แฉกลุ่มทุนฮุบกัญชา!‘ม็อบสายเขียว’ขีดเส้น 10 โมงวันนี้ไม่ได้คำตอบจากรัฐบาล ยกระดับชุมนุม

ช่วงค่ำวานนี้ (8 ก.ค.67) เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย ที่ปักหลักชุมนุมบริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ ด้านหน้าทำเนียบรัฐบาล ประมาณ 300 คน ได้จัดเวทีย่อย เพื่อเปิดโปงการผูกขาดกัญชาของพรรคเพื่อไทย โดยมีการฉายสารคดีประวัติศาสตร์กัญชา ที่อยู่ในวิถีชีวิตของคนไทยและทั่วโลกมาอย่างยาวนาน จากนั้นแกนนำ ได้สลับเปลี่ยนกันกล่าวถึงขบวนการที่อยู่เบื้องหลังนำกัญชากลับไปสู่ยาเสพติด

นายประสิทธิชัย หนูนวล กล่าวว่า พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กัญชง กัญชายังไม่เคยได้รับการรับรองในสภาฯ เนื่องจากว่าสภาฯ หมดอายุไปก่อนในสมัยรัฐบาลที่ผ่านมา พอมาถึงรัฐบาลนี้มีอยู่ 4 ฉบับเพื่อที่จะดำเนินการต่อในสภาผู้แทนราษฎรแต่วันนี้รัฐบาลไม่เลือกสิ่งนี้ ทั้งที่พรรคการเมือง และประชาชนเป็นผู้เสนอกันมา และเป็นหลักการที่สำคัญ โดยรัฐบาลเลือกที่จะนำกลับไปเป็นยาเสพติด โดยเมื่อดูข้อมูลทั้งหมดแล้วรัฐบาลมีเจตนาผูกขาดเรื่องกัญชา โดยที่ก่อนหน้านี้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เคยให้เหตุผลว่าเป็นห่วงเยาวชน

โดยมีข้อมูลว่ากัญชาทำร้ายเยาวชนนั้น เป็นข้อมูลปลอม และผู้ที่ติดกัญชา ต้องรับการรักษากว่าหมื่นล้าน โดยจากการศึกษาวิจัย และดูข้อมูลจากโรงพยาบาลปรากฏว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่ปลอมอีกเช่นกัน ดังนั้นกระทรวงสาธารณสุขกำลังเผยแพร่ข้อมูลปลอมเพื่อให้ประชาชนมองว่ากัญชาเป็นตัวร้าย และจะมีความชอบธรรมในการควบคุมกัญชา ต้นเหตุของการชุมนุมในวันนี้คือการที่รัฐบาลไม่ยอมเดินหน้ากฎหมายที่ประชาชนเสนอมา และนำไปสู่การผูกขาด ดังนั้นผู้ป่วยทั้งหมดที่จะใช้กัญชาจะถือว่าผิดกฎหมาย ร้านค้าที่ได้รับใบอนุญาตในการซื้อขายกัญชาก็จะผิดกฎหมาย จึงมารวมตัวกันให้รัฐบาลใช้ข้อเท็จจริงในการควบคุมกัญชา

นายประสิทธิชัย กล่าวอีกว่า ต้องดูข้อเท็จจริงว่ากัญชามีพิษภัยอะไรที่กระทบต่อเยาวชน ซึ่งงานวิจัยจากต่างประเทศระบุว่า กัญชาไม่มีผลต่อสมองเด็ก ส่วนที่บอกว่ากระทบต่อสมองเด็กนั้นไม่ได้กำหนดตัวแปรอื่น อย่างแอลกอฮอล์ หรือยาเสพติดชนิดอื่น เมื่อผลกระทบไม่ได้ส่งผลร้ายต่อเยาวชนจึงเกิดการต้องถามว่าจะคุมอย่างไร ซึ่งจะต้องควบคุมผู้ที่อายุ 20 ปีขึ้นไป ระเบียบการซื้อขายของร้านค้าจะต้องได้รับใบอนุญาตการขาย ต้องแสดงบัตรประชาชนก่อนซื้อ และสามารถกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมได้จากการเขียน พ.ร.บ. ตามรายมาตรา

นายประสิทธิชัย มองว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องการเมือง เพราะ พ.ร.บ. กัญชา ผ่านสภาไปแล้วในสมัยรัฐบาลที่แล้ว และคณะกรรมการที่นำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด ก็เป็นชุดเดิมกับที่ปลดล็อกกัญชาในสมัยรัฐบาลที่แล้ว จึงทำให้วันนี้เราเดือดร้อน และมาอยู่ตรงนี้ ถ้าใช้ข้อเท็จจริงในการกำหนดกฎหมายจะไม่เกิดปัญหานี้ เพราะข้อเท็จจริงจะบอกเราว่าคุมโดยกฎหมายใดดีที่สุด

นายประสิทธิชัย ระบุถึงข้อเสนอว่า ให้ตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อพิสูจน์ในสี่ประเด็น ได้แก่ ผลต่อร่างกายของกัญชา ร้ายกว่าแอลกอฮอล์ และบุหรี่หรือไม่, ผลต่อสังคมร้ายแรงกว่าแอลกอฮอล์ และบุหรี่หรือไม่, กัญชารักษาสุขภาพ และโรคได้ดีกว่าบุหรี่ หรือแอลกอฮอล์หรือไม่ และ กัญชาส่งผลกระทบต่อสมองเยาวชนเกิดโรคจิตเวชจริงหรือไม่ ต้องใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ทั้ง 4 ข้อนี้ หากไม่ร้าย ก็ควบคุมโดย พ.ร.บ. แต่ถ้าร้ายกว่าแอลกอฮอล์ และบุหรี่ ก็นำกลับไปเป็นยาเสพติด ซึ่งที่ผ่านมาเรามีการเสนอเรื่องนี้ไปให้กระทรวงสาธารณสุขแล้ว แต่ไม่รับ เนื่องจากว่า เขาถือข้อมูลอยู่ในมือว่าไม่ได้ส่งผลร้ายแรงกว่าบุหรี่ และแอลกอฮอล์ จึงไม่รับข้อเสนอในการตั้งคณะกรรมการร่วม จึงสามารถสรุปได้ทันทีว่าเขามีเป้าหมายที่ไม่สุจริตต่อประชาชน

ด้าน มล.รุ่งคุณ กิติยากร หรือ “หม่อมโจ้” กล่าวว่า สิ่งที่เราเห็นคือ นักการเมืองและนักลงทุนกลุ่มหนึ่ง ไม่ยอมเข้าใจว่ากัญชา คือพืชที่ธรรมชาติให้มาและเป็นยาที่ใช้กันมาเนิ่นนานเพื่อรักษาโรค ตนและภรรยา ใช้กัญชาเพื่อการรักษาโรคมาตลอดจากโรคประจำตัวที่ใช้ยาเคมีรักษาไม่หาย แต่กัญชารักษาได้ หลายคนหลายครอบครัวก็พึ่งพากัญชาในการรักษา เพราะกัญชาควรเป็นของประชาชน ด้วยความชอบธรรม ประชาชนควรมีสิทธิพึ่งตัวเองได้ในเรื่องของสุขภาพ ซึ่งถือเป็นความมั่นคงทางด้านสุขภาพ และทางด้านสมุนไพร นี่คือหัวใจของคำว่าเศรษฐกิจพอเพียงอย่างแท้จริง

มล.รุ่งคุณ กล่าวอีกว่า เบื้องหลังของการนำกัญชาไปสู่ยาเสพติด มันมีเค้าลางมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ที่ชัดคือวันที่มีการเข้าหารือที่กระทรวงสาธารณสุข เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา แล้วพบว่ามีนักธุรกิจคนหนึ่ง พูดแทนเจ้าหน้าที่ระดับสูงตลอด ซึ่งเมื่อได้ไปสืบค้นประวัติก็พบว่านักธุรกิจคนนั้น เมื่อ 2 ปีก่อน เคยถูกกรมศุลกากร แจ้งจับฐานลักลอบนำเข้ากัญชาอย่างผิดกฎหมายถึง 3 ครั้ง และเมื่อสืบค้นลึกลงไปถึงความเชื่อมโยงก็พบว่าเคยร่วมงานการเมืองกับผู้บริหารฝ่ายการเมืองในกระทรวงสาธารณสุข ที่สำคัญภรรยาของเขาเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทที่มีข้อตกลงกับมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งว่าสามารถปลูกกัญชาได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ไม่ว่ากัญชาจะกลับไปเป็นยาเสพติดหรือไม่ก็ตาม นอกจากนี้เขายังมีอีก 2 บริษัทที่ปลูกกัญชา และยังเป็นผู้บริหารคลินิกจำหน่ายผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์ ลองคิดดูว่า ถ้ากัญชาไปสู่ยาเสพติด คนที่ได้ประโยชน์ก็คือเขา เพราะไม่มีคู่แข่ง สิ่งนี้เรียกผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ ใครจะเชื่อว่าสิ่งที่เขาทำลงไป ทำเพื่อประชาชน

“ที่มากกว่านั้น คือเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นักธุรกิจที่คุณก็รู้ว่าใคร ได้ประกาศว่า เดือนมิถุนายน จะมีบริษัทต่างประเทศมาร่วมทุน และกำลังจะเข้าตลาดแนสแด็กที่สหรัฐอเมริกา แหมมันก็ช่างพอเหมาะพอดีกับที่มีการประกาศจะเอากัญชากลับไปเป็นเสพติดพอดิบพอดี และไม่ได้มีแค่นั้น สิ่งที่เราเห็นมันเป็นเพียงยอดบนของก้อนน้ำแข็ง แต่ยังมีอีกหลายบริษัทซึ่งเป็นทุนใหญ่ มีสายสัมพันธ์กับกลุ่มพรรคการเมือง มันคือผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งจะเป็นประตูไปสู่ความทุจริต เราจะเชื่อถือได้อย่างไร เพราะนายกรัฐมนตรีก็จรรยาบรรณต่ำต้อย ที่ตั้งคนหิ้วเงินติดสินบนศาลมาเป็นรัฐมนตรี เราจะเชื่อเขาได้ไหมว่าเขาจะทำเพื่อประชาชน” มล.รุ่งคุณ กล่าว

มล.รุ่งคุณ ยังได้หยิบยก งานวิจัยของประเทศแคนาดา อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา ที่ระบุถึงการเปรียบเทียบคุณโทษของ กัญชา กับ แอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอย่างกาแฟ พบว่า กัญชามีความเป็นสิ่งเสพติดน้อยกว่ากาแฟ และยังไม่ส่งผลให้ตายได้เหมือนเฮโรอีน แอลกอฮอล์ หรือแม้แต่กาแฟอีกด้วย

ทั้งนี้ เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทยได้ปักหลักพักค้างบริเวณหน้าทำเนียบเป็นคืนแรก และประกาศจะยกระดับการชุมนุมหาก 10.00 วันนี้ (9 กรกฎาคม) หากไม่ได้คำตอบจากรัฐบาลตามข้อเสนอที่เรียกร้องไปก่อนหน้านี้ ทั้งนี้มีรายงานว่า กลุ่มของหมอเดชา จาก จ.สุพรรณบุรี ก็รอคำตอบจากรัฐบาลในวันนี้เช่นกัน และพร้อมมาสมทบกับเครือข่ายฯ บริเวณหน้าทำเนียบในทันที   ///-005