นายกฯส่งสัญญาณหลังพรรคร่วมเสนอชื่อ
เตรียมปรับครม.!
แต่ไม่ใช่เดือนสิงหาคม
สุดปลื้ม‘ลุงตู่’ให้กำลังใจ
แนะอดทน-ทำงานหนัก
สว.พันธุ์ใหม่ค้านยุบก.ก.
“เศรษฐา”ปลื้ม“ลุงตู่”เมตตาให้กำลังใจ แนะให้อดทน รู้ทำงานหนัก พร้อมบอกให้“รทสช.“ช่วยทำงาน ตนบอกไม่มีใครดื้อ ช่วยงานกันดี หลัง“บิ๊กตู่”
แซวมีใครดื้อบ้าง เผยถ้ามีโอกาสพิเศษก็พร้อมคุยเรื่องบ้านเมือง ขณะ“ธรรมนัส”หัวเราะหลังสื่อถามนายกฯ“พปชร.”เกเรหรือไม่ เตรียมปรับครม.ถ้าพรรคร่วมฯเสนอ แต่ไม่ใช่เดือนสิงหาคมนี้ เพราะมีหลายเหตุการณ์สำคัญทางการเมือง ด้าน
“สว.พันธุ์ใหม่”
ออกลาย!จุดพลุล่าชื่อ‘สว.’เตรียมร่อนแถลงการณ์เปิดจุดยืนติง‘องค์กรอิสระ’ไม่ควรยุบพรรคการเมืองที่มาจากประชาชน อ้างทั่วโลกกำลังกังวล-จับตาเป็นเรื่องใหญ่‘นิพิฏฐ์’ชี้สว.พันธุ์ใหม่ ล่าชื่อค้านยุบ‘ก้าวไกล’เป็นการก้าวก่ายศาล ความผิดสำเร็จ เสี่ยงถูกยื่นถอดถอนพ้นตำแหน่ง
เมื่อวันที่ 5สิงหาคม2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการพบกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี ที่มาร่วมฟังสวดพระอภิธรรม คุณแม่ชดช้อย ทวีสิน มารดานายกฯ ได้มีการพูดคุยอะไรกันบ้างหรือไม่ ว่า ตามที่เห็นท่านให้ความเมตตา ซึ่งท่านมางานสวดศพคุณแม่ตน และระหว่างเดินมาก็ได้ให้กำลังใจ โดยท่านบอกว่าเป็นกำลังใจให้นะ ไปไหนมาบ้าง ซึ่งเมื่อวันที่ 4ส.ค.ตนได้ไป จ.นราธิวาส มา ท่านก็บอกว่า”โอ้ย ทำงานหนักเลย”และได้เดินผ่านรัฐมนตรีและสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่มาให้การต้อนรับ ท่านบอกว่า”ให้ช่วยนายกฯ ดีๆนะ”และหันไปแซวบางคนว่า “คนนี้ดื้อไหม อะไรอย่างไรไหม”ตนก็บอกว่า ไม่ดื้อครับ ไม่มีใครดื้อ ทุกคนทำงานกันไม่มีเวลาดื้อ ปัญหาของพี่น้องประชาชนเยอะ ซึ่งท่านก็หัวเราะและยังเดินผ่าน2-3ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เช่น นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งท่านก็บอกว่า “โอ้ย นี่ช่วยเหลือได้ดี” ซึ่งตนก็บอกว่าใช่ครับ เป็นกำลังสำคัญ ก็เป็นการพูดคุยกันอย่างมีมิตรภาพที่ดี และระหว่างที่นั่งอยู่ นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ก็นั่งด้วย ก็มีการพูดคุยกัน
‘ลุงตู่’ฝากนายกฯทำงานหนัก-อดทน
ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้ฝากข้อห่วงใยอะไรหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ท่านบอกให้อดทน และท่านเป็นกำลังใจให้ และท่านก็ฝากตนกับพรรครวมไทยสร้างชาติ บอกให้ช่วยซึ่งกันและกัน ซึ่งก็เป็นความเมตตา เมื่อถามว่า ถือเป็นครั้งที่ 2 ที่ได้เจอกับ พล.อ.ประยุทธ์ หลังเจอกันที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล และได้พูดคุยกันเยอะใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่ครับ เคยได้เจอกันหลายครั้งกว่า 10 หน ระหว่างร่วมงานพระราชพิธี ระหว่างนั่งคอยที่ห้องรับรองก็พูดคุยกันเยอะ หลายๆ เรื่อง มีการขอความเห็นท่านหลายๆ เรื่องอยู่แล้ว ซึ่งไม่ได้ปรากฏเป็นภาพออกไป
ลั่น’พปชร.’ไม่มีใครดื้อ-เกเร
เมื่อถามว่า จะมีโอกาสนัดพบและพูดคุยกันถึงเรื่องบ้านเรื่องเมืองเป็นกรณีพิเศษหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ถ้าเกิดมีความจำเป็นก็คงต้องไปคุย ตนยินดีกับทุกท่านอย่างที่เคยบอก อดีตนายกรัฐมนตรีทุกท่านตนรับฟังความคิดเห็น เมื่อวันที่ 4 ส.ค.ได้คุยกับนายอานันท์ แต่คุยเป็นเรื่องส่วนตัวมากกว่า เมื่อถามว่า เมื่อวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ บอกกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ว่าอย่าดื้ออย่าเกเร ให้ช่วยงานนายกฯ และพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ดื้อและเกเรหรือเปล่า จังหวะนี้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ ซึ่งยืนอยู่ด้วยตอนสัมภาษณ์ได้หัวเราะ ขณะที่นายกฯ ก็หัวเราะ พร้อมกล่าวว่า ไม่ดื้อครับ อย่างที่ตนเคยบอกเป็นเรื่องภายในของเขา ตนไม่เคยต้องไปถาม ร.อ.ธรรมนัส เรามุ่งมั่นทำงานกันอยู่แล้ว ตรงนี้อย่าเป็นประเด็นเลย เอาเรื่องพี่น้องประชาชนเป็นหลักดีกว่า
ปรับครม.ถ้าพรรคร่วมฯเสนอ
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ทำหนังสือถึงนายกฯ ในส่วนโควตารัฐมนตรีพรรคที่ว่างอยู่ 1 ตำแหน่ง หากมีการปรับ ครม.โดยเสนอชื่อ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค รทสช.ว่า ตนได้อ่านจากหนังสือพิมพ์เมื่อเช้าวันเดียวกันนี้ แต่เรื่องยังไม่ถึงมือของตน ซึ่งตนก็บอกว่าเรื่องนี้ ตอนนี้ในเดือน ส.ค.ตนคิดว่ามีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบตุลาการเยอะไปหมด จริงๆ แล้วต้องให้เกียรติตรงนั้นก่อนดีกว่า ให้หลายเรื่องมันจบไปก่อนดีกว่ามั้ง แต่แน่นอนถ้าเกิดพรรคร่วมรัฐบาลเสนอมาเราก็ต้องพิจารณา แต่ว่าคงไม่ใช่เร็วๆ นี้ เพราะยังมีเรื่องของศาลรัฐธรรมนูญ ต้องให้เกียรติตรงนั้นก่อน เมื่อถามว่า หากมีการยุบพรรคก้าวไกลเกิดขึ้นจะส่งผลกับสถานการณ์อะไรหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่เกี่ยวครับ เมื่อถามอีกว่า ต้องมีการเตรียมความพร้อมดูแลเรื่องความสงบและความปลอดภัยด้วยหรือไม่ในช่วงดังกล่าว นายกฯ กล่าวว่า ตนเชื่อว่าฝ่ายความมั่นคงดูแลดีอยู่แล้ว ‘สว.’จ่อร่อนแถลงการณ์ค้านยุบพรรค
น.ส.นันทนานันทวโรภาส สว.ในฐานะแกนนำกลุ่มสว.พันธุ์ใหม่กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล ในวันที่ 7สิงหาคม ว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ข้อกังวลเฉพาะของคนไทย แต่เป็นข้อกังวลของนานาประเทศทั่วโลกไปแล้วที่ต่างก็ออกแถลงการณ์ ในเรื่องที่องค์กรต่างๆที่ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน สามารถจะมายุบพรรคการเมือง ซึ่งมาจากประชาชน โดยตนเข้าใจว่าเป็นความกังวลของนานาประเทศที่อยู่ในกลไกของประชาธิปไตย และมองเป็นเรื่องใหญ่
“ในส่วนสว.เองจะต้องแสดงจุดยืน เรื่องนี้ด้วย สว.น่าจะมีการออกแถลงการณ์ออกมาโดยอยู่ระหว่างการพิจารณาร่างแถลงการณ์ ก่อนจะนำเสนอในวันนี้ (5 ส.ค.)หรือวันพรุ่งนี้ (6ส.ค.) ซึ่งไม่ใช่สว.พันธุ์ใหม่ หรือเพียงสว.กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอาจจะเป็นภาพรวมของ สว.ว่า จะมีจุดยืนตรงนี้อย่างไร พร้อมเชิญชวนให้กลุ่มสว.ทุกคน ที่ตระหนักในเรื่องกลไกประชาธิปไตยมาร่วมกัน ลงชื่อตรงนี้ด้วย ส่วนรายละเอียดเนื้อหาแถลงการณ์นั้น จะเป็นการแสดงความกังวลในเรื่องขององค์กรอิสระสามารถเข้ามา กำหนดและเปลี่ยนแปลงเรื่องทิศทางการเมืองไทยการที่องค์กรอิสระสามารถจะยุบสถาบันที่มาจากประชาชน พรรคการเมืองที่ประชาชนเลือกมาจะมองในเรื่องของหลักการประชาธิปไตยที่เป็นอารยะ”น.ส.นันทนา ย้ำ
อ้างเป็นเรื่องใหญ่-ทั่วโลกจับตา
ด้าน นางอังคณา นีละไพจิตร สว. กล่าวว่า ในระบอบประชาธิปไตย การยุบพรรคการเมืองนั้นไม่ควรเกิดขึ้นและครั้งนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีเหตุการณ์ยุบพรรคการเมือง ทั้งนี้ ในกรณีของพรรคก้าวไกลนั้นที่ชนะการเลือกตั้งและมีคะแนนมาเป็นอันดับ1 มีประชาชนร่วมบริจาคเงินให้กับพรรคเป็นจำนวนมาก ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ทำให้มีการยุบพรรคได้ง่ายและทั่วโลกต่างจับตา เพราะการยุบพรรคถือเป็นเรื่องใหญ่ซึ่งสว.ต้องมีการคุยกันว่า เราน่าจะแสดงท่าที คิดเห็นต่อกรณีนี้แต่กำลังหารือกันอยู่ว่าจะออกมาในรูปแบบไหน ส่วนกรณีหากต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ต้องอาศัยเสียงของสว.นั้น ตนคิดว่าสว.น่าจะให้การสนับสนุน โดยเฉพาะเสียงข้างมาก เนื่องจากการยุบพรรคไม่ใช่เป็นเรื่องพรรคการเมืองใด พรรคการเมืองหนึ่ง แต่เป็นปัญหาที่กระทบต่อทุกพรรคการเมือง
‘นิพิฏฐ์’ชี้ก้าวก่ายศาล-ความผิดสำเร็จ
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตสส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กความว่า “เมื่อ ส.ว.กลายพันธุ์ อ่านข่าว สว.กลุ่มหนึ่งเรียกตัวเองว่า เป็น สว.พันธุ์ใหม่ ล่ารายชื่อ สว.ค้านยุบพรรคก้าวไกลผมไม่ได้คาดหวังอะไรกับการทำหน้าที่สว.เพียงแต่อยากเห็นแต่ละคนแต่ละฝ่ายในบ้านเมืองนี้ ต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างที่ควรจะเป็น บ้านเมืองจึงจะมีความเป็นปกติสุข ใครผิด-ใครถูก ให้ศาลตัดสินไปตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย แต่อยู่ๆท่าน สว.จะยื่นคัดค้านไม่ให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคก้าวไกล ผมก็เพียงคิดว่าสว.ไม่รู้หน้าที่ของตัวเอง“ผมแนะนำให้ไปดูรัฐธรรมนูญมาตรา 185 นะครับ สว./สส.ต้องไม่ใช้สถานะหรือตำแหน่งของตนกระทำการอันเป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่นหรือของพรรคการเมือง ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม”นายนิพิฎฐ์ กล่าว
การล่ารายชื่อ สว.ค้านศาล นั่นเป็นการก้าวก่ายการทำหน้าที่ของศาล ผลของการก้าวก่าย คือ ต้องพันจากตำแหน่งมาตรา 111(7) “นี้ผมเตือนเอาบุญนะครับการกระทำของท่านไม่ได้เป็นสว.พันธุ์ใหม่หรอกแต่เป็น สว.กลายพันธุ์ เสียมากกว่า”พร้อมย้ำอีกว่า“ช่วยไม่ได้นะครับ ถ้ามีนักร้องเกิดมาอ่านข้อความในโพสต์ผม และเห็นว่าการกระทำของท่านเป็นความผิดสำเร็จแล้วและยื่นถอดถอนท่าน ท่านก็ต้องพ้นจากตำแหน่ง เอวัง..ก็มี..ด้วยประการฉะนี้”นายนิพิฎฐ์ กล่าว
ปชป.ฮึ่มทูต18ปท.แทรกแซงศาลไทย
น.ส.รัชดา ธนาดิเรก อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงท่าทีของทูต 18 ประเทศต่อกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาคดีพรรคก้าวไกลในวันที่ 7สิงหาคม ว่า มีความหมิ่นเหม่เสมือนเป็นความพยายามแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่า การพิจารณาคดีดังกล่าวตั้งอยู่บนข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริงและพฤติกรรมอันเข้าข่ายผิดรัฐธรรมนูญ โดยพรรคก้าวไกลได้ดำเนินการต่อสู้คดีความตามวิถีของตนเองแล้ว และไม่มีกลไกใดเข้าขัดขวางการต่อสู้ดังกล่าว “การแสดงออกของกลุ่มทูต18ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นท่าทีให้การสนับสนุน เห็นอกเห็นใจ รวมถึงการประกาศไม่เห็นด้วยกับการยุบพรรคก้าวไกล ถือเป็นเรื่องผิดมารยาทอย่างมาก ทั้งนี้ ขอให้คณะผู้แทนประเทศเหล่านั้นตระหนักไว้ว่าสิ่งที่ได้ทำไปไม่ได้สร้างประโยชน์ต่อยอดความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแต่อย่างใด ขณะที่ประเทศไทยไม่เคยเรียกร้อง หรือแสดงออกทางใดทางหนึ่งที่เป็นการไม่เคารพกระบวนการยุติธรรมของประเทศอื่นเลย จึงเป็นเรื่องที่แต่ละประเทศจะต้องยึดถือให้ตรงกัน” น.ส.รัชดากล่าว
น.ส.รัชดา กล่าวต่อว่า ขอตั้งคำถามถึงการทำงานของกระทรวงการต่างประเทศว่าทำอะไรอยู่ ได้ดำเนินการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศบ้างหรือไม่หรือปล่อยให้ทูตประเทศต่างๆ รับข้อมูลเพียงด้านเดียว จึงเป็นเหตุให้แสดงท่าทีออกมาเสมือนคนไม่รู้เช่นนี้ จึงขอเรียกร้องให้กระทรวงการต่างประเทศแสดงบทบาทผู้ปกป้องกระบวนการยุติธรรมไทย กฎหมายไทย เพื่อหยุดยั้งท่าทีแทรกแซงประเทศของเรา
‘ไทยภักดี’ชู5ข้อหยุดปลุกปั่น-บิดเบือน
ด้าน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานที่ปรึกษาพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊ก“วรงค์ เดชกิจวิกรม - WarongDechgitvigrom”ดังนี้...แถลงการณ์พรรคไทยภักดีต่อกรณีคำแถลงของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พรรคก้าวไกล ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย คดียุบพรรคก้าวไกล ในวันที่ 7 สิงหาคม ที่จะถึงนี้ พบว่า มีการปลุกปั่นบิดเบือน ให้ประชาชนเข้าใจผิดในหลายๆกรณี 1.การที่นายพิธา กล่าวว่า ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของแต่ละประเทศย่อมเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปตามวิวัฒนาการของสังคม ความพยายามทำให้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขมีลักษณะหยุดนิ่ง ตายตัว พัฒนาเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ย่อมเป็นอันตรายต่อระบอบการปกครองของไทย 2.กรณีกล่าวว่า การปกปักรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข จึงไม่สามารถบรรลุได้ด้วยการใช้อำนาจกดปราบ ไม่ว่าจะด้วยกำลัง ในนามของกฎหมายซึ่งในข้อเท็จจริง การปกครองระบอบประชาธิปไตยในทุกประเทศ ต้องอยู่บนพื้นฐานหลักการของกฎหมาย ทุกฝ่ายแม้แต่พรรคการเมือง ต้องเคารพกฎหมาย ถ้าไม่มีการกระทำผิดกฎหมาย ก็จะไม่สามารถไปดำเนินคดีใดๆได้เลย
มุ่งปลุกปั่นเยาวชนโจมตีสถาบัน
3.การนำประเด็นเกี่ยวกับความจงรักภักดีมากล่าวหาโจมตีกันในทางการเมือง นำไปสนับสนุนหรือเกี่ยวพันกับการทำรัฐประหารซึ่งต้องยอมรับความจริงว่า การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ในยุคปัจจุบันและนำไปสู่การรัฐประหาร มีมูลเหตุหลักมาจาก การทุจริตคอรัปชั่นและใช้อำนาจไม่ชอบ ไม่ใช่นำมูลเหตุเรื่องความจงรักภักดีมาเป็นเหตุผล แต่สิ่งที่น่าแปลกใจ นักการเมืองที่สร้างภาพว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย กลับไม่เคยสนใจปัญหาการทุจริตเหล่านี้ 4.การอ้างว่า มีการบังคับใช้มาตรา112 ในลักษณะเข้มงวดรุนแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งๆที่การบังคับใช้กฎหมายมาตรา112 ก็ล้วนเกิดจากการยุยงปลุกปั่น ให้เยาวชนจงใจจาบจ้วง ให้ร้ายสถาบันเบื้องสูง โดยพรรคการเมืองบางพรรค ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่มีผู้จงใจกระทำผิด จะต้องถูกดำเนินคดี ไม่ใช่มีการบังคับใช้อย่างเข้มงวดตามที่อ้าง สิ่งที่น่าสังเกตในช่วงปัจจุบัน การยุยงเยาวชนทำผิดลดน้อยลง การดำเนินคดี ตามมาตรา112 ก็จะลดน้อยลง 5.การที่อ้างว่า เล็งเห็นความจำเป็นที่จะเสนอให้ปรับปรุงแก้ไขมาตรา 112 ด้วยเจตนาที่จะฟื้นฟูสายสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชนกับสถาบันพระมหากษัตริย์
หวังเซาะกร่อนบ่อนทำลาย-ล้มล้าง
สิ่งที่นายพิธากล่าวมา เกี่ยวกับการแก้ไขมาตรา112 เพื่อฟื้นฟูสายสัมพันธ์อันดี ระหว่างประชาชนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมของพรรคก้าวไกล ที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยไว้แล้ว นั่นคือผลที่เกิดขึ้น ทำให้มีการแยกสถาบันฯ กับความเป็นชาติไทย มุ่งลดสถานะการคุ้มครองพระมหากษัตริย์ ใช้สถาบันกษัตริย์หวังผลคะแนนเสียงเลือกตั้ง สุดท้ายนำไปสู่การเซาะกร่อน บ่อนทำลาย ชำรุด ทรุดโทรม เสื่อมทราม อ่อนแอและล้มล้างการปกครองฯ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี