เปิดมือดีล‘ปลัด.ฉ.’
แนะ‘เศรษฐา’ดึง‘วิษณุ’ช่วยงาน
นายกฯกล่อมนักธุรกิจที่ฮ่องกง
เชิญชวนร่วมลงทุนแลนด์บริดจ์
โวเงินดิจิทัลดันศก.โต1.2-1.8%
เปิดตัวละครลับ“ปลัด ฉ.”เบื้องหลังคนแนะนำ“เศรษฐา”ใช้บริการเนติบริกร“วิษณุ”สู้คดีใน“ศาลรัฐธรรมนูญ” หลังรับคำร้อง 40 สว.ยื่นสอยพ้นนายกฯ ด้าน“เศรษฐา”บินฮ่องกงขึ้นเวที “UBS Asian Investment”ย้ำไทยเปิดรับต่างชาติลงทุน ลั่นเงินหมื่นดิจิทัล ช่วยกระตุ้นจีดีพีประเทศ 1.2-1.8% ไม่ลืมชวนต่างชาติลงทุน “แลนด์บริดจ์”เผยคืบหน้าFTAไทย-สหภาพยุโรป คาดลงนามปี68เชิญชวนภาคเอกชนมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยเพื่อความสำเร็จร่วมกัน
เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2567 จากกรณีที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เตรียมแต่งตั้งนายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นที่ปรึกษาสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี หลังจากยอมรับว่ามีความกังวลกรณีศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้องของ 40สว.ที่ยื่นวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงหรือไม่ จากกรณีแต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และได้เข้าพบนายวิษณุ ที่บ้านพักเมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา เพื่อปรึกษาถึงแนวทางการคำชี้แจงต่อศาลธรรมนูญ
‘ปลัดฉ.’มือดีลดึง’วิษณุ’ช่วยนายกฯ
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ผู้ที่แนะนำให้นายเศรษฐา เข้าปรึกษาขอคำแนะนำจากนายวิษณุ ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายต่างๆในการบริหารราชการแผ่นดิน และในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกรณีในศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งกำหนดให้ทำคำชี้แจงภายใน 15วัน นับตั้งแต่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง คือ ปลัด ฉ. ซึ่งมีความใกล้ชิดกับนายเศรษฐา รวมถึงผู้หลักผู้ใหญ่ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ และบุคคลสำคัญในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยนายเศรษฐา ยังต้องการให้นายวิษณุ เข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อีกด้วย
ศาลตีตก‘แม้ว’ชี้นำพท.แจก1หมื่น
ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเป็นเอกฉันท์สั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยในคดีที่นายคงเดชา ชัยรัตน์ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่า การกระทำของพรรคเพื่อไทย ที่นำนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000บาท มาใช้ในการ หาเสียงเลือกตั้ง สส.ทำให้คะแนนเสียงเลือกตั้งไม่ได้มาจากเจตจำนงที่แท้จริงของประชาชน เป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และการมีพฤติการณ์ยินยอมให้นายทักษิณ ชินวัตร ชี้นำกิจกรรมของพรรคการเมือง ทำให้การใช้เสรีภาพในการจัดตั้งพรรคการเมือง ไม่เป็นไปตามกฎหมาย การกระทำของคณะรัฐมนตรี ที่นำนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท มาใช้ในการบริหารราชการแผ่นดินโดยไม่ชี้แจงแหล่งที่มาของรายได้ มีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ต่อบุคคล ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ การกระทำของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในการบริหารราชการแผ่นดินที่ไม่ให้ข้อมูลข่าวสารตามข้อเท็จจริงอย่างถูกต้องครบถ้วนแก่ประชาชน กระทำการเป็นสื่อมวลชนประเภทสื่อออนไลน์ อันเป็นลักษณะต้องห้ามของรัฐมนตรีและมีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการแต่งตั้งบุคคล ที่ขาดคุณสมบัติเพื่อดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี เป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมและการกระทำของนายทักษิณ ที่อาจเป็นการชี้นำกิจกรรมของพรรคเพื่อไทย ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพทางการเมืองเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา49 วรรคหนึ่ง
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้อง คำร้องเพิ่มเติมและเอกสารประกอบ ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานที่ชัดเจนเพียงพอและยังไกลเกินกว่าเหตุที่แสดงให้เห็นได้ว่าผู้ถูกร้องทั้งหมดกระทำการใด ๆ ที่เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา49วรรคหนึ่ง คำร้องเป็นเพียงการแสดงความเห็นต่าง ของผู้ร้องเท่านั้น ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย
‘เศรษฐา’ขึ้นเวทีUBS Asian Investment
เวลา 10.45น.วันที่ 29พฤษภาคม2567 (เวลาท้องถิ่นฮ่องกง) ณ ห้อง Grand Ballroom โรงแรม Four Seasons เขตบริหารพิเศษฮ่องกง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมงาน UBS Asian Investment Conference (AIC) 2024 งานรวมตัวของภาคธุรกิจ นักลงทุนจากสถาบันการเงินทั่วโลกและบุคคลที่มีชื่อเสียงในภาคธุรกิจมากกว่า 2,000ราย รวมทั้งบริษัทในเอเชียแปซิฟิก 300 แห่ง ซึ่งได้มาหารือกันถึงสถานการณ์เศรษฐกิจโลก และการค้า การลงทุน ในภาคต่างๆ โอกาสนี้ นายกฯได้กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “Wisdom: An eye on the past, a view to the future” ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายและวิสัยทัศน์ของรัฐบาล ที่นำภูมิปัญญา หรือ Wisdom จากประสบการณ์ในอดีต มาเป็นแนวทางในการรับมือกับความท้าทาย และกำหนดอนาคตของประเทศไทย โดยความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวของไทยที่มีมาตั้งแต่อดีตนี้ ถือเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยให้ไทยผ่านพ้นสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ซับซ้อน และสามารถคว้าโอกาสที่ช่วยประเทศให้เติบโตทางเศรษฐกิจได้ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้นำเสนอนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล รวมถึงวิสัยทัศน์ต่ออนาคตของประเทศไทย
รบ.มุ่งสร้างนโยบายศก.ที่แข็งแกร่ง
ส่วนการกำหนดนโยบายเป้าหมายของรัฐบาล คือ การสร้างนโยบายเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ทำให้เศรษฐกิจเติบโตด้วยการส่งเสริมนวัตกรรม ควบคู่กับการให้ความสำคัญกับความยั่งยืน โดยมีแนวทางในการเสริมสร้างเสถียรภาพทางการคลัง การปฏิรูปกฎระเบียบและการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในสาขาที่สำคัญ อาทิ ไทยปรับปรุงมาตรการด้านภาษีเพื่อดึงดูดการลงทุนมากขึ้นและปรับปรุงกระบวนการในการดำเนินธุรกิจ ขจัดอุปสรรคด้านขั้นตอนเพื่อส่งเสริมนวัตกรรมด้านธุรกิจและการเติบโตของผู้ประกอบการ รวมทั้งลดความซับซ้อนในการออกใบอนุญาตทำงานสำหรับแรงงานต่างชาติ พัฒนาระบบSuper License สำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ลดข้อจำกัดการนำเข้าและส่งออก ส่งเสริมพลังงานสะอาด โดยมีจุดหมายสำคัญเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลก
เงินดิจิทัลกระตุ้นจีดีพีโต1.2-1.8%
นโยบายทางการเงินการคลังที่สำคัญ คือ การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล โดยในไตรมาสแรกของปี2567 ประเทศไทยมีการเติบโตของ GDP อยู่ที่ 1.5% และคาดการณ์ทั้งปีจะอยู่ที่ 2-3% รัฐบาลจึงมุ่งที่จะเปลี่ยนแปลงการเติบโตเศรษฐกิจของไทยให้สูงขึ้นผ่านการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท (275ดอลลาร์สหรัฐ) ให้คนไทย50ล้านคน ซึ่งจะช่วยอัดฉีดเงินกว่า 5 แสนล้านบาทเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทย และจะสามารถกระตุ้นGDPได้1.2-1.8%และด้วยกระเป๋าเงินดิจิทัลนี้เงินจะลงไปถึงชุมชนท้องถิ่น ธุรกิจเล็ก ๆ ทำให้เกิดผลกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น โดยในระยะยาว นโยบายดังกล่าวจะวางรากฐานระบบการชำระเงินแบบบล็อกเชนทั่วประเทศ พร้อมด้วยการรักษาวินัยทางการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด และการลงทุนจากต่างประเทศที่มากขึ้น ด้านนโยบายการค้า รัฐบาลจะตั้งเป้าหมายให้ไทยเป็นพันธมิตรที่สำคัญสำหรับ Supply Chain ทั่วโลก โดยดำเนินการลดข้อจำกัดการนำเข้า-ส่งออก เร่งการเจรจา FTA กับเขตเศรษฐกิจสำคัญ ๆ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ประกาศว่า การเจรจา FTA ไทย-สหภาพยุโรป ที่มีความคืบหน้าและคาดว่าจะลงนามความตกลงได้ภายในปี2568
ปรับปรุงกฎระเบียบ-โครงสร้างพื้นฐาน
ด้านการดำเนินธุรกิจ รัฐบาลกำลังสร้างกลไกในการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบใหม่ ซึ่งขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ รวมทั้งอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ควบคู่กับการส่งเสริมธุรกิจที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งยังปรับปรุง ease of doing business กฎระเบียบและการแปลงบริการภาครัฐให้เป็นดิจิทัลและลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น สนามบิน และโครงการ Landbridge ด้านการพัฒนามนุษย์ รัฐบาลพร้อมเสริมสร้างบุคลากรให้มีความพร้อมสำหรับอนาคต ด้วยการส่งเสริมการศึกษา ทักษะ และการเรียนรู้ตลอดชีวิต ส่งเสริมการศึกษาในวิชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM) ให้กับเยาวชนตั้งแต่ยังเด็ก รวมถึงมีหลักสูตรในการปรับทักษะทางวิชาชีพสำหรับแรงงานที่มีอยู่ด้วย นอกจากนี้ รัฐบาลมีแผนที่จะดึงดูดผู้มีความสามารถจากต่างชาติ ด้วยการปรับปรุงการออกใบอนุญาตทำงานและกระบวนการขอวีซ่า และเสนอสิทธิประโยชน์ เพื่อเติมเต็มช่องว่างด้านแรงงานที่มีทักษะ
ส่งเสริมศก.สีเขียว-พลังงานสะอาด
ด้านการส่งเสริมความยั่งยืน ไทยให้ความสำคัญกับการเติบโตที่ยั่งยืนและครอบคลุม ผ่านการปรับปรุงเศรษฐกิจสีเขียวและการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานไปสู่พลังงานสะอาด ในขณะที่เพิ่มความพยายามเป็นสองเท่าในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 และ net-zero ภายในปี 2065 ซึ่งในปี 2040 ไทยจะกลายเป็นผู้ผลิตพลังงานสะอาดชั้นนำในภูมิภาค โดย 50% ของไฟฟ้าทั้งหมดในประเทศไทยมาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน พร้อมเชิญชวนภาคเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญด้านพลังงานสะอาดมาร่วมลงทุนในไทยมากขึ้น ซึ่งในปีนี้รัฐบาลมีแนวทางที่จะใช้เงินทุนจำนวนเกือบ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ (3 หมื่นล้านบาท) ในตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน และเน้นย้ำถึงความยั่งยืนทางการเงินและการคลัง ซึ่งไทยยังคงรักษาระดับหนี้สาธารณะและการขาดดุลทางการคลังอยู่ในขอบเขตที่จัดการได้ และด้วยทุนสำรองระหว่างประเทศที่เพียงพอ ไทยจะยังคงรักษาการเติบโตและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจไว้ได้
ศูนย์กลางการบิน-ท่องเที่ยว-การขนส่ง
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงวิสัยทัศน์ Ignite Thailand ทั้ง 8วิสัยทัศน์ ซึ่งจะขับเคลื่อนให้ไทยเป็นศูนย์กลางที่ครอบคลุมทั้งด้าน 1.การบิน ซึ่งไทยจะอัพเกรดสนามบินที่มีอยู่และสร้างสนามบินเพิ่มเติม เพื่อให้บริการมากขึ้นและเป็นทางเลือกของการคมนาคม 2.การท่องเที่ยว ซึ่งปีหน้าจะเป็นปีสำคัญของการท่องเที่ยวไทย รัฐบาลอยู่ระหว่างการพูดคุยเพื่อจัดกิจกรรมระดับโลกจัดที่ประเทศไทย อาทิ Art Basel และ Formula 1 3. การรักษาพยาบาลและสุขภาพ 4. การเกษตรและอาหาร 5. การขนส่ง 6. การผลิตยานยนต์แห่งอนาคต 7. เศรษฐกิจดิจิทัล และ 8. ศูนย์กลางทางการเงิน โดยนายกรัฐมนตรีประกาศว่า ต้องการทําให้ประเทศไทยเป็น “สถานที่ที่น่าอยู่” เป็นสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคของบริษัททางการเงิน ซึ่งเป็นด้านที่ไทยมีศักยภาพ ด้วยการสนับสนุนการลงทุนของรัฐบาล ประกอบกับศักยภาพของประเทศไทย ทำให้เชื่อมั่นได้ว่าวิสัยทัศน์นี้อยู่ใกล้แค่เอื้อม โดยนายกรัฐมนตรีเชิญชวนทุกคนร่วมการเดินทางในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ด้วยการสนับสนุนจากรัฐบาล บวกกับศักยภาพของประเทศไทยที่มีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อนวัตกรรมและการเติบโต นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า จะทำให้ทุกฝ่ายสร้างอนาคตที่เจริญรุ่งเรือง ยั่งยืนและครอบคลุม เพื่อประโยชน์และความสำเร็จร่วมกัน ช่วงท้ายนายกฯเน้นย้ำความพร้อมสู่การเปิดประตูต้อนรับการลงทุนในประเทศไทยจากต่างชาติ
นักธุรกิจฮ่องกงสนใจขยายลงทุนไทย
เวลา 11.15น. (เวลาท้องถิ่นฮ่องกง) ณ ห้อง Victoria II โรงแรม Four Seasons เขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พบหารือกับนายริชาร์ดหลี่ (Mr. Richard Li) นักธุรกิจฮ่องกง ซึ่งประกอบธุรกิจด้านประกันชีวิตและสาธารณูปโภคพื้นฐานด้านโทรคมนาคมของฮ่องกง มีบริษัทในเครือหลากหลายบริษัท ทั้งบริษัทHong Kong Telecom บริษัทPacific Century Group บริษัทPacific Century CyberWorks LimitedและบริษัทFWD นายกฯและนายริชาร์ดหลี่ หารือถึงความร่วมมือโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน โดยนายกฯ ยินดีเชิญชวนบริษัทของนายริชาร์ดฯ ร่วมการลงทุนในประเทศไทย โอกาสนี้ ทั้งสองได้หารือเรื่องนโยบายทางการเงินการคลังของไทย และอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งนายกฯ พร้อมรับฟัง และนำข้อเสนอแนะมาพิจารณา เพื่ออำนวยความสะดวกการดำเนินธุรกิจระหว่างไทยและฮ่องกงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี