดำเนินการดังกล่าว (ตามข้อ 2 – 3) จะก่อให้เกิดประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ดังนี้
EECd Visa และการให้สิทธิประโยชน์ตามพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 |
- ส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบกิจการทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้ามาประกอบอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษและกิจการที่เกี่ยวเนื่องหรือเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษในเขต EEC - ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศโดยรวม - มีการถ่ายทอดความรู้ความเชี่ยวชาญจากผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ชำนาญการที่มีศักยภาพสูง - ก่อให้เกิดรายได้แก่ภาครัฐ7 โดยคนต่างด้าวที่ยื่นขอ EEC Visa หรือยื่นขอเปลี่ยนประเภท Visa เป็น EEC Visa ต้องชำระค่าธรรมเนียมในอัตรา 10,000 บาท/คน/ปี และในการขอรับใบอนุญาตทำงาน EEC Work Permit ต้องชำระค่าบริการในอัตรา 20,000 บาท/คน/ครั้ง - มีคนต่างด้าวที่มีคุณสมบัติเข้าข่ายตามที่กำหนดและประสงค์จะใช้สิทธิ EEC Visa โดยคาดการณ์ 10 ปีแรกของการดำเนินการประมาณ 149,388 คน |
การพัฒนาเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ: EECd |
- เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจจากการลงทุนในพื้นที่ EECd - เกิดการจ้างงานที่เกี่ยวข้องจากการลงทุนในพื้นที่ EECd และการจ้างงานสนับสนุนจากบุคลากรภายนอกองค์กร - สามารถเพิ่มรายได้ของผู้ประกอบการท้องถิ่นที่อยู่บริเวณใกล้เคียงพื้นที่ EECd - การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจด้วยการสร้างมูลค่าด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลที่ยั่งยืนในระยะยาว - ก่อให้เกิดการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนภายในพื้นที่ EECd และพื้นที่โดยรอบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกด้านโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค - ยกระดับรายได้ของประชาชนและผู้ประกอบการท้องถิ่นโดยรอบอย่างทั่วถึง - ขับเคลื่อนสังคมสู่แนวคิดการสร้างนวัตกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจรูปแบบใหม่บนพื้นฐานการพัฒนาที่ยั่งยืนด้วย BCG โมเดล ควบคู่กับการเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ |
____________________________
1 โครงการ EECd จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ อาทิ (1) ยกระดับขีดความสามารถให้กับอุตสาหกรรมดิจิทัลในประเทศไทย (2) สนับสนุนและส่งเสริมเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล (3) ยกระดับและพัฒนาอุตสาหกรรมไอซีทีเดิมไปสู่อุตสาหกรรมดิจิทัลยุคใหม่ (New S – Curve Digital Industry) และ (4) พัฒนาเป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุนด้านอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล เป็นต้น ทั้งนี้ โครงการ EECd เป็นหนึ่งในโครงการภายใต้ EEC Project List ซึ่งต้องดำเนินการตามประกาศ กพอ. หลักเกณฑ์ฯ
2 ประกาศคณะกรรมการนโยบายพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง กำหนดเขตส่งเสริม : เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล พ.ศ. 2561 และประกาศ กพอ. เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ : เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล พ.ศ. 2562
3 อุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษ หมายถึง อุตสาหกรรมที่ กพอ. ประกาศกำหนด โดยกำหนดจาก 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งประกอบด้วย (1) อุตสาหกรรมเดิมที่ต่อยอดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม จำนวน 5 ประเภท ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ และอุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร (2) อุตสาหกรรมแห่งอนาคต จำนวน 5 ประเภท ได้แก่ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมดิจิทัล และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร และ (3) อุตสาหกรรมเพื่อกิจการพิเศษ จำนวน 2 ประเภท ได้แก่ อุตสาหกรรมป้องกันประเทศและอุตสาหกรรมพัฒนาบุคลากรและการศึกษา
4 กพอ. ได้ประกาศกำหนดเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ จำนวน 35 เขต เช่น เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd) รถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (EECh) เป็นต้น
5 goodwill หรือที่ภาษาไทยเรียกว่า “ค่าความนิยม” ถูกวัดค่าจากการมีชื่อเสียง/ความน่าเชื่อถือของเครื่องหมายการค้าหรือกิจการหนึ่ง ซึ่งทำให้กิจการนั้นมีความสามารถในการหารายได้มากกว่ากิจการอื่นในประเภทเดียวกัน ซึ่งหากซื้อกิจการเหล่านี้ก็ย่อมจะต้องจ่ายแพงกว่าการซื้อกิจการอื่นในประเภทเดียวกัน แต่ใช้ชื่ออื่นซึ่งมีความสามารถในการหาลูกค้า/รายได้น้อยกว่า ดังนั้น goodwill จึงเปรียบเสมือนเครื่องมือในการทำนายลูกค้า/รายได้ในอนาคตด้วย
6 Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER คือโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย
7 คาดการณ์ 10 ปีแรกของการดำเนินการจะมีรายได้จากค่าธรรมเนียมสำหรับ EEC Visa ประเภท S, E, P และ O ประมาณ 7,469.40 ล้านบาท และรายได้จากค่าบริการ EEC Work Permit ประมาณ 995.92 ล้านบาท
8. เรื่อง ผลการประชุมบูรณาการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 2 (เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร) เมื่อวันพุธที่ 8 พฤษภาคม 2567 และวันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม 2567
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ ดังนี้
1. รับทราบผลการประชุมบูรณาการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 2 (เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร) เมื่อวันพุธที่ 8 พฤษภาคม 2567 และวันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม 2567
2. เห็นชอบในหลักการโครงการของกลุ่มจังหวัดและจังหวัด จำนวน 10 โครงการ กรอบวงเงิน 246,263,000 บาท โดยให้กลุ่มจังหวัดและจังหวัดขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือ จำเป็นตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัด นำโครงการบรรจุไว้ในแผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดตามขั้นตอนต่อไป
3. เห็นชอบในหลักการของโครงการที่เป็นข้อเสนอของภาคเอกชน (กรอ.กลุ่มจังหวัด) จำนวน 8 โครงการ กรอบวงเงิน 268,638,000 บาท โดยให้ส่วนราชการที่เป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำข้อเสนอโครงการ โดยให้ความสำคัญกับความคุ้มค่า และผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการใช้จ่ายงบประมาณอย่างรอบคอบ สำหรับโครงการเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการน้ำเพื่ออุปโภค บริโภค ในเขตเทศบาลเมืองหัวหิน ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการ ดำเนินการขยายผลโครงการนำร่อง โดยจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพิ่มเติมในปีงบประมาณ 2568 - 2569 รวมทั้งให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดนำโครงการบรรจุไว้ในแผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดตามขั้นตอนต่อไป
4. มอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาโครงการที่เป็นข้อเสนอของภาคเอกชน (กรอ.กลุ่มจังหวัด) ในส่วนที่เหลือจำนวน 78 โครงการ เพื่อบรรจุไว้ในแผนการปฏิบัติราชการประจำปีของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
5. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามมติที่ประชุม ไปพิจารณาเร่งรัดดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
6. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามข้อ 2 - 5 รายงานผลการดำเนินการให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ต่อไป
สาระสำคัญและข้อเท็จจริง
1. เมื่อวันอังคารที่ 23 เมษายน 2567 สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้มีหนังสือแจ้ง สศช. ว่า นายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบกำหนดจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 3/2567 ณ จังหวัดเพชรบุรี และติดตามการตรวจราชการกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 2 (เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร) และมอบหมายให้ สศช. ร่วมกับ กระทรวงมหาดไทย สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และสำนักงบประมาณ เป็นฝ่ายเลขานุการจัดการประชุมบูรณาการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 2 (เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร) เพื่อเสนอประเด็นและวาระการพัฒนากลุ่มจังหวัดต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดเพชรบุรี
2. ในช่วงระหว่างวันที่ 19 เมษายน - 13 พฤษภาคม 2567 สศช. ร่วมกับสำนักงบประมาณ และกระทรวงมหาดไทยได้ประสานจังหวัดและกลุ่มจังหวัด และภาคเอกชนในการพิจารณากลั่นกรองโครงการที่เป็นความต้องการของพื้นที่ โดยในช่วงระหว่างวันที่ 24 - 26 เมษายน 2567 สศช. สำนักงบประมาณ และกระทรวงมหาดไทยได้ลงพื้นที่ประชุมหารือเพื่อพิจารณาโครงการตามความต้องการของพื้นที่ที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที
3. สศช. ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และสำนักงบประมาณ ได้จัดการประชุมบูรณาการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคกลาง ตอนล่าง 2 (เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร) เมื่อวันพุธที่ 8 พฤษภาคม 2567 ณ ห้องประชุมตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล และเมื่อวันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม 2567 ณ ห้องประชุมพริบพรี ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดเพชรบุรี โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค) เป็นประธานการประชุมฯ และมีผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผู้แทนสถาบันภาคเอกชนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 2 ได้แก่ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) (สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (YEC) เข้าร่วมประชุมฯ โดยข้อเสนอประเด็นและวาระการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 2 สรุปได้ดังนี้
3.1 ข้อเสนอโครงการที่มีความพร้อมและดำเนินการแล้วเสร็จ ภายใน 1 ปี ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 2 จำนวน 10 โครงการ กรอบวงเงิน 246,263,000 บาท ดังนี้ (1) โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนการค้า การลงทุน การบริการ และการท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 2 กิจกรรม : ขยายทางจราจร ทางหลวงหมายเลข 3176 ตอนเพชรบุรี - บ้านแหลมฝั่งตะวันตก ตำบลบ้านกุ่ม อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี วงเงิน 25,000,000 บาท (2) โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนการค้า การลงทุน การบริการและการท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 2 กิจกรรม : ปรับปรุงผิวทางพร้อมติดตั้งป้ายท่องเที่ยวและเครื่องหมายจราจรถนนสาย สค.5022 - สค.5036 (เป็นช่วง ๆ) ตำบลพันท้ายนรสิงห์ ตำบลโคกขาม อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ระยะทางรวม 9.100 กิโลเมตร วงเงิน 25,000,000 บาท (3) โครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำคลองอรรถสิทธิ์พร้อมส่วนประกอบ วงเงิน 30,000,000 บาท (4) โครงการปรับปรุงถนนลาดยาง AC สายบ้านร่วมใจพัฒนา – สองไร่ชายน้ำ อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี วงเงิน 8,500,000 บาท (5) โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวภายในวนอุทยานเขานางพันธุรัต วงเงิน 9,203,000 บาท (6) โครงการพัฒนาการท่องเที่ยวบนพื้นฐานความหลากหลายทางชีวภาพมุ่งสู่ความยั่งยืน วงเงิน 40,000,000 บาท (7) โครงการป้องกันกำจัดศัตรูมะพร้าวโดยวิธีผสมผสาน วงเงิน 10,000,000 บาท (8) โครงการก่อสร้างระบบระบายน้ำหลักและระบบป้องกันน้ำท่วม ชุมชนเมืองสมุทรสงคราม อำเภอเมืองสมุทรสงคราม (ระยะที่ 2) วงเงิน 48,560,000 บาท (9) โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสนับสนุนการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว กิจกรรม งานปรับระดับผิวทาง ทางหลวงหมายเลข 35 ตอน แสมดำ-สะพานข้ามแม่น้ำท่าจีนฝั่งตะวันตก ระหว่าง กม.27+550 - กม.30+275 ทางขนานด้านซ้ายทางขวาทาง (เป็นช่วง ๆ) อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ระยะทาง 2.725 กิโลเมตร วงเงิน 20,000,000 บาท และ (10) โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสนับสนุนการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว กิจกรรม ปรับปรุงผิวทางเพื่อเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยว และขนส่งสินค้าทางการเกษตร ถนนสาย สค.4015 ระหว่าง กม.2+600-กม.11+300 (เป็นช่วง ๆ) ตำบล หนองสองห้อง อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร ระยะทาง 8.700 กิโลเมตร วงเงิน 30,000,000 บาท
มติที่ประชุม :
เห็นชอบในหลักการโครงการของกลุ่มจังหวัดและจังหวัด จำนวน 10 โครงการ กรอบวงเงิน 246,263,000 บาท โดยให้กลุ่มจังหวัดและจังหวัดขอรับการจัดสรร จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัด นำโครงการบรรจุไว้ในแผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดตามขั้นตอนต่อไป
3.2 ข้อเสนอประเด็นการพัฒนากลุ่มจังหวัดและจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 2 ของภาคเอกชน (กรอ.กลุ่มจังหวัด) จำนวน 86 โครงการ ดังนี้
(1) ข้อเสนอประเด็นการพัฒนากลุ่มจังหวัด จำนวน 19 โครงการ ดังนี้
1) ขอรับการสนับสนุนการดำเนินโครงการ จำนวน 19 โครงการ ประกอบด้วย (1) โครงการก่อสร้างทางขนาน ทางหลวงหมายเลข 35 ตอน สะพานข้าม แม่น้ำท่าจีนฝั่งตะวันตก - นาโคก ระหว่าง กม.44+300 - กม.45+550 ทางขนานด้านซ้ายทาง อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร (2) โครงการก่อสร้างทางหลวงแผ่นดิน ทางหลวงหมายเลข 3510 ตอนทางแยกเข้า อำเภอหนองหญ้าปล้อง - บ้านทุ่งเคล็ด ตำบลวังจันทร์ อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี (3) โครงการก่อสร้างสะพานและทางแยกต่างระดับ จุดตัดทางหลวงหมายเลข 4 ตัดทางเข้าตลาดกลางการเกษตร (แยกหนองบ้วย) ตำบลท่ายาง อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี (4) โครงการก่อสร้างสะพานและทางแยกต่างระดับ จุดตัดทางหลวงหมายเลข 4 ตัดถนนเลียบคลองชลประทาน (บริเวณบ้านหนองแหน) ตำบลเขาย้อย อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี (5) โครงการก่อสร้างทางหลวงแผ่นดิน ทางหลวงหมายเลข 4 ตอน อำเภอปากท่อ - อำเภอชะอำ (เป็นช่วง ๆ) ตำบลท่ายาง อำเภอท่ายาง และตำบลดอนขุนห้วย อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี (6) โครงการขยายทางจราจร ทางหลวงหมายเลข 3178 ตอนเพชรบุรี - บ้านแหลมฝั่งตะวันออก ตำบลบ้านแหลม อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี (7) โครงการก่อสร้างทางหลวงผ่านย่านชุมชน ทางหลวงหมายเลข 3178 ตอน เพชรบุรี - บ้านแหลม ฝั่งตะวันออก ตำบลหนองโสน อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี (8) โครงการขยายทางจราจร ทางหลวงหมายเลข 3203 ตอน ทางเข้าโครงการพระราชประสงค์หุบกะพง ตำบลเขาใหญ่ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี (9) โครงการปรับปรุงถนนลาดยาง AC สายแก่งกระจาน - สองพี่น้อง อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี (10) โครงการปรับปรุงถนนลาดยาง AC สายบ้านห้วยตะแกะ - บ้านวังไคร้ อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี (11) โครงการปรับปรุง ถนนลาดยาง AC สายบ้านไร่ใหม่พัฒนา - บ้านหนองเขื่อน อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี (12) โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้วัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ภาคกลางตอนล่าง 2 (13) โครงการพัฒนาเชื่อมโยง เครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ให้กลุ่มจังหวัด “เพชรสมุทรคีรี” เป็นเมืองแห่งอาหาร (Gastronomy) และยกระดับ ความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมสู่ความยั่งยืน ด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี (14) โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 2 (เพชรสมุทรคีรี) (15) โครงการบริบาลและคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุในชุมชน (ภาคกลาง) (16) โครงการส่งเสริมและพัฒนาศิลปวัฒนธรรมประเพณีภูมิปัญญาพื้นถิ่นของผู้สูงอายุเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม (17) โครงการฝายแม่น้ำปราณบุรี (18) โครงการปักไม้ไผ่ชะลอความรุนแรงของคลื่น และเร่งการตกตะกอนเลนในพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ บริเวณพื้นที่ตำบลปากทะเล ตำบลบางขุนไทร อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี และ (19) โครงการส่งเสริมภาคการผลิตที่ลดอัตราการเกิดก๊าซเรือนกระจก โดยการ ขอรับรองฉลากคาร์บอน
(2) ข้อเสนอประเด็นการพัฒนาจังหวัดเพชรบุรี จำนวน 2 เรื่อง 41 โครงการ ดังนี้
1) ขอรับการสนับสนุนการดำเนินโครงการ จำนวน 39 โครงการ ประกอบด้วย (1) โครงการต่อยอดจังหวัดเพชรบุรีสู่เมืองแห่งการเรียนรู้ของ UNESCO (2) โครงการยกระดับเมืองสร้างสรรค์ เมืองมรดกโลกเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดเพชรบุรี (3) โครงการขยายทางจราจร ทางหลวงหมายเลข 3171 ตอนเทศบาลเมืองเพชรบุรี - บันไดอิฐ ตำบลไร่ส้ม อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี (4) โครงการขยายทางจราจร ทางหลวงหมายเลข 3179 ตอนเทศบาลเมืองเพชรบุรี- บ้านลาด ตำบลท่าเสน อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี (5) โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ (6) โครงการก่อสร้างบล็อกระบายน้ำ ค.ส.ล. พร้อมถนนเลียบทางรถไฟชะอำ บริเวณหลังสถานีรถไฟชะอำ - บ่อบำบัดน้ำเสีย (7) โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวศูนย์เรียนรู้ตามแนวพระราชดำริ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (8) โครงการยกระดับสถานประกอบการสปาและส่งเสริมสุขภาพแบบมีส่วนร่วม สู่เมืองสร้างสรรค์ระดับสากล (9) โครงการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและขับเคลื่อน Soft power ด้วยอัตลักษณ์ เพชรบุรีเมืองช่างแห่งสยาม (10) โครงการปรับปรุงผิวแอสฟัลต์คอนกรีดเดิมนำกลับมาใช้ใหม่ ในพื้นที่ชำรุดเสียหาย ทางหลวงหมายเลข 3187 ตอนเขื่อนเพชร - บางกุฬา ตำบลท่าคอย อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี (11) โครงการขยายทางจราจร ทางหลวงหมายเลข 3499 ตอนเขื่อนเพชร - วังไคร้ ตำบลวังไคร้ อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี (12) โครงการขยายทางจราจร ทางหลวงหมายเลข 3187 ตอนเขื่อนเพชร - บางกุฬา ตำบลท่าคอย อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี (13) โครงการก่อสร้างโครงสร้างชั้นทางใหม่ ทางหลวงหมายเลข 3218 ตอนโป่งแย้ - อ่าวเก็บน้ำห้วยผาก ตำบลกลัดหลวง อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี (14) โครงการปรับปรุงจุดกลับรถใต้สะพาน ทางหลวงหมายเลข 4 ตอนเขาวัง - หนองบ้วย ที่ กม.168+600 ตำบลท่ายาง อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี (15) โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ ในทางหลวงหมายเลข 4 ตอนสระพัง - เขาวัง (บริเวณทางเข้าเมืองเพชร) ตำบลไร่ส้ม อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี (16) โครงการก่อสร้างปรับปรุงถนนแอสฟัลท์ติกคอนกรีต แบบ PAVEMENT IN PLACE RECYCLING สายบ้านโรงนอกสามัคคี ถึงบ้านหนองแฟบพัฒนา หมู่ที่ 5 ตำบลท่ายาง อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี (17) โครงการก่อสร้างถนน ค.ส.ล. พร้อมท่อระบายน้ำ ชุมชนหัวทุ่ง - ทุ่งพร้าว หมู่ที่ 8 ตำบลท่ายาง อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี (18) โครงการประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์เพื่อพัฒนาระบบสมาร์ทฟาร์มต้นแบบเทคโนโลยีพลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์สำหรับผลผลิตเกษตรอินทรีย์ของวิสาหกิจชุมชนขนาดเล็กในจังหวัดเพชรบุรี (19) โครงการยกระดับคุณภาพสินค้าเกษตรเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ (20) โครงการเสริมสร้างศักยภาพผลิตภัณฑ์ชุมชน เพื่อมาตรฐานผลิตภัณฑ์ และฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (21) โครงการสร้างมูลค่าพืชเกษตรเพื่อเพิ่ม รายได้และความมั่นคงด้านอาหารของจังหวัดเพชรบุรี (22) โครงการส่งเสริม SMEs ไทยให้มีการบริหารจัดการธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล (23) โครงการปรับปรุงซ่อมแซมท่าเทียบเรือประมงบ้านโตนดน้อย หมู่ที่ 12 ตำบลหนองขนาน อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี (24) โครงการแก้ไขปัญหาลิงแสมบริเวณพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี (25) โครงการเพิ่มพื้นที่นวัตกรรมการเรียนการสอนด้วยฐานภูมิปัญญาท้องถิ่น (26) โครงการจังหวัดเพชรบุรีร่วมใจ ปลอดภัยจากโรคพิษสุนัขบ้า (27) โครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนอ่างเก็บน้ำหนองไก่เถื่อน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ โครงการชลประทานเพชรบุรี (28) โครงการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงนิเวศจังหวัดเพชรบุรี (29) โครงการก่อสร้างอาคารฝายน้ำล้นแบบ FLOOD WAY ในพื้นที่กันเขตของอ่างเก็บน้ำห้วยผากฯ ตำบลกลัดหลวง อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี (30) โครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำคลองอรรถสิทธิ์ (31) โครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อช่วยเหลือราษฎรในพื้นที่ตำบลหนองกะปุ (32) โครงการ เพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำ อ่างเก็บน้ำหนองเปราะ จังหวัดเพชรบุรี (33) โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำเพชรบุรี หมู่ที่ 12 ตำบลบางครก อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี (34) โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำเพชรบุรี หมู่ที่ 1 ตำบลท่าเสน อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี (35) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำคลองบางจากและคลองปากง่าม (36) โครงการก่อสร้างอาคารบังคับน้ำห้วยตาเทียบ (37) โครงการจัดหาน้ำให้ศูนย์เพาะเลี้ยงม้า และสัตว์ทดลอง สภากาชาดไทย (38) โครงการสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าพร้อมอาคารประกอบสนับสนุนโรงเรียนเพชรบุรีปัญญานุกูล และ (39) โครงการก่อสร้างอาคารห้องประชุมพร้อมแสดงนิทรรศการด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
2) ขอเร่งรัดดำเนินโครงการ จำนวน 2 โครงการ ประกอบด้วย (1) ขอให้ผลักดันโครงการก่อสร้างสะพานเทียบเรือ เพื่อขนถ่ายสัตว์น้ำ ชมธรรมชาติและพัฒนาร่องน้ำบ้านแหลม และ (2) ขอให้ผลักดันการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งสถาบันพัฒนาอาหารด้วยนวัตกรรม
(3) ข้อเสนอประเด็นการพัฒนาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 2 เรื่อง 9 โครงการ ดังนี้
1) ขอรับการสนับสนุนการดำเนินโครงการ จำนวน 3 โครงการ ประกอบด้วย (1) โครงการเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการน้ำเพื่ออุปโภค บริโภค ในเขตเทศบาลเมืองหัวหิน (2) โครงการพัฒนาเส้นทางเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยว ปรับปรุงผิวจราจร สายหนองหอย - ทับใต้ ตำบลทับใต้ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และ (3) โครงการปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำ อ่างเก็บน้ำเขาคันหอก พร้อมระบบส่งน้ำและอาคารประกอบ ตำบลคลองวาฬ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
2) ขอเร่งรัดดำเนินโครงการ จำนวน 6 โครงการ ประกอบด้วย (1) ขอให้ผลักดันโครงการก่อสร้างถนนสาย ง ผังเมืองรวมชุมชนปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (2) ขอให้ผลักดันโครงการก่อสร้างแก้ไขปัญหาจราจรบริเวณเมืองบางสะพาน ตอนบน แยก ทล.3369 (โรงพยาบาลบางสะพาน) - แยก ทล 4 (บริเวณ กม.ที่ 362+000) อำเภอบางสะพาน, ทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (3) ขอให้ผลักดันโครงการก่อสร้างแก้ไขปัญหาจราจรบริเวณเมืองบางสะพาน ตอนล่าง แยก ทล.3169 (แยก ปข. 4045) - แยก ทล.4 (บริเวณ กม.ที่ 386+000) อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (4) ขอให้ผลักดันโครงการสร้างก่อสร้างสะพานและทางต่างระดับทางหลวงหมายเลข 4 ตอนควบคุม 0603 ตอน หนองหมู - ห้วยยาง กม.309+107-กม.309+107 (5) ขอให้ผลักดันโครงการสร้างสะพานและทางต่างระดับ ทางหลวงหมายเลข 37 ตอนควบคุม 0200 ตอน วังโบสถ์ - ปราณบุรี กม. 39+190 - กม. 39+190 และ (6) ขอให้ผลักดันโครงการเร่งรัดการตรวจมาตรฐานท่าอากาศยานหัวหิน
(4) ข้อเสนอประเด็นการพัฒนาจังหวัดสมุทรสงคราม จำนวน 2 เรื่อง 5 โครงการ ดังนี้
1) ขอรับการสนับสนุนการดำเนินโครงการ จำนวน 3 โครงการ ประกอบด้วย (1) โครงการขยายเขตประปาบาดาล ตำบลลาดใหญ่ อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม (2) โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเล อ่าวไทยฝั่งตะวันตก และ (3) โครงการแก้ไขปัญหาระบบป้องกันน้ำเค็มบุกรุกโดยใช้ระบบชลประทาน ในจังหวัดสมุทรสงคราม
2) ขอเร่งรัดดำเนินโครงการ จำนวน 2 โครงการ ประกอบด้วย (1) ขอให้ผลักดันเรื่องปักหมุดแสดงเขตพื้นที่แนวชายฝั่งทะเล และแนวเขตป่าชายเลน ตามมติคณะรัฐมนตรี และ (2) เรื่องรับทราบและเห็นชอบโครงการพัฒนาแก้มลิงทุ่งหินจังหวัดสมุทรสงคราม
(5) ข้อเสนอประเด็นการพัฒนาจังหวัดสมุทรสาคร จำนวน 2 เรื่อง 12 โครงการ ดังนี้
1) ขอรับการสนับสนุนการดำเนินโครงการ จำนวน 2 โครงการ ประกอบด้วย (1) โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือวิถีชีวิตชุมชนจังหวัดสมุทรสาคร ตำบล พันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร และ (2) โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะริมตลิ่งในพื้นที่ชุมชน
2) ขอเร่งรัดดำเนินโครงการ จำนวน 10 โครงการ ประกอบด้วย (1) ขอให้ผลักดันโครงการก่อสร้างปรับปรุงภูมิทัศน์ศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำ (Aquarium) ตำบลโคกขาม อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร (2) ขอให้ผลักดันโครงการริเวียร่า 3 สมุทร ระยะที่ 3 สัญญา ที่ 3 (3) ขอให้ผลักดันโครงการริเวียร่า 3 สมุทร ระยะที่ 3 สัญญาที่ 2 (4) ขอให้ผลักดันโครงการก่อสร้างทางคู่ขนาน และสะพานข้ามคลองประกอบ ทางหลวงหมายเลข 35 ตอน สะพานข้ามแม่น้ำท่าจีนฝั่งตะวันตก นาโคก ระหว่าง กม.44+300 - กม.53+875 อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร (5) ขอให้ผลักดันโครงการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ชุมชนท้ายบ้าน ตำบลท่าฉลอม อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร (6) ขอให้ผลักดันโครงการก่อสร้างเขื่อน ค.ส.ล. ป้องกันน้ำท่วมริมคลองดำเนินสะดวก - คลองตัน หมู่ที่ 4 (ชุมชนป่าจาก) ตำบลคลองต้น อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร (7) ขอให้ผลักดันโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำและสถานีสูบน้ำ พร้อมอาคารประกอบคลองนิคม 2 ตำบลนาโคก อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร (8) ขอให้ผลักดันโครงการก่อสร้างกำแพงกันดิน พร้อมอาคารประกอบ คลองนิคม 2 ตำบลนาโคก อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร (9) ขอให้ผลักดันโครงการจ้างศึกษาออกแบบรายละเอียดในการขุดลอกและบำรุงรักษาแม่น้ำท่าจีน จังหวัดชัยนาท จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดนครปฐม และจังหวัดสมุทรสาคร และ (10) ขอให้ผลักดันโครงการจ้างเหมาขุดลอกและบำรุงรักษาร่องน้ำขายฝั่งทะเลที่ร่องน้ำสมุทรสาคร (ท่าจีน) อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร
3.3 การพิจารณาข้อเสนอกลุ่มจังหวัดฯ ของภาคเอกชน (กรอ.กลุ่มจังหวัด) จากการพิจารณาข้อเสนอประเด็นการพัฒนากลุ่มจังหวัดและจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 2 ของภาคเอกชน จำนวน 86 โครงการ โดย สศช. สำนักงบประมาณ จังหวัดและกลุ่มจังหวัด และภาคเอกชน พบว่า ข้อเสนอกลุ่มจังหวัดฯ ของภาคเอกชนที่มีความพร้อมดำเนินการแล้วเสร็จภายใน 1 ปี จำนวน 8 โครงการ กรอบวงเงิน 268,638,000 บาท ดังนี้ (1) โครงการฝายแม่น้ำปราณบุรี วงเงิน 23,000,000 บาท (2) โครงการต่อยอดจังหวัดเพชรบุรีสู่เมืองแห่งการเรียนรู้ของ UNESCO วงเงิน 10,000,000 บาท (3) โครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนอ่างเก็บน้ำหนองไก่เถื่อน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ โครงการชลประทานเพชรบุรี วงเงิน 40,000,000 บาท (4) โครงการปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำ อ่างเก็บน้ำเขาคันหอก พร้อมระบบส่งน้ำและอาคารประกอบ ตำบลคลองวาฬ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ วงเงิน 50,000,000 บาท (5) โครงการขยายเขตประปาบาดาล ตำบลลาดใหญ่ อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม วงเงิน 45,638,000 บาท (6) โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือวิถีชีวิตชุมชนจังหวัดสมุทรสาคร ตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร วงเงิน 14,000,000 บาท (7) โครงการ ป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะริมตลิ่งในพื้นที่ชุมชน วงเงิน 36,000,000 บาท และ (8) โครงการเพิ่ม ศักยภาพในการบริหารจัดการน้ำเพื่ออุปโภค บริโภค ในเขตเทศบาลเมืองหัวหิน วงเงินรวมทั้งโครงการ 350 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินโครงการ 2567 - 2569 โดยเสนอขอรับการสนับสนุนเป็นโครงการนำร่อง ในปี 2567 จำนวน 50 ล้านบาท
มติที่ประชุม :
(1) เห็นชอบในหลักการของโครงการที่เป็นข้อเสนอของ ภาคเอกชน (กรอ.กลุ่มจังหวัด) จำนวน 8 โครงการ กรอบวงเงิน 268,638,000 บาท โดยให้ส่วนราชการที่เป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำข้อเสนอโครงการ โดยให้ความสำคัญกับความคุ้มค่า และผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการใช้จ่ายงบประมาณอย่างรอบคอบ สำหรับโครงการเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการน้ำเพื่ออุปโภค บริโภค ในเขตเทศบาลเมืองหัวหิน ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการ ดำเนินการขยายผลโครงการนำร่อง โดยจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพิ่มเติมในปีงบประมาณ 2568 - 2569 รวมทั้งให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัด นำโครงการบรรจุไว้ในแผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดตามขั้นตอนต่อไป
(2) มอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาโครงการที่เป็นข้อเสนอของภาคเอกชน (กรอ.กลุ่มจังหวัด) ในข้อ 3.2 ในส่วนที่เหลือจำนวน 78 โครงการ เพื่อบรรจุไว้ในแผนการปฏิบัติราชการประจำปีของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
3.4 ในการประชุมหารือระหว่างรองนายกรัฐมนตรี (นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค) กับผู้ว่าราชการจังหวัดและภาคเอกชนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 2 (เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร) เมื่อวันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม 2567 ณ ห้องประชุม พริบพรี ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดเพชรบุรี มีข้อเสนอเพิ่มเติมจากกลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (YEC) และภาคเอกชน ดังนี้
(1) ประเด็นข้อเสนอขอรับการสนับสนุนของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (YEC) จำนวน 8 เรื่อง ดังนี้ (1) การต่อยอดเมืองเพชรบุรีให้เป็น Creative City จากฐานเศรษฐกิจ ของจังหวัด ให้เป็นเมืองเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ (Creative Economy) [หน่วยงานรับผิดชอบหลัก โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน)] (2) เร่งรัดผลักดันให้จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็น MICE CITY [หน่วยงานรับผิดชอบหลัก โดยสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน)] (3) โครงการพัฒนาอัตลักษณ์ชุมชน (City Branding) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (หน่วยงานรับผิดชอบหลัก โดยกรมการพัฒนาชุมชน) (4) โครงการกัดเซาะชายฝั่ง ปากน้ำปราณ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 205 เมตร (หน่วยงานรับผิดชอบหลัก โดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และกรมโยธาธิการและผังเมือง) (5) การสนับสนุน “เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์ แหล่งมั่นคงทางอาหารบนสิ่งแวดล้อมสมดุล (Samutsongkhram Creative City) [หน่วยงานรับผิดชอบหลัก โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน)] (5) โครงการรถไฟสายท่องเที่ยวสายมหาชัย - วงเวียนใหญ่ (หน่วยงานรับผิดชอบหลัก โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (7) โครงการพัฒนาอาหารทะเลแปรรูป (แบบแห้ง) (หน่วยงานรับผิดชอบหลัก โดยกรมการพัฒนาชุมชน) และ (8) ศูนย์กลางการรักษาพยาบาล (Medical Hub) (หน่วยงานรับผิดชอบหลัก โดยกระทรวงสาธารณสุข)
มติที่ประชุม : มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอน
(2) ประเด็นข้อเสนอขอรับการสนับสนุนของภาคเอกชน จำนวน 8 เรื่อง ดังนี้ (1) การเร่งรัดการประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองหัวหินและ พื้นที่เชื่อมโยง [หน่วยงานรับผิดชอบหลัก โดยองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน)] (2) การขับเคลื่อนการพัฒนาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จากเมืองศักยภาพสู่การเป็น MICE CITY [(หน่วยงานรับผิดชอบหลัก โดยสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การ มหาชน)] (3) การผลักดันแผนปฏิบัติการการพัฒนาการท่องเที่ยวเขตพัฒนาการท่องเที่ยวฝั่งทะเลตะวันตก (The Royal Coast หรือ Thailand Riviera) (หน่วยงานรับผิดชอบหลัก โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) (4) การแก้ไขปัญหาแม่น้ำแม่กลองมีค่าความเค็มน้ำ เกินค่าสูงสุด 2 PPM (หน่วยงานรับผิดชอบหลัก โดยกรมชลประทาน) (5) การแก้ไขปัญหาพืช มะพร้าว ไม่อยู่ใน FRUIT BOARD จังหวัดสมุทรสงคราม (หน่วยงานรับผิดชอบหลัก โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) (6) การแก้ไขปัญหา Carbon Tax การกีดกันทางการค้ารูปแบบใหม่ [หน่วยงานรับผิดขอบหลัก โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)] (7) การแก้ไขปัญหาขนส่งขาดสถานีขนถ่ายตู้สินค้าทางรางในฝั่งตะวันตกเชื่อมตะวันออก (หน่วยงาน รับผิดขอบหลัก โดยกรมการขนส่งทางราง) และ (8) การแก้ไขปัญหาบัญชีท้ายข้อกำหนดผังเมืองไม่สร้างเศรษฐกิจใหม่ให้กับจังหวัดสมุทรสงคราม (หน่วยงานรับผิดชอบหลัก โดยกรมโยธาธิการและผังเมือง)
มติที่ประชุม : มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอน
(3) ประเด็นข้อสั่งการเพิ่มเติมจากการตรวจราชการของรองนายกรัฐมนตรี (นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค) จำนวน 4 เรื่อง ดังนี้ (1) โครงการงานก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟ จุดตัดรถไฟ ถนนเพชรบุรี/หาดเจ้าสำราญ กม. 154+953 ในเขตเทศบาลเมืองเพชรบุรี (โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงนครปฐม-หัวหิน) (หน่วยงานรับผิดชอบหลัก โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย) (2) การแก้ไขกฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการละเล่นวัวลาน เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดเพชรบุรี (หน่วยงานรับผิดชอบหลัก โดยกรมการปกครอง) (3) การแก้ไขและลดผลกระทบจากการดำเนินโครงการก่อสร้างบานพับสปิลเวย์ ของโครงการส่งน้ำและ บำรุงรักษาแก่งกระจาน (หน่วยงานรับผิดชอบหลัก โดยกรมชลประทาน) และ (4) โครงการท่าอากาศยานหัวหิน (การเปลี่ยนแปลงชื่อสนามบิน และเร่งรัดการตรวจมาตรฐานท่าอากาศยานหัวหิน) เพื่อเปิดบริการนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศ (หน่วยงานรับผิดชอบหลัก โดยกรมท่าอากาศยาน และสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย)
มติที่ประชุม : มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้
(1) โครงการงานก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟ จุดตัดรถไฟ ถนนเพชรบุรี/หาดเจ้าสำราญ กม. 154+953 ในเขตเทศบาลเมืองเพชรบุรี (โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงนครปฐม-หัวหิน) มอบหมายการรถไฟแห่งประเทศไทย ประสานกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท พิจารณาทางเลือกในการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม
(2) การแก้ไขกฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการละเล่นวัวลาน เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดเพชรบุรี มอบหมายให้กรมการปกครองพิจารณาปรับปรุงกฎ ระเบียบ ที่เกี่ยวข้องกับการอนุญาตระยะเวลาการละเล่นวัวลานให้สอดคล้องวิถีชุมชน
(3) การแก้ไขและลดผลกระทบจากการดำเนินโครงการ ก่อสร้างบานพับสปิลเวย์ ของโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาแก่งกระจาน มอบหมายให้กรมชลประทาน ตรวจสอบข้อเท็จจริงและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งพิจารณาแนวทางการลดผลกระทบต่อประชาชนโดยรอบโครงการ
(4) โครงการท่าอากาศยานหัวหิน มอบหมายให้สำนักงาน การบินพลเรือนแห่งประเทศไทย และกรมท่าอากาศยานพิจารณาแนวทางการปรับปรุงท่าอากาศยานให้เป็นมาตรฐานเพื่อดำเนินการขอเปิดเที่ยวบินเพิ่มขึ้น และพิจารณาปรับชื่อท่าอากาศยานเพื่อสนับสนุนการเป็น MICE CITY ของพื้นที่กลุ่มจังหวัดต่อไป
มติที่ประชุม :
มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอในข้อ 3.4 ไปพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
ต่างประเทศ
9. เรื่อง การจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศและกิจการยุโปรแห่งสาธารณรัฐโครเอเชียว่าด้วยการหารือทางการเมือง
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศและกิจการยุโรปแห่งสาธารณรัฐโครเอเชีย (โครเอเชีย) ว่าด้วยการหารือทางการเมือง (Memorandum of understanding between the Ministry of Foreign Affairs of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Foreign and European Affairs of the Republic of Croatia on Political Consultations) (ร่างบันทึกความเข้าใจฯ) และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ขอให้ กต. สามารถดำเนินการได้ โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจดังกล่าว
สาระสำคัญ
กต. รายงานว่า
1. ประเทศไทยกับโครเอเชียได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2535 แต่ไทยและโครเอเชียยังไม่มีกลไกส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันอย่างเป็นรูปธรรม ดังนั้น ทั้งสองฝ่ายจึงเห็นชอบที่จะจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ ขี่งมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดตั้งกลไกการหารือทางการเมืองระหว่างกัน และเพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความเห็นในประเด็นความสัมพันธ์ทวิภาคีและประเด็นระหว่างประเทศที่อยู่ในความสนใจและเป็นผลประโยชน์ร่วมกันอันจะเป็นพื้นฐานสำหรับการขยายความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ที่เป็นรูปธรรมระหว่างประเทศไทยและโครเอเชียในอนาคต โดยบันทึกความเข้าใจ มีรายละเอียด ดังนี้
หัวข้อ |
รายละเอียด |
วัตถุประสงค์ |
1) เพื่อพัฒนาและเสริมสร้างความสัมพันธ์ฉันมิตรที่มีอยู่ระหว่างกันให้แน่นแฟันยิ่งขึ้น 2) เพื่อจัดตั้งกลไกการหารือและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในระดับต่าง ๆ เกี่ยวกับประเด็นความสัมพันธ์ทวิภาคีและประเด็นระหว่างประเทศที่สนใจร่วมกัน รวมทั้งการส่งเสริมความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกันเพิ่มขึ้น |
ประเด็น การหารือ ทางการเมือง |
การหารือทางการเมืองจะครอบคลุมประเด็นดังต่อไปนี้ 1) พัฒนาการความสัมพันธ์ทวิภาคีในประเด็นด้านการเมือง 2) การประสานท่าทีและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นที่สนใจร่วมกันภายใต้กรอบองค์การระหว่างประเทศที่รัฐผู้เข้าร่วมเป็นสมาชิก 3) ประเด็นอื่น ๆ ตามที่ผู้เข้าร่วมตัดสินใจ |
การจัดการหารือ ทางการเมือง |
การหารือทางการเมืองอาจจัดขึ้นทุกปี หรือบ่อยกว่านั้นตามความจำเป็น ซึ่งผู้แทนระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสของผู้เข้าร่วมจะเป็นหัวหน้าคณะในการหารือทางการเมือง |
ค่าใช้จ่าย |
ผู้เข้าร่วมจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของฝ่ายตน (ค่าที่พักและค่าเดินทางไป - กลับระหว่างประเทศไปยังสถานที่ประชุม) สำหรับการเข้าร่วมการหารือทางการเมือง โดยผู้เข้าร่วมฝ่ายเจ้าภาพจะจัดหาสถานที่และการเดินทางภายในประเทศที่จำเป็น |
การแก้ไขปัญหา ข้อขัดแย้ง |
ข้อขัดแย้งใด ๆ ที่เกิดจากการตีความหรือการบรรลุบันทึกความเข้าใจฉบับนี้จะได้รับการแก้ไขอย่างฉันมิตรผ่านการหารือของผู้เข้าร่วม |
การแก้ไข บันทึกความเข้าใจฯ |
การแก้ไขบันทึกความเข้าใจฉบับนี้อาจกระทำได้โดยความเห็นชอบร่วมกันของผู้เข้าร่วมเป็นลายลักษณ์อักษร |
ผลบังคับใช้ |
- มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่มีการลงนาม โดยจะมีผลบังคับใช้ไปจนกว่าผู้เข้าร่วมฝ่ายหนึ่งจะแจ้งเจตจำนงที่จะยกเลิกบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ให้ทราบเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้าอย่างน้อย 3 เดือนผ่านช่องทางการทูต - บันทึกความเข้าใจฯ ไม่เป็นเอกสารที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย และไม่ก่อให้เกิดข้อผูกพันใด ๆ ทางกฎหมายระหว่างประเทศแก่ผู้เข้าร่วม |
2. กต. แจ้งว่า การจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจฯ จะช่วยส่งเสริมและผลักดันความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและโครเอเชียในภาพรวมให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวไม่มีถ้อยคำหรือบริบทใดที่จะมุ่งจะก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้ข้อบังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ รวมทั้งไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายและไม่ก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศต่อผู้เข้าร่วม จึงไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
10. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีเอเปคด้านสตรีและเศรษฐกิจ ประจำปี 2567 [2024 APEC Women and the Economy Forum (WEF) Statement]
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ ดังนี้
1.เห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีเอเปคด้านสตรีและเศรษฐกิจ (ร่างแถลงการณ์ฯ) ประจำปี 2567 [2024 APEC Women and the Economy Forum Statement] โดยหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขเอกสารในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดผลประโยชน์ของประเทศไทย ขอให้ พม. ดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก
2.ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้การรับรองร่างแถลงการณ์ฯ ในการประชุมระดับสูงสำหรับผู้กำหนดนโยบายด้านสตรี และเศรษฐกิจ (High-Level Policy Dialogue on Woman and the Economy : HLPDWE) ในวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 ณ เมืองอาเรกิปา สาธารณรัฐเปรู
สาระสำคัญ
พม. รายงานว่า
1.สำนักเลขาธิการเอเปค โดยฝ่ายเลขานุการในส่วนของภารกิจหุ้นส่วนเชิงนโยบายด้านการเพิ่มการมีส่วนร่วมของสตรีในระบบเศรษฐกิจ (PPWE) ได้มีหนังสือเรียนเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เข้าร่วมการประชุมเอเปคด้านสตรีและเศรษฐกิจประจำปี 2567 ในวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 ณ เมืองอาเรกิปา สาธารณรัฐเปรู ในส่วนของการประชุมระดับสูงสำหรับผู้กำหนดนโยบายด้านสตรีและเศรษฐกิจ (HLPDWE) เพื่อหารือเกี่ยวกับยุทธศาสตร์และนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อการเร่งเสริมสร้างพลังสตรีในทางเศรษฐกิจและเป็นประโยชน์ต่อการสร้างอนาคตที่รุ่งเรืองและเป็นธรรมสำหรับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก และจะมีการรับรองร่างแถลงการณ์ฯ ดังกล่าว ซึ่งเป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุม
2.ร่างแถลงการณ์ฯ เป็นเอกสารแสดงความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างพลังสตรีในทางเศรษฐกิจใน APEC มีสาระสำคัญ ดังนี้
2.1 การส่งเสริมสตรีในอาชีพด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์และคณิตศาสตร์ (Science, Technology, Engineering and Mathematics: STEM) โดยตระหนักถึงความสำคัญของการส่งเสริมให้ผู้หญิงเข้ามามีส่วนร่วมในอาชีพด้าน STEM มากขึ้น เช่น การพัฒนาโปรแกรมการศึกษาที่ส่งเสริมความสนใจของเด็กผู้หญิงในเรื่อง STEM ตั้งแต่วัยเยาว์รวมถึงการส่งเสริมให้มีผู้หญิงอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจตัดสินใจในด้าน STEM ศึกษา ซึ่งจะเป็นรากฐานในอนาคตที่แสดงถึงความเท่าเทียมของผู้หญิง
2.2 การสร้างโอกาส : ความครอบคลุมทางการเงินในฐานะเสาหลักของการพัฒนาเศรษฐกิจ ได้ตระหนักว่าการมีส่วนร่วมของสตรีในระบบการเงินเป็นเสาหลักพื้นฐานสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน โดยการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจผ่านการเข้าถึงทุนและตลาด การเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศและโอกาสในการเรียนรู้ในด้านทักษะและสมรรถนะด้านดิจิทัล ซึ่งจะช่วยให้ผู้หญิงสามารถเสริมสร้างความเป็นอิสระทางเศรษฐกิจ
2.3 การสร้างความเสมอภาคเท่าเทียม: การบูรณาการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการป้องกันและจัดการต่อต้านความรุนแรงต่อผู้หญิง โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารใหม่ๆ ในยุคดิจิตอลเพื่อเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการจัดการกับความรุนแรงต่อผู้หญิง เช่น ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของเหยื่อหรือผู้หญิงที่มีความเสี่ยงระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่มีส่วนช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพและส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น ทั้งนี้ จะดำเนินความร่วมมือกับระหว่าง 21 เขตเศรษฐกิจเอเปค* เพื่อเป็นการสะท้อนวิสัยทัศน์ที่มีร่วมกันเพื่ออนาคตที่เท่าเทียมกันและสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับ APEC ที่ยุติธรรมด้วยการขจัดอุปสรรคที่เกิดจากความรุนแรงที่ส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจเต็มรูปแบบของสตรี
*ความร่วมมือเอเปค มีสมาชิก 21 เขตเศรษฐกิจ ประกอบด้วย ประชารัฐออสเตรเลียสมาพันธ์รัฐแคนาดาประเทศญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลีใต้ สาธารณรัฐประชาชนจีน เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ประเทศนิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกา เนการาบรูไนดารุสซาลาม สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ประเทศสหพันธรัฐมาเลเซีย สาธารณรัฐสิงคโปร์ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ประเทศไทย สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) สาธารณรัฐชิลี สหรัฐเม็กซิโก รัฐเอกราชปาปัวนิวกินี สาธารณรัฐเปรู สหพันธรัฐรัสเซีย และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
11. เรื่อง การเป็นประธานกรอบความร่วมมือเอเชียของประเทศไทยและการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชียในปี 2568
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบการเสนอตัวเป็นประธานการประชุมกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue: ACD) วาระปี 2567 – 2568 ของประเทศไทย เพื่อขอรับความเห็นชอบจากประเทศสมาชิก ACD ต่อไป
2. เห็นชอบในหลักการการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีในช่วงที่ประเทศไทยเป็นประธาน ACD ซึ่งรวมถึง (1) การประชุมระดับรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ (2) การประชุมระดับรัฐมนตรีคู่ขนานกับการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ (3) การประชุมระดับรัฐมนตรี และ (4) การประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง (ไทยจะเสนอตัวเป็นประธาน ACD ให้แก่ประเทศสมาชิกพิจารณาในการประชุมระดับรัฐมนตรี ACD ครั้งที่ 19 ที่สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน (อิหร่าน) จะเป็นเจ้าภาพ ระหว่างวันที่ 11 – 12 มิถุนายน 2567 และจะมีการส่งมอบตำแหน่งประธาน ACD ในช่วงการประชุมระดับรัฐมนตรีในช่วงเดือนกันยายน 2567)
เรื่องเดิม
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับการเป็นเจ้าภาพการจัดประชุม ACD ซึ่งประเทศไทยเคยดำรงตำแหน่งประธาน ACD 2 ครั้ง ครั้งแรก คือ วาระปี 2545 – 2546 โดยได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 18 – 19 มิถุนายน 2545 ณ จังหวัดเพชรบุรี และการประชุมระดับรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 21 – 22 มิถุนายน 2546 ณ จังหวัดเชียงใหม่ ครั้งที่สอง คือ วาระปี 2558 – 2559 โดยประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีครั้งที่ 14 ระหว่างวันที่ 9 – 11 มีนาคม 2559 ณ กรุงเทพมหานคร และเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับผู้นำครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 9 – 10 ตุลาคม 2559 ณ กรุงเทพมหานคร
สาระสำคัญของเรื่อง
กต. รายงานว่า
1. กรอบ ACD จัดตั้งขึ้นโดยข้อริเริ่มของประเทศไทยเมื่อปี 2545 เพื่อเป็นเวทีหารือระดับนโยบายของภูมิภาคที่จะช่วยส่งเสริมผลประโยชน์ร่วมกันของสมาชิก รวมทั้งเสริมสร้างความเข้าใจและความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศในเอเชีย โดยปัจจุบันกรอบ ACD มีสมาชิกรวม 35 ประเทศ จากอนุภูมิภาคทั้งหมดของเอเชีย1 ซึ่งประเทศไทยมีบทบาทนำในกรอบ ACD ในฐานะผู้ริเริ่มจัดตั้งกรอบ ACD และเป็นประเทศผู้ประสานงาน ทั้งนี้ ประเทศไทยเคยดำรงตำแหน่งประธาน ACD และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องมาแล้ว 2 ครั้ง
2. ปัจจุบันอิหร่านดำรงตำแหน่งประธาน ACD วาระปี 2566 – 2567 และยังไม่มีประเทศสมาชิกใดแสดงความประสงค์ดำรงตำแหน่งประธาน ACD ต่อจากอิหร่าน และโดยที่กรอบ ACD ไม่มีข้อกำหนดหรือระเบียบปฏิบัติในการดำรงตำแหน่งประธาน ACD ดังนั้นการดำรงตำแหน่งประธาน ACD จึงเป็นไปตามความสมัครใจของประเทศสมาชิก กต. จึงเสนอให้ประเทศไทยเป็นประธาน ACD และเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชียในปี 2568 และประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในช่วงการเป็นประธาน ACD ของประเทศไทย
ประโยชน์ที่จะได้รับ
1. การเป็นประธาน ACD จะช่วยส่งเสริมบทบาทนำของประเทศไทยในกรอบความร่วมมือในภูมิภาค สะท้อนถึงความพร้อมของประเทศไทยในการขับเคลื่อนเวทีดังกล่าวที่ครอบคลุมรัฐสมาชิกในเอเชียมากที่สุด และสอดคล้องกับเป้าหมายด้านการต่างประเทศของรัฐบาลที่มุ่งสร้างความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยและส่งเสริมบทบาทของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศเพื่อผลประโยชน์ของประเทศไทยและคนไทย
2. สามารถใช้โอกาสจากเวที ACD ในการส่งเสริมความสัมพันธ์ในระดับทวิภาคีของไทยกับประเทศสมาชิก ACD ให้มีความแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศไทย สร้างเครือข่ายและขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนและขยายความร่วมมือในระดับรัฐบาลระหว่างประเทศไทยกับประเทศต่าง ๆ มากขึ้น
________________________
[1] หมายเหตุ: ACD มีสมาชิก 35 ประเทศ ได้แก่ สาธารณรัฐอิสลามอัฟกานิสถาน ราชอาณาจักรบาห์เรน สาธารณรัฐบังกลาเทศ ราชอาณาจักรภูฏาน บรูไนดารุสซาลาม ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐอินเดีย สาธารณรัฐอินโดนีเซีย อิหร่าน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐคาซัคสถาน สาธารณรัฐเกาหลี รัฐคูเวต สาธารณรัฐคีร์กีซ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มาเลเซีย มองโกเลีย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เนปาล รัฐสุลต่านโอมาน สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน รัฐปาเลสไตน์ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ รัฐกาตาร์ สหพันธรัฐรัสเซีย ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย สาธารณรัฐสิงคโปร์ สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา สาธารณรัฐทาจิกิสถาน ราชอาณาจักรไทย สาธารณรัฐตุรกี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สาธารณรัฐอุซเบกิสถาน และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
12. เรื่อง ขอความเห็นชอบและอนุมัติให้ลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงสิ่งแวดล้อม น้ำ และการเกษตรแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจระหว่าง กษ. แห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงสิ่งแวดล้อม น้ำ และการเกษตรแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร (ร่างบันทึกความเข้าใจฯ) ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ขอให้ กษ. ดำเนินการได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
สาระสำคัญของเรื่อง
กษ. รายงานว่า
1. เมื่อปี 2565 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ประชุมหารือร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อม น้ำ และการเกษตรแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย โดยได้ตกลงให้จัดตั้งกลไกความร่วมมือระหว่างกันเพื่อส่งเสริมการพัฒนาภาคการเกษตรของทั้งสองประเทศ ซึ่งต่อมาได้มีการพิจารณาร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยได้มีการปรับปรุงแก้ไขมาอย่างต่อเนื่องและสามารถหาข้อยุติร่วมกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
2. ร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
หัวข้อ |
สาระสำคัญ |
วัตถุประสงค์ |
เพื่อยกระดับความร่วมมือระหว่างกันในสาขาเกษตรและพัฒนาศักยภาพการผลิตในภาคเกษตรบนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกันตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของทั้งสองฝ่าย |
หน่วยงานประสานงานหลัก |
- กษ. (สำนักงานปลัดกระทรวงการเกษตรและสหกรณ์) - ผู้แทนกระทรวงสิ่งแวดล้อม น้ำ และการเกษตร ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย |
สาขาความร่วมมือ |
(1) การผลิตพืชผล (2) ปศุสัตว์ (3) ประมง (4) มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (5) ความปลอดภัยอาหาร (6) การแปรรูปอาหาร (7) การจัดการน้ำและที่ดิน (8) เครื่องจักรกลการเกษตร (9) การใช้เทคโนโลยีทันสมัยในสาขาเกษตรและเทคนิคการผลิตและแปรรูปสินค้าเกษตร (10) การแลกเปลี่ยนการค้าสินค้าเกษตร (11) ระบบกฎระเบียบด้านการเกษตร (12) การประกันภัยการเกษตร (13) สาขาอื่น ๆ ที่เห็นชอบร่วมกัน |
รูปแบบการดำเนินการ |
(1) การแลกเปลี่ยนข้อมูลสถิติ เทคนิค และวิทยาศาสตร์ (2) การจัดตั้งโครงการความร่วมมือด้านการวิจัย (3) การแลกเปลี่ยนการเยือนของข้าราชการและผู้เชี่ยวชาญในสาขาเกษตร (4) การจัดการประชุมระหว่างข้าราชการ และระหว่างผู้เชี่ยวชาญในสาขาเกษตรและการค้า (5) การจัดการศึกษาและวิจัยร่วมที่เกี่ยวกับสาขาเกษตรที่มีความสนใจร่วมกัน (6) การจัดการสัมมนา การฝึกอบรม และการปฏิบัติงานในสาขาเกษตร (7) การจัดและสนับสนุนงานจัดแสดงสินค้าและสินค้าเกษตร (8) การสนับสนุนและส่งเสริมความร่วมมือโดยตรงระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (9) การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในสาขาที่มีความสนใจร่วมกันโดยเฉพาะเทคโนโลยีและนวัตกรรม ความมั่นคงทางอาหาร และระบบการเกษตร และอาหารที่ยั่งยืน (10) รูปแบบอื่น ๆ ที่คู่ภาคีเห็นชอบร่วมกัน |
การจัดตั้งคณะทำงาน |
ทั้งสองฝ่ายจะจัดตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อหารือถึงขั้นตอนและมาตรการที่จำเป็นสำหรับการยกระดับและพัฒนาความร่วมมือตามบันทึกความเข้าใจฯ โดยคณะทำงานร่วมจะจัดการประชุมตามความเหมาะสม โดยผลัดเปลี่ยนกันเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม |
งบประมาณ |
ทั้งสองฝ่ายจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของตนเองตามข้อผูกพันในบันทึกความเข้าใจฯ |
สิทธิทางทรัพย์สินทางปัญญา |
ทั้งสองฝ่ายจะดำเนินมาตรการเพื่อปกป้องสิทธิทางทรัพย์สินทางปัญญาในกรอบบันทึกความเข้าใจฯ ตามกฎหมายของประเทศตนเอง และความตกลงระหว่างประเทศที่แต่ละฝ่ายมีส่วนร่วม โดยก่อนการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งสองฝ่ายจะดำเนินการจัดทำข้อตกลงแยกที่ระบุความเป็นเจ้าของและการจัดการสิทธิตามกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับที่มีอยู่ของแต่ละฝ่าย และข้อผูกพันที่ระบุไว้ในความตกลงระหว่างประเทศ ทั้งนี้ แต่ละฝ่ายจะไม่ใช้สิทธิทางทรัพย์สินทางปัญญาร่วมที่เกิดขึ้นจากบันทึกความเข้าใจฯ โดยปราศจากความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากอีกฝ่ายหนึ่ง |
การแลกเปลี่ยนข้อมูล |
ทั้งสองฝ่ายจะไม่ใช้ข้อมูลหรือเอกสารที่มีการแลกเปลี่ยนระหว่างกันในวัตถุประสงค์อื่น ๆ นอกเหนือจากที่ได้มีการตกลงกันไว้แล้ว และจะไม่ส่งต่อให้ฝ่ายที่สาม โดยปราศจากความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นผู้ให้ข้อมูลนั้น ๆ ทั้งนี้ ข้อกำหนดนี้จะยังมีผลบังคับใช้หลังจากการยุติหรือการไม่ขยายระยะเวลาบังคับใช้ของบันทึกความเข้าใจฯ |
พันธกรณีและผลผูกพัน |
(1) ข้อกำหนดของบันทึกความเข้าใจฯ ไม่กระทบต่อพันธกรณีของแต่ละฝ่าย รวมทั้งสิทธิและเอกสิทธิ์ที่เกิดขึ้นจากความตกลงและสนธิสัญญาระหว่างประเทศ (2) บันทึกความเข้าใจฯ ไม่มีความประสงค์ที่จะก่อให้เกิดสิทธิหรือพันธกรณีที่มีผลผูกพันทางกฎหมายต่ออีกฝ่าย โดยข้อพิพาทที่เกิดขึ้นจากการตีความหรือการปฏิบัติตามบันทึกความเข้าใจฯ จะได้รับการแก้ไขอย่างฉันมิตรผ่านการหารือระหว่างคู่ภาคีเพื่อประโยชน์ส่วนร่วม |
ผลบังคับใช้ |
(1) บันทึกความเข้าใจฯ จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ทำการแจ้งครั้งสุดท้ายระหว่างกัน ผ่านช่องทางการทูตว่าได้ดำเนินการตามกระบวนการภายในทางกฎหมายที่จำเป็นเพื่อให้บันทึกความเข้าใจฯ มีผลบังคับใช้สมบูรณ์แล้ว (2) บันทึกความเข้าใจฯ จะมีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา 5 ปี และจะได้รับการต่ออายุโดยอัตโนมัติต่อเนื่องเป็นระยะเวลาทำนองเดียวกัน เว้นแต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแจ้งอีกฝ่ายหนึ่งเป็นลายลักษณ์อักษร ผ่านช่องทางการทูตถึงเจตนารมณ์ที่จะยกเลิกหรือไม่ต่ออายุบันทึกความเข้าใจฯ อย่างน้อย 6 เดือน ก่อนวันที่บันทึกความเข้าใจนี้จะสิ้นสุดลง |
การปรับปรุงแก้ไขและยกเลิก |
(1) บันทึกความเข้าใจฯ สามารถปรับปรุงแก้ไขได้ตามความเห็นชอบของทั้งสองฝ่ายเป็นลายลักษณ์อักษร และการปรับปรุงแก้ไขนั้นจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ทำการแจ้งครั้งสุดท้ายระหว่างกันผ่านช่องทางการทูต (2) การยกเลิกหรือการไม่ต่ออายุบันทึกความเข้าใจฯ จะไม่ส่งผลต่อการดำเนินโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตามข้อกำหนดนี้ |
13. เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารข้อเสนอแนะอาเซียนว่าด้วยการให้บริการสุขภาพที่มีคุณภาพ (ASEAN Recommendations on Quality Health Care)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างเอกสารข้อเสนอแนะอาเซียนว่าด้วยการให้บริการสุขภาพที่มีคุณภาพ (ร่างเอกสารข้อเสนอแนะอาเซียนฯ) และหากมีความจำเป็นที่ต้องแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารข้อเสนอแนะอาเซียนฯ ในประเด็นที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ขอให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้ สธ. เป็นผู้ใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก รวมทั้งอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขร่วมรับรองร่างเอกสารตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
สธ. รายงานว่า
1. การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านการพัฒนาสาธารณสุขครั้งที่ 18 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 - 17 พฤษภาคม 2567 ณ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยในที่ประชุมดังกล่าวจะมีการรายงานความคืบหน้าการรับรองเอกสารต่าง ๆ ทั้งในระดับรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนและเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านการพัฒนาสาธารณสุขของประเทศสมาชิกอาเซียน ดังนั้น สำนักเลขาธิการอาเซียนจึงขอความร่วมมือจากประเทศสมาชิกอาเซียน ให้รัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนพิจารณาให้การรับรองร่างเอกสารข้อเสนอแนะอาเซียนฯ ซึ่งร่างเอกสารดังกล่าวจัดทำขึ้นตามแผนงานของกลุ่มประเด็นสาธารณสุขอาเซียนที่ 31 การเสริมสร้างระบบสาธารณสุข และการเข้าถึงการดูแลสุขภาพ (ASEAN Health Cluster 3: Strengthening Health System and Access to Care) เพื่อมุ่งให้ประเทศสมาชิกอาเซียนพัฒนาการให้บริการสุขภาพปฐมภูมิและการแพทย์ดั้งเดิมและการแพทย์เสริมในประเทศสมาชิกอาเซียน รวมถึงการเข้าถึงระบบการให้บริการสุขภาพถ้วนหน้าและผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ปลอดภัยและมีคุณภาพโดยร่างเอกสารข้อเสนอแนะอาเซียนฯ เป็นการเสนอแนวทางที่สำคัญในการยกระดับและส่งเสริมการให้บริการสุขภาพที่มีคุณภาพแก่ประเทศสมาชิกอาเซียนและในภูมิภาคเพื่อก้าวสู่เป้าหมาย “อาเซียน สุขภาพดี เอาใจใส่ และยั่งยืน” ประกอบด้วย ด้านการให้บริการสุขภาพปฐมภูมิและด้านการแพทย์ดั้งเดิมและการแพทย์เสริม ซึ่งมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
ด้านการดำเนินการ |
แนวทางการดำเนินการ |
ด้านการให้บริการสุขภาพปฐมภูมิ |
(1) ส่งเสริมการวางแผนและการพัฒนากำลังคนด้านสุขภาพ ในรูปแบบการบูรณาการและตรงต่อความต้องการ เพื่อใช้ประโยชน์จากการผสมผสานของทักษะและสมรรถนะของทีมกำลังคนด้านสุขภาพในการให้บริการสุขภาพที่มีคุณภาพ (2) ส่งเสริมศักยภาพของประเทศสมาชิกอาเซียนในการดำเนินการแผนการปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่องภายในสถานบริการและยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางในการให้บริการด้านสุขภาพระดับปฐมภูมิ (3) ส่งเสริมการเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพปฐมภูมิที่กว้างขวางยิ่งขึ้น ผ่านการเข้าถึงบุคลากรที่ให้บริการสุขภาพปฐมภูมิ สู่สถานบริการปฐมภูมิในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและแอปพลิเคชันอย่างเหมาะสม (4) ใช้ข้อมูลกำลังคนด้านสุขภาพ และข้อมูลที่มีการจำแนกตามเพศ ประเภท สังกัด และภาคส่วน เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจและการพัฒนานโยบายและแผนงานด้านการให้บริการสุขภาพปฐมภูมิ ในระดับชาติและระดับอาเซียน (5) ส่งเสริมการแบ่งปันแนวปฏิบัติที่ดีด้านการให้บริการสุขภาพปฐมภูมิในระดับภูมิภาค เช่น การวางแผนและการพัฒนากำลังคนด้านสุขภาพของการให้บริการสุขภาพปฐมภูมิ และการส่งเสริมความร่วมมือด้านการให้บริการสุขภาพปฐมภูมิระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงในพื้นที่ชนบทและพื้นที่เมือง |
ด้านการแพทย์ดั้งเดิมและการแพทย์เสริม2 |
(1) พัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านกฎหมาย นโยบาย และแผนงานด้านการแพทย์ดั้งเดิม และการแพทย์เสริมในระดับชาติและระดับภูมิภาค เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการและผลิตภัณฑ์ด้านการแพทย์ดั้งเดิมและแพทย์เสริมที่มีประสิทธิผล ปลอดภัย และมีคุณภาพ รวมทั้งเพื่อการสนับสนุนการผนวกการแพทย์ดั้งเดิมและการแพทย์เสริมที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์เข้าไปอยู่ในระบบบริการสุขภาพและหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในอนาคต (2) สนับสนุนการวางแผนการพัฒนากำลังคนด้านสุขภาพ สถานบริการสุขภาพ โครงสร้างพื้นฐาน และอุปกรณ์ที่จำเป็น การจัดสรรงบประมาณที่เพียงพอ เพื่อสนับสนุนการให้บริการด้านการแพทย์ดั้งเดิมและการแพทย์เสริมในระบบบริการสุขภาพภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงการพัฒนาฐานข้อมูลระดับชาติสำหรับการติดตามและประเมินผลการให้บริการด้านการแพทย์ดั้งเดิมและการแพทย์เสริมในระบบบริการสุขภาพตามความเหมาะสม (3) สนับสนุนการรับรองคุณภาพของสถาบันและระบบการฝึกอบรมการแพทย์ดั้งเดิมและการแพทย์เสริม เพื่อปรับปรุงมาตรฐานการฝึกอบรมและหลักสูตรการศึกษาสำหรับนักศึกษา บุคลากรผู้ให้บริการ นักการศึกษา และบุคลากรอื่น ๆ ด้านการแพทย์ดั้งเดิมและการแพทย์เสริม (4) เสริมสร้างร่วมมือในระดับภูมิภาค เช่น การประชุมแบ่งปันข้อมูล และการพัฒนาหลักสูตรเพื่อปรับปรุงสมรรถนะของบุคลากรผู้ให้บริการด้านการแพทย์ดั้งเดิมและการแพทย์เสริม นักการศึกษาและนักวิจัยในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน
|
2. การดำเนินการตามข้อเสนอแนะดังกล่าวจะทำให้ประเทศไทยมีการวางแผนและการพัฒนากำลังคนด้านสุขภาพ โดยเฉพาะการให้บริการสุขภาพปฐมภูมิ รวมทั้งเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านกฎหมาย นโยบาย แผนงาน และการวิจัยด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์เสริมในประเทศไทยเพื่อสนับสนุนการยกระดับการให้บริการสุขภาพที่มีคุณภาพแก่ประชาชนไทย
________________________________
1 แผนงานของกลุ่มประเด็นสาธารณสุขอาเซียน มีจำนวน 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มประเด็นที่ 1 การส่งเสริมวิถีการดำรงชีวิตที่มีสุขภาพดี (Promoting healthy lifestyle) กลุ่มประเด็นที่ 2 การโต้ตอบอันตรายและภัยคุกคามต่าง ๆ (Responding to all hazards and emerging threats) กลุ่มประเด็นที่ 3 การเสริมสร้างระบบสาธารณสุขและการเข้าถึงการดูแลสุขภาพ (Strengthening health system and access to care) และกลุ่มประเด็นที่ 4 ความมั่นใจในความปลอดภัยของอาหาร (Ensuring food safety)
2 การแพทย์ดั้งเดิม คือ องค์ความรู้ ทักษะที่ใช้ในการดูแลสุขภาพของประชาชนในประเทศนั้น ๆ มาอย่างยาวนาน เช่น การแพทย์ดั้งเดิมของประเทศไทย คือ การแพทย์แผนไทย การแพทย์เสริม หรือการแพทย์ทางเลือก คือ องค์ความรู้ ทักษะที่ใช้ในการดูแลสุขภาพของประชาชนที่ได้รับมาจากประเทศอื่น ๆ เช่น การแพทย์เสริมของประเทศไทย คือ การแพทย์แผนจีน
14. เรื่อง ขอความเห็นชอบการรับรองร่างแถลงการณ์เวียงจันทน์ว่าด้วยความเสมอภาค การเข้าถึงและสิ่งแวดล้อม : การพัฒนาความสามารถในการปรับตัวรับกับสภาพภูมิอากาศของเด็กปฐมวัยในอาเซียน (Vientiane Statement on Equity, Access and Environment: Advancing Climate Resilience in Early Childhood Settings in ASEAN)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างแถลงการณ์เวียงจันทน์ว่าด้วยความเสมอภาค การเข้าถึงและสิ่งแวดล้อม : การพัฒนาความสามารถในการปรับตัวรับกับสภาพภูมิอากาศของเด็กปฐมวัยในอาเซียน (ร่างแถลงการณ์ฯ) (Vientiane Statement on Equity, Access and Environment: Advancing Climate Resilience in Early Childhood Settings in ASEAN) ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างแถลงการณ์ฯ ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ขอให้ ศธ. ดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้ความเห็นชอบและรับรองร่างแถลงการณ์ฯ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. กระทรวงศึกษาธิการและกีฬาแห่ง สปป. ลาว ได้กำหนดจัดประชุมระดับรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมการเข้าถึงการพัฒนาและการดูแลเด็กปฐมวัยอย่างเท่าเทียมในภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Ministerial Meeting on Ensuring Equal Access to Quality Early Childhood Development and Care) ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 ณ สปป. ลาว โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว และจะมีการพิจารณาและรับรองร่างแถลงการณ์ฯ ที่ยกร่างโดย สปป. ลาว ในฐานะผู้ริเริ่มและมีบทบาทนำในร่างแถลงการณ์ฯ ซึ่งได้มีการแจ้งเวียนประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อปรับแก้ร่างแถลงการณ์ฯ ด้วยแล้ว ทั้งนี้ เมื่อร่างแถลงการณ์ฯ ได้รับการรับรองจากที่ประชุมดังกล่าวแล้ว จะมีการเสนอให้ที่ประชุมคณะมนตรีประชาสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนทราบในเดือนกันยายน 2567 และจะเสนอต่อที่ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 44-45 ทราบต่อไป
2. กระทรวงศึกษาธิการได้ขอให้นำสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างแถลงการณ์เวียงจันทน์ว่าด้วยความเสมอภาคการเข้าถึง และสิ่งแวดล้อม : การพัฒนาความสามารถในการปรับตัวรับกับสภาพภูมิอากาศของเด็กปฐมวัยในอาเซียน เพื่อสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ร่วมของอาเซียนและความมุ่งมั่นที่จะผลักดันการดูแลและการจัดการศึกษาแก่เด็กปฐมวัยและบูรณาการการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศเข้าด้วยกันซึ่งมีประเด็นที่สำคัญเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงการดูแลและการจัดการศึกษาเด็กปฐมวัยที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียมแก่เด็กทุกคนในอาเซียน เช่น การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อการวางแผนและการปฏิบัติด้านการดูแลและการศึกษาแก่เด็กปฐมวัย การส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในด้านการดูแลและจัดการศึกษาให้แก่เด็กปฐมวัย การเพิ่มการจัดสรรงบประมาณด้านการดูแลและการศึกษาเด็กปฐมวัย
3. ร่างแถลงการณ์ฯ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้ 1) วิสัยทัศน์ร่วมและความมุ่งมั่น 2) การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมและภูมิอากาศ 3) การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) 4) การดูแลและการจัดการศึกษาแก่เด็กปฐมวัย 5) การดำเนินงานภายใต้ปฏิญญาผู้นำอาเซียนว่าด้วยการเป็นภูมิภาคที่มีภูมิคุ้มกันอย่างยั่งยืน ค.ศ. 2023 6) การสนับสนุนด้านนโยบายที่ส่งเสริมการปรับตัวเพื่อรองรับสภาพภูมิอากาศ 7) การบูรณาการความรู้และการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับภูมิอากาศในหลักสูตรการดูแลและการจัดการศึกษาแก่เด็กปฐมวัย 8) บทบาทของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง 9) การจัดทำแผนกลยุทธ์ปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยการดูแลและจัดการศึกษาแก่เด็กปฐมวัย (แผนกลยุทธ์ฯ)
15. เรื่อง การจัดทำความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างสำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย (ไทเป) กับสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างสำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย (ไทเป) กับสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเปประจำประเทศไทย [Agreement between the Thailand Trade and Economic Office in Taipei (TTEO) and the Taipei Economic and Cultural Office in Thailand (TECO) for the Promotion and Protection of Investments] (ร่างความตกลงฯ) ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ หรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์
ของไทย ขอให้ กต. ดำเนินการต่อไปได้ โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง
2. อนุมัติให้ผู้อำนวยการใหญ่สำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย (ไทเป) ลงนามร่างความตกลงดังกล่าวสำหรับฝ่ายไทย กับผู้แทนสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเปประจำประเทศไทย ซึ่งจะเป็นผู้ลงนามฝ่ายไต้หวัน
3. อนุมัติให้ กต. มีหนังสือแจ้งฝ่ายไต้หวัน เพื่อให้ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับภายหลังการลงนาม
สาระสำคัญของเรื่อง
กต. รายงานว่า
1. หลังจากที่ประเทศไทยและไต้หวันได้ลงนามในความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างกันเมื่อปี 2539 (ความตกลงฯ ฉบับเดิม) ต่อมาในปี 2553 ฝ่ายไต้หวันได้เริ่มทาบทามขอแก้ไขความตกลงฯ ฉบับเดิม เพื่อให้สอดคล้องกับพัฒนาการด้านการลงทุนในปัจจุบัน โดยทั้งสองฝ่ายได้เจรจาเพื่อแก้ไขความตกลงฯ ฉบับเดิมมาตั้งแต่ปี 2558 จนสามารถบรรลุการเจรจาร่างความตกลงฯ เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 และขัดเกลาถ้อยคำทางกฎหมายแล้วเสร็จเมื่อเดือนมีนาคม 2567
2. ร่างความตกลงฯ ฉบับใหม่ (ข้อเสนอในครั้งนี้) มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงและแทนที่ความตกลงฯ ฉบับเดิมเพื่อให้สอดคล้องกับบริบทของการลงทุนในปัจจุบันที่เน้นการส่งเสริมการลงทุนที่ยั่งยืน ซึ่งมีการปรับปรุงข้อบทให้มีความชัดเจนและรัดกุม รวมทั้งเพิ่มข้อบทเกี่ยวกับการดำเนินมาตรการเพื่อประโยชน์สาธารณะ เพื่อเสริมสร้างสมดุลที่เหมาะสมระหว่างการคุ้มครองการลงทุนกับการรักษาพื้นที่เชิงนโยบายของหน่วยงาน ทั้งนี้ โดยเป็นไปตามกรอบการเจรจาความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างประเทศตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 (เรื่อง การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2560 ในการกำหนดรูปแบบและขั้นตอนในการดำเนินการป้องกันการฟ้องร้องหน่วยงานของรัฐโดยนักลงทุนต่างชาติ) โดยไม่รวมเรื่องการเปิดเสรี
16. เรื่อง ร่างหนังสือแสดงเจตจำนงว่าด้วยความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ระหว่างศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหารกับ Direction générale de l'Armement สาธารณรัฐฝรั่งเศส
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหม เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างหนังสือแสดงเจตจำนงว่าด้วยความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศระหว่างศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหารกับ Direction générale de l'Armement สาธารณรัฐฝรั่งเศส
2. ให้ผู้อำนวยการศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ร่วมลงนามในร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ
ทั้งนี้หากมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ โดยไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญของร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ให้กระทรวงกลาโหมพิจารณาดำเนินการได้ตามความเหมาะสม
สาระสำคัญ
1. ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้อำนวยการศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังานทหาร ได้หารือร่วมกับพลอากาศเอก Fabien Mandon หัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำประธานาธิบดีฝรั่งเศส ด้วยระบบการประชุมทางไกลผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2567 โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือร่วมกันเกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ซึ่งรวมถึงแนวทางในการดำเนินกิจการร่วมค้า (Joint Venture) ที่มีหน่วยงานภาครัฐเป็นผู้อำนวยความสะดวก (Facilitator) สนับสนุนภาคเอกชนในฐานะผู้ดำเนินการ ทั้งนี้ ต่อมาฝ่ายสาธารณรัฐฝรั่งเศสได้เสนอให้จัดทำหนังสือแสดงเจตจำนงฯ เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการพัฒนาความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศระหว่างกัน และเสนอให้มีการลงนามในร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ดังกล่าวในห้วงการเดินทางเยือนสาธารณรัฐฝรั่งเศสของนายกรัฐมนตรี
2. ร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ เป็นเอกสารที่แสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการส่งเสริมความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ดำเนินการภายใต้ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการส่งกำลังบำรุงทางทหารระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส ที่ลงนามเมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2543 บนพื้นฐานของความไว้วางใจและผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศโดยสอดคล้องกับข้อบังคับและกฎหมายภายใน ตลอดจนพันธกรณีระหว่างประเทศที่ทั้งสองฝ่ายเป็นภาคี ทั้งนี้มีกรอบความร่วมมือที่สำคัญ ได้แก่ การสำรวจศักยภาพและโอกาสในการพัฒนาความร่วมมือระหว่างกัน การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและผู้ประกอบการภาคเอกชนของทั้งสองประเทศในด้านต่าง ๆ การสนับสนุนการลงทุนด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศที่สามารถป็นไปได้ภายในไทย ซึ่งอาจรวมถึงการจัดตั้งกิจการร่วมทุนต่อไปในอนาคต
3. ประโยชน์และผลกระทบ
การจัดทำหนังสือแสดงเจตจำนงฯ จะเป็นการยกระดับและส่งเสริมความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐฝรั่งเศสให้มีความแน่นแฟ้นและมีการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น ทั้งนี้ จากการที่สาธารณรัฐฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีศักยภาพและระดับการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศในระดับนำของโลก ซึ่งการพัฒนาความร่วมมือภายใต้หนังสือแสดงเจตจำนงฯ จะเป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทยให้มีความก้าวหน้าและสามารถแข่งขันได้ต่อไป
17. เรื่อง ขอความเห็นชอบให้กรมศิลปากรรับมอบโบราณวัตถุ จำนวน 2 รายการ กลับคืนให้ประเทศไทยจากพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน สหรัฐอเมริกา
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบให้กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากร รับมอบโบราณวัตถุ จำนวน 2 รายการ ได้แก่ ประติมากรรมสำริดรูปพระศิวะ (The Standing Shiva) หรือ Golden Boy และประติมากรรมรูปสตรีพนมมือ (The Kneeling Female) จากพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน สหรัฐอเมริกา ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2567 ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
2. มอบหมายกรมศิลปากร พิจารณาข้อตกลงและนำเสนอตามกระบวนการต่อไป
สาระสำคัญ
ในการประชุมคณะกรรมการติดตามโบราณวัตถุของไทยในต่างประเทศกลับคืนสู่ประเทศไทย ครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2567 อธิบดีกรมศิลปากรในฐานะเลขานุการของคณะกรรมการฯ ได้รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการติดตามโบราณวัตถุประติมากรรมสำริดรูปพระศิวะที่เก็บรักษาและจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน สหรัฐอเมริกา โดยกรมศิลปากรได้รับการติดต่อทางจดหมายจาก นาย Max Hollein ตำแหน่ง Director & CEO ของพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน สหรัฐอเมริกา ซึ่งในจดหมายระบุว่า พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน สหรัฐอเมริกา ประสงค์จะส่งมอบโบราณวัตถุ จำนวน 2 รายการ กลับคืนสู่ประเทศไทย ได้แก่ ประติมากรรมสำริดรูปพระศิวะ (The Standing Shiva) หรือ Golden Boy และประติมากรรมรูปสตรีพนมมือ (The Kneeling Female)
กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากร ได้รับการประสานจากพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน สหรัฐอเมริกา โดยได้มอบหมายให้นาย John Guy ภัณฑารักษ์ของพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน เป็นผู้แทนในการเจรจาเกี่ยวกับรายละเอียดในการส่งมอบโบราณวัตถุ จำนวน 2 รายการ กลับคืนสู่ประเทศไทย ซึ่งขณะนี้พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน สหรัฐอเมริกา จะดำเนินการจัดส่งโบราณวัตถุ จำนวน 2 รายการ กลับคืนถึงประเทศไทย ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2567 โดยพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน สหรัฐอเมริกา ยินดีที่จะลงนามในข้อตกลงว่าด้วยการส่งมอบโบราณวัตถุดังกล่าว ภายหลังจากการส่งมอบโบราณวัตถุให้อยู่ในความครอบครองของกรมศิลปากร
ประโยชน์และผลกระทบ
ประเทศไทยได้รับโบราณวัตถุ จำนวน 2 รายการ กลับคืนสู่ประเทศไทย ได้แก่ ประติมากรรมสำริดรูปพระศิวะ (The Standing Shiva) หรือ Golden Boy และประติมากรรมรูปสตรีพนมมือ (The Kneeling Female) โดยเฉพาะอย่างยิ่งโบราณวัตถุประติมากรรมสำริดรูปพระศิวะ (The Standing Shiva) หรือ Golden Boy เป็นโบราณวัตถุที่มีความสำคัญและมีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าเป็นโบราณวัตถุที่ถูกลักลอบขุดค้นจากโบราณสถานปราสาทบ้านยางหรือปราสาทบ้านยางโป่งสะเดา ตำบลตาจง อำเภอละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์
แต่งตั้ง
18. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้
1. นางสาววารุณี ปั้นกระจ่าง อัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมัสกัต รัฐสุลต่านโอมาน
2. นางจิราพร สุดานิช กงสุลใหญ่ สถานกงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูตประจำกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ซึ่งการแต่งตั้งข้าราชการให้ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศในลำดับที่ 1 ได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับแล้ว
19. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอแต่งตั้ง นางสาวจันทร์เพ็ญ เมฆาอภิรักษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
20. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ จำนวน 12 คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2566 ดังนี้
1. ศาสตราจารย์ดุสิต เวชกิจ ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
2. นายวิจารย์ สิมาฉายา ด้านสิ่งแวดล้อม
3. นายศศิน เฉลิมลาภ ด้านทรัพยากรธรณี
4. รองศาสตราจารย์ธรรมศักดิ์ ยีมิน ด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเล
5. รองศาสตราจารย์อรพรรณ ศรีเสาวลักษณ์ ด้านเศรษฐศาสตร์
6. นางพวงทอง อ่อนอุระ ด้านนิติศาสตร์
7. นายนิวัติ ธัญญะชาติ ผู้แทนชุมชนชายฝั่ง ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและ
ชายฝั่ง
8. นายไมตรี จงไกรจักร์ ผู้แทนชุมชนชายฝั่ง ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
9. นายมนูญ คุ้มรักษ์ ผู้แทนชุมชนชายฝั่ง ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
10. นายพิษณุพงษ์ เหล่าลาภผล ผู้แทนชุมชนชายฝั่ง ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเล
และชายฝั่ง
11. นายเหลด เมงไซ ผู้แทนชุมชนชายฝั่ง ด้านการประมง
12. นายชยพัทธ์ สุวรรณาราม ผู้แทนชุมชนชายฝั่ง ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป
21. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอการแต่งตั้ง นายธนรัช จงสุทธานามณี เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป
22. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. นายอาดิลัน อาลีอิสเฮาะ ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายอรรถกร ศิริสัทธยากร))
2. นายภูผา ลิกค์ ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายอรรถกร ศิริลัทธยากร))
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป
23. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอการแต่งตั้งบุคคล ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง จำนวน 5 ราย ดังนี้
1. นางสาวธีราภา ไพโรหกุล ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง
2. นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (รองนายกรัฐมนตรี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ)
3. นายพงศ์ศรัณย์ อัศวชัยโสภณ ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (รองนายกรัฐมนตรี นายพิชัย ชุณหวชิร)
4. นายกฤช เอื้อวงศ์ ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวจิราพร สินธุไพร)
5. นายนิกร ซัจเดว ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป
24. เรื่อง คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 176/2567 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 176/2567 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี
ตามที่ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 167/2567 เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 7 พฤษภาคม 2567 นั้น
เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย อาศัยอำนาจตามความ
ในมาตรา 10 และมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 มาตรา 11 (2) และมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2550 และมาตรา 90 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการมอบอำนาจ พ.ศ. 2550 จึงให้แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 167/2567 ลงวันที่ 7 พฤษภาคม 2567 ดังนี้
1. การมอบหมายและมอบอำนาจให้ รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้
1.1 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ 1.1.9
“1.1.9 สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ”
1.2 ให้ยกเลิกความในข้อ 1.2 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“1.2 การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการและสั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้
1.2.1 ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้
1.2.2 สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ”
2. การมอบหมายและมอบอำนาจให้ รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย ชุณหวชิร) ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ให้ยกเลิกความในข้อ 3.1.3 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“3.1.3 สำนักงบประมาณ (ยกเว้นที่เกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของนายกรัฐมนตรี
ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ)”
3. ให้ยกเลิกความในข้อ 12 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“12 ให้รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีในส่วนราชการใด เป็นประธาน อ.ก.พ. ทำหน้าที่ อ.ก.พ. กระทรวงของส่วนราชการนั้นด้วย ยกเว้น อ.ก.พ. สำนักนายกรัฐมนตรี ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) เป็นประธาน”
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 เป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี