‘ก่อแก้ว พิกุลทอง’ชี้ยกเลิกคำสั่ง คสช. คือโอกาสสำคัญพาประเทศเดินหน้าสู่ประชาธิปไตย เปลี่ยนผ่านอย่างค่อยเป็นค่อยไป ยุติรัฐประหารโดยสันติวิธี
1 กันยายน 2567 นายก่อแก้ว พิกุลทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ยกเลิกประกาศและคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คำสั่ง คสช.) บางฉบับที่หมดความจำและไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน พ.ศ. … (หรือ กมธ.ยกเลิกคำสั่ง คสช.) ได้โพสต์เฟซบุ๊กถึงความคืบหน้ากระบวนการเริ่มต้นยกร่างกฎหมายยกเลิกคำสั่งของ คสช. ว่าจะเป็นกระบวนการที่พาประเทศกลับเข้าสู่ประชาธิปไตย ยุติผลพวงของรัฐประหาร พร้อมเปลี่่ยนผ่านประเทศอย่างค่อยเป็นค่อยไปสันติวิธีที่สุด โดยหวังให้ประเทศได้เดินหน้าพาเศรษฐกิจกลับมาแข็งแกร่ง นักลงทุนมั่นใจเสถียรภาพการเมืองและพี่น้องประชาชนได้เดินหน้าทำมาหากินได้ปราศจากความขัดแย้ง โดยนายก่อแก้วได้โพสต์ข้อความ ดังนี้
“ผมมีข่าวดีที่อยากแจ้งพี่น้องทุกท่านทราบครับ
ขณะนี้ สภาผู้แทนราษฎรของเรา ได้ตั้งคณะกรรมมาธิการชุดสำคัญนั่นคือ คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ยกเลิกประกาศและคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คำสั่ง คสช.) บางฉบับที่หมดความจำเป็นและไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) หรือเรียกสั้นๆว่า “กมธ.ยกเลิกคำสั่ง คสช.” โดยมีคุณจาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เป็นประธานคณะกรรมาธิการ มี อ.ปิยบุตร แสงกนกกุล เป็นรองประธานคณะกรรมาธิการคนที่ 1 และผม ก่อแก้ว พิกุลทอง เป็นรองประธานคณะกรรมาธิการคนที่ 2 มีพี่น้องจากพรรคการเมืองทุกพรรค ซึ่งเป็นตัวแทนของทุกความคิดทางการเมือง และ นักวิชาการจำนวนหนึ่ง อยู่ กมธ.ชุดนี้ ซึ่งหลายคนเคยผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการ “ประกาศ-คำสั่ง คสช.”
ซึ่ง พ.ร.บ.ทั้งหมด 5 ร่าง โดยมี 3 ร่างที่มีบัญชีแนบท้ายคำสั่ง คสช. ได้แก่ ร่างของคณะรัฐมนตรี 23 คำสั่ง, พรรคประชาชน 17 คำสั่ง และพรรคภูมิใจไทย 71 คำสั่ง
นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดีอีกครั้งในทางการเมือง เป็นการเดินหน้าครั้งสำคัญ ในการกลับเข้าใกล้การเมืองที่เป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น
และนี่เป็นจุดสำคัญอีกครั้งในการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยให้เข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย หากเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียนของเราอย่าง ‘อินโดนีเซีย’ ที่เมื่อค่อยๆ เปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคประชาธิปไตยทำให้ระบบเศรษฐกิจขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนขณะนี้มีมูลค่า GDP กว่า 1.41 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีการขยายตัว 5.0% ในปี 2566
ในอดีตประเทศอินโดนีเซียต้องตกอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการทหาร ถึง 32 ปี (2509-2541) ที่นำโดย ‘ซูฮาร์โต’ เป็นประธานาธิบดีในเวลานั้น ซึ่งนำทหารเข้ามาอยู่ในบริบทการเมือง หรือที่เรียกกันว่า ‘ยุคระเบียบใหม่’ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งนายพลมาเป็นสมาชิกรัฐสภา หรือดำรงตำแหน่งของพลเรือน และยังมีแนวคิด ‘ทวิหน้าที่’ (Dwifungsi) เป็นการสร้างความชอบธรรมให้ทหารทำหน้าที่ทั้งป้องกันประเทศ และมีบทบาทในทางการเมืองอย่างออกนอกหน้า
แต่เมื่อ ‘ซูฮาร์โต’ ลงจากอำนาจในปี 2541 ด้วยสาเหตุวิกฤติเศรษฐกิจ และการลุกขึ้นต่อต้านของประชาชน ก็ได้มอบอำนาจให้แก่ ‘เบ.เจ.ฮาบีบี’ รองประธานาธิบดี จากนั้นจึงเข้าสู่ ‘ยุคปฏิรูป’ ที่ค่อยๆ สร้างนัยยะสำคัญแห่งการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง อาทิ การลดจำนวนที่นั่งของทหารในสภาฯ และการทยอยปล่อยตัวนักโทษทางการเมืองที่ถูกจับกุม
ซึ่งขณะนี้สภาผู้แทนราษฎรของไทยได้มีการพิจารณาเรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งมีความก้าวหน้าอยู่เป็นระยะ รวมไปถึงการยกเลิกข้อจำกัดทางเสรีภาพสื่อมวลชน การแก้ไขรัฐธรรมนูญ แก้ไขกฎหมายพรรคการเมือง แก้ไขกฎหมายการเลือกตั้ง แก้ไขกฎหมายว่าด้วยสถานะหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร และตามมาด้วยการพัฒนากองทัพ ให้เข้ายุคสมัย
กระบวนการที่ ‘ค่อยเป็นค่อยไป’ ใน 26 ปีนี้ (2541-ปัจจุบัน) ทำให้ประเทศอินโดนีเซียได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และไม่ถูกแทรกแซงโดยอำนาจหน้าที่ของทหาร และไม่มีรัฐประหารเกิดขึ้นอีกเลย
ผมในฐานะหนึ่งในคนที่เคยออกไปต่อสู้บนท้องถนนกับคนเสื้อแดง ในฐานะแกนนำ นปช. เราเคยถูกจับกุมดำเนินคดีด้วยคำสั่ง คสช.ในหลายวาระ นี่ยังไม่นับรวมวิธีการนอกกฎหมายอีกสารพัดในวันที่บ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย เมื่อราว 10 ปีที่ผ่านมา
จึงพูดได้เต็มปากว่านี่คือ “โอกาสสำคัญ” ที่สังคมเราจะมีฉันทามติร่วมกันในเรื่องประชาธิปไตย และ หยุดยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการรัฐประหาร
“ทั้งหมดที่พวกเราทำ ในนามผู้แทนของปวงชน จะส่งผลดีต่อภาคเศรษฐกิจ เพราะหากกฎหมายเราไม่ใช่กฎหมายเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และไม่ตราขึ้นโดยคณะรัฐประหาร นักลงทุนต่างชาติก็จะกลับมาลงทุนกับเรา และเป็นการรองรับการฟื้นคืนกลับมาของประเทศไทย เพื่อพวกเราทุกคน มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี กลับมามีรอยยิ้มอีกครั้งหนึ่งครับ” นายก่อแก้ว กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี