ศาลรธน.สั่งยื่นบัญชีพยานเพิ่ม
‘เศรษฐา’ลุ้นระทึก!
นัดพิจารณาอีกครั้ง18มิ.ย.
ปมตั้ง‘พิชิต’เป็นรัฐมนตรี
นายกฯชี้‘กิตติรัตน์’หมดลุ้น
นั่ง‘ปธ.บอร์ดธปท.’คนใหม่
ศาลรัฐธรรมนูญสั่งนายกฯ-40 สว.ส่งบัญชีพยานหลักฐานเพิ่ม ปมตั้ง“พิชิต ชื่นบาน”เป็นรมต.นัดพิจารณาใหม่ 18 มิถุนายนนี้ ด้านนายกฯชี้ทุกหน่วยเตรียมความพร้อมก่อนถกงบฯ68 เป็นเรื่องที่ดี ถือว่าให้เกียรติสภาฯโยนถาม’พิชัย’ปมเลือกประธานบอร์ด ธปท.คนใหม่ ยัน“กิตติรัตน์”หมดสิทธิ์ เหตุนั่งที่ปรึกษาของนายกฯ ต้องปลอดจากตำแหน่ง1ปี ย้ำรบ.เดินหน้าแก้ศก.ทุกภาคส่วนมีจิตวิญญาณเดียวกันปชช.เป็นที่ตั้ง
เมื่อวันที่ 12มิ.ย.2567 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประชุมเพื่อพิจารณาคดีกรณีที่สมาชิกวุฒิสภา (สว.) จำนวน 40คน ยื่นคำร้องต่อประธานวุฒิสภา ว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้องที่ 1 ได้นำความกราบบังคมทูลเกล้าฯ เพื่อโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน ผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งๆที่รู้ หรือควรรู้อยู่แล้วว่า นายพิชิต ขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเคยถูกศาลฎีกามีคำสั่งจำคุก เป็นเวลา 6เดือน ในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล เป็นบุคคลที่กระทำการอันมิซื่อสัตย์และมีพฤติกรรมอันมีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา160(4)และ(5) เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องทั้ง2สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมากตรา170วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา160(4) (5) หรือไม่ โดยศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้คู่กรณียื่นบัญชีระบุหลักฐาน ต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในวันที่ 17 มิ.ย.โดยกำหนดนัดพิจารณาในวันที่ 18มิ.ย.2567
นายกฯชี้เตรียมถกงบฯ68เรื่องที่ดี
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการเลือก สว.ที่ยังมีความสับสนจน มีหลายฝ่ายออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ว่า ตนไม่ได้ติดตามตรงนี้ ขอให้เป็นขั้นตอนของฝ่ายนิติบัญญัติไป ทั้งนี้ นายกฯ กล่าวถึงการเตรียมการอภิปรายร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ล่าสุด กระทรวงกลาโหมได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปซักซ้อมทำความเข้าใจตอบคำถามกับ ส.ส.พรรคเพื่อไทย นั้น ส่วนตัวมองว่า การเตรียมความพร้อมถือเป็นเรื่องที่ดี และให้เกียรติซึ่งกันและกัน
ยัน’กิตติรัตน์’ห้ามนั่งปธ.บอร์ดธปท.
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ยังให้สัมภาษณ์กรณี นายปรเมธี วิมลศิริ ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ใกล้หมดวาระ รัฐบาลได้เตรียมบุคคลที่จะเข้าไปดำรงตำแหน่งแทนหรือยัง ว่า ไม่ทราบ ต้องถาม นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ตนยังไม่มีการคุยเรื่องนี้ ทุกอย่างเป็นไปตามกลไกของการจัดตั้ง เมื่อถามถึงกระแสข่าว นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี จะมานั่งเก้าอี้ดังกล่าวแทน นายกฯ กล่าวว่า เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ตนเคยทวิตข้อความไปแล้วว่าเป็นไม่ได้ เพราะนายกิตติรัตน์ เป็นประธานที่ปรึกษาของนายกฯอยู่ ถ้าเกิดจะมาเป็นก็ต้องปลอดจากตำแหน่งไป 1 ปี เมื่อถามอีกว่าคนใหม่ที่จะมานั่งแทนจะต้องมีแนวนโยบายเดียวกับรัฐบาลหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่ทราบ ต้องถาม นายพิชัย
เมื่อถามว่า เรื่องเศรษฐกิจตอนนี้ถือเป็นหนึ่งเดียวกันหรือยังกับหน่วยงานต่างๆ นายกฯกล่าวว่า จิตวิญญาณของรัฐบาลนี้เราเป็นหนึ่งเดียวกันตลอด และทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นสภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรม สภาการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ซึ่งมีการพูดคุยกันตลอด ภาษาวงสนทนาที่ใช้ก็เป็นคำพูดที่ตนคิดว่าผู้หลักผู้ใหญ่เข้าใจกันได้ คุยกันรู้เรื่อง
พท.พร้อมจัดขุนพลอภิปรายพรบ.งบ
ด้าน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ กล่าวถึงกรณีการเตรียมพร้อมอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี2568 ระหว่างวันที่ 19-21มิ.ย.ว่า รัฐบาลกำหนดให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเข้าไปดูแลในสัดส่วนของรัฐมนตรี แต่ยังไม่กำหนดว่าเป็นใคร ในเรื่องสัดส่วน กมธ.งบประมาณ ส่วนเรื่องพรรคเพื่อไทยก็ดำเนินการอยู่แล้ว ซึ่งจากนี้จะพยายามไม่ให้เยิ่นเย้อเกินไป จึงเป็นเรื่องที่ต้องไปตกลงกัน ว่าจะมีใครที่เกี่ยวข้อง แต่ละเรื่องอย่างไร ก็จะให้การอภิปรายน้อยคนที่สุด และจบได้เร็ว ทั้งนี้ ในส่วนของรัฐบาลไม่ได้มีการเก็งข้อสอบ เราทำอย่างที่เราทำ เราทำอะไรไปก็บอก ถามอะไรที่ไม่เข้าใจเราก็ตอบ ไม่ต้องเตรียมการบ้าน เมื่อถามว่า ต้องมีองครักษ์พิทักษ์รัฐมนตรีหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่มีองครักษ์ แต่เราคิดว่าทำอย่างไรให้การประชุมเรียบร้อยที่สุด และจบได้เร็ว เพราะงบประมาณต้องนำออกไปใช้ จึงอยากให้เร็วที่สุด และไม่เสียเวลา
เมื่อถามว่า ฝ่ายค้านจะใช้เวทีดังกล่าวซ้อมอภิปรายไม่ไว้วางใจล่วงหน้า นายภูมิธรรม กล่าวว่า ต้องว่าไปตามกฎระเบียบ การประชุมสภาฯ ให้ทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น เมื่อถามว่า นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ระบุว่าให้ข้าราชการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงเรื่องงบประมาณกระทรวงกลาโหมให้ทุกพรรคการเมืองทราบ โดยเริ่มที่พรรคเพื่อไทย นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่จำเป็น เพราะรัฐมนตรีคงคุยกับคนในกระทรวงตัวเองได้ดีอยู่แล้ว ส่วนรัฐมนตรีจะไปในพรรคของตัวเองก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาและเป็นเรื่องภายใน เพราะเราก็ให้รัฐมนตรีชี้แจงในพรรคอยู่แล้วว่าเราทำอะไรและทุกอย่างไปเป็นตามสิ่งที่เคยทำ
อาจารย์มสธ.แนะปชช.จับตา3คดีร้อน
นายยุทธพร อิสรชัย อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวถึงปรากฏการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ ว่า ในเดือน มิ.ย. มีหลายเรื่องที่มาบรรจบกันพอดี ไม่ว่าจะคดีนายเศรษฐา ทวีสิน ที่ถูกร้องอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ คดีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าจะเดินทางไปที่ศาลอาญาในวันที่ 18มิ.ย.หรือไม่ รวมทั้งคดียุบพรรคก้าวไกล ซึ่งวันนี้พรรคส่งคำชี้แจงเรียบร้อยแล้ว โดยล่าสุดศาลรัฐธรรมนูญ นัดพิจารณาวันที่ 18 มิ.ย.
นายยุทธพร ระบุว่า ฉะนั้นด้วยสถานการณ์ที่มาบรรจบกันจึงทำให้เดือน มิ.ย. เกิดกระแสข่าวจำนวนมาก เช่น อาจเกิดรัฐประหาร ผนวกกับการเลือก สว.ที่กำลังดำเนินการ ตนคิดว่าคงไม่ถึงขั้นรัฐประหาร แต่ปฏิเสธไม่ได้ภายใต้สถานการณ์สังคมบริบททางการเมืองแบบประเทศไทย ที่ประชาธิปไตยยังไม่ตั้งมั่น ดังนั้นกระบวนการเกิดรัฐประหารจึงมีความเสี่ยงเกิดขึ้นได้ตลอดอยู่แล้ว เพียงแต่จะมีพัฒนาการหรือรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไป จากที่เคยขนอาวุธ บุกยึดสถานที่สำคัญ ระยะหลังมีพัฒนาการรัฐประหารด้วยดอกไม้ และรัฐประหารในห้องประชุม เรียกว่ามีพัฒนาการไม่น้อยกว่าพัฒนาการประชาธิปไตย
เชี่อยังมีโอกาสเกิดรัฐประหารอีก
“ถามว่าสถานการณ์เหล่านี้มีโอกาสนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ก็ต้องบอกว่ายังมีโอกาส แต่ผมคิดว่าสุดท้ายการเปลี่ยนแปลงถึงขั้นล้มรัฐบาล ล้มพรรคก้าวไกล หรือล้มสว.คงไม่ถึงขนาดนั้น แม้ว่าตอนนี้จะมีทฤษฏี 3ล้ม แต่ผมขอเสนอล้มที่ 4 คือ ขอให้คนที่คิดแบบนี้ยกเลิกความคิดนี้ เพื่อให้บ้านเมืองได้ไปต่อ เพราะถ้าล้มนายกฯ พรรคก้าวไกล หรือล้ม สว.สุดท้ายผลที่เกิดขึ้นคือความขัดแย้งทางการเมือง” นายยุทธพร กล่าว เมื่อถามว่า มองดุลอำนาจระหว่างพรรคเพื่อไทยกับทหารอย่างไร นายยุทธพร กล่าวว่า การรัฐประหารโดยใช้กำลังทหาร ณ วันนี้ บริบททางการเมืองและกระแสโลก เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก แต่รัฐประหารโดยใช้รูปแบบอื่นมีโอกาสเป็นไปได้ แต่หากถามว่าความสัมพันธ์อันดีระหว่างพลเรือนกับกองทัพจะเป็นคำตอบว่าจะมีรัฐประหารหรือไม่ เราก็เคยเห็นหลายยุคสิ่งที่เรียกว่า “ลับ ลวง พราง” เพราะฉะนั้นภายใต้สถานการณ์ที่ประชาธิปไตยยังไม่ตั้งมั่น มีโอกาสเป็นไปได้ที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนอกระบบ
พรรคก้าวไกลเสี่ยงสูงศาลสั่งยุบ
เมื่อถามต่อว่าขณะนี้ยังไม่ทราบว่าพรรคก้าวไกลจะถูกยุบหรือไม่ แต่คนภายในพรรคเริ่มเคลื่อนไหว แสดงว่าพรรคก้าวไกลมีโอกาสถูกยุบพรรคใช่หรือไม่ นายยุทธพร กล่าวว่า มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกยุบในเชิงทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ในเชิงกฎหมายต้องบอกว่าเรื่องของพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา92(1) และ(2) ซึ่งถือว่าโคลนนิ่งรัฐธรรมนูญ มาตรา49 เพราะฉะนั้นในคดีล้มล้างการปกครองซึ่งพรรคเคยถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยมาแล้ว ในแง่ข้อกฎหมายพิจารณาเป็นอย่างอื่นได้ยาก ส่วนในแง่ข้อเท็จจริงคดีนี้ มาตรา49 ศาลได้สืบข้อเท็จจริงต่างๆซึ่งปรากฏอยู่ในคำวินิจฉัยค่อนข้างละเอียด ฉะนั้น 9 ข้อต่อสู้ของพรรคก้าวไกลจึงเป็นสิ่งที่ต้องไปพิจารณาว่ามีน้ำหนักที่ศาลจะฟังขึ้นหรือไม่ เพราะ 9 ข้อส่วนใหญ่เป็นเรื่องข้อเท็จจริง
คนในป่าแค่แผน’แม้ว’ชิงตอบโต้กลับ
เมื่อถามต่อว่าหากเกิดอะไรขึ้นในช่วงนี้จะทำให้ขั้วการเมืองเปลี่ยนไปหรือไม่ นายยุทธพร กล่าวว่า การเปลี่ยนขั้วการเมืองต้องไปดูความสำคัญในคดีของนายเศรษฐาด้วย ถ้าต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ จะทำให้ต้องเลือกนายกฯใหม่และจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ถ้าถึงตอนนั้นโอกาสที่จะสลับขั้ว ข้ามขั้ว และเกิดกรณียุบพรรคก้าวไกลในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน ก็เป็นไปได้ที่จะเห็นเรื่องการย้ายพรรค ซึ่งอาจนำไปสู่พรรคใหม่และอาจไปจับขั้ว ฉะนั้น เดือนมิ.ย.3เรื่องนี้มีความสัมพันธ์กันหมด เมื่อถามถึงกรณีนายทักษิณพาดพิงถึงคนในป่า ไม่ใช่สัญญาณจะเปลี่ยนขั้วการเมืองใช่หรือไม่ นายยุทธพร กล่าวว่า เป็นการโต้ตอบของนายทักษิณที่เกิดขึ้นกับกรณีที่ 40สว.ร้องศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบนายเศรษฐา ถ้าพูดอย่างตรงไปตรงมา 40 สว. เป็นสว.ที่เกิดจากการแต่งตั้งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่าที่มาที่ไปแต่ละ สว.มาอย่างไร ดังนั้น เมื่อมีกระแสข่าวเรื่องนี้ทาง นายทักษิณ ก็ต้องออกมาโต้ตอบหรือสื่อสารให้สังคมเห็นว่ามีอะไรอยู่เบื้องหลังหรือไม่ อย่างไร แต่พอไปถามว่าคนในป่าคือใคร ก็ไม่มีใครรู้ แม้แต่นายทักษิณเองยังไม่รู้ เป็นกระบวนการโต้ตอบและเปิดเกมเชิงรุก
“แต่ถามว่าจะถึงขั้นปรับบางพรรคออกจากรัฐบาลหรือไม่นั้น ผมคิดว่าถ้าปรับก็ไม่ใช่ทั้งพรรค เพราะพรรคดังกล่าวมีแกนนำบางคนใกล้ชิดสนิทสนมกับพรรคเพื่อไทยอยู่ และอาจดึงพรรคบางพรรคซึ่งอยู่ในฝ่ายค้านเข้ามาไม่ทั้งพรรคเช่นเดียวกัน เราจะได้เห็นปรากฏการณ์แปลกๆในการเมืองไทย คือ ร่วมรัฐบาลครึ่งพรรค และเป็นฝ่ายค้านครึ่งพรรค เรียกว่าเป็นรัฐบาลคนละครึ่ง ฝ่ายค้านคนละครึ่ง” นายยุทธพร กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี