ผวาชัตดาวน์กรุงเทพ
ปึ้ง’ไข้ขึ้น
ขู่จัดการเต็มทุกรปแบบ
งัดแผนป้องกันพระนคร
เทพเทือกเร่งโค่นทรราช
เดินรณรงค์วันเว้นวัน
เชิญคนเผด็จศึกปู13มค.
ตจว.ขานรับทั่วประเทศ
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล หรือ “ปึ้ง” รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ ในฐานะกำกับดูแลศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.)ได้แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย เมื่อเช้าวันที่ 4 มกราคม โดยตอบโต้กรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตย ที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.)ที่ได้ประกาศปิดหรือชัตดาวน์กรุงเทพฯนับแต่วันที่ 13 ม.ค.เป็นต้นไปนั้น
โดยนายสุรพงษ์ ระบุว่ารัฐบาลมีความห่วงใยต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับกรุงเทพมหานครทั้งด้านสังคมและเศรษฐกิจโดยรวม ตลอดจนการล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่นและสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนโดยทั่วไปอย่างกว้างขวาง อันนำไปสู่ความไม่สงบเรียบร้อยทั้งของประชาชนและความมั่นคงของรัฐซึ่งการปิดกรุงเทพฯนั้นนับได้ว่าจะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายซ้ำอีกโดยเฉพาะการประกาศอย่างชัดเจนว่าจะนำพาประชาชนก่อการปฏิวัติ ซึ่งเป็นความผิดที่ร้ายแรงและมีโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต ทั้งๆที่เมื่อเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา ศาลอาญาก็ได้อนุมัติหมายจับนายสุเทพ เลขาฯ กปปส.ในข้อหา กบฏในราชอาณาจักรไว้แล้ว
งัดแผนป้องกันพระนคร
ดังนั้น รัฐบาลจึงได้แจ้งไปยังหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน ให้เตรียมความพร้อมภายในองค์กร เพื่อรองรับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำของนายสุเทพฯ กับพวก โดยเฉพาะหน่วยงานด้านความมั่นคงได้เตรียมแผนป้องกันพระนคร เอาไว้ เพื่อเตรียมการที่จะดำเนินการกับผู้ที่ร่วมกระทำความผิดในเหตุการณ์ครั้งนี้ ไว้อย่างเต็มรูปแบบ ครบถ้วนตามกระบวนการกฎหมาย โดยใช้กองกำลังผสมอย่างพร้อมเพรียงกัน เพื่อให้เกิดความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยในกรุงเทพมหานครและพื้นที่ใกล้เคียง รัฐบาลจึงขอกราบเรียนและแจ้งเตือนมายังพี่น้องประชาชนให้ทราบโดยทั่วกัน
อัดม็อบมุ่งทำลายเศรษฐกิจ
รัฐบาลขอย้ำอีกครั้งว่าการที่นายสุเทพ และพวกได้ประกาศว่าจะดำเนินการปิดกรุงเทพฯครั้งนี้ ถือว่าเป็นการกระทำผิดต่อกฎหมายบ้านเมืองอย่างร้ายแรง การกระทำของนายสุเทพและพวกเป็นการกระทำที่ไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่ต้องดำเนินชีวิต หาเลี้ยงชีพและครอบครัว เป็นการทำลายระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เสียหายอย่างรุนแรง จึงเป็นพฤติกรรมและเป็นการกระทำของผู้ไม่หวังดี ที่จงใจทำผิดกฎหมายบ้านเมืองเพื่อมุ่งทำลายประเทศชาติเท่านั้นเป็นการกระทำที่ขาดหลักมนุษยธรรมและไม่คำนึงถึงหลักการแห่งนิติรัฐอย่างสิ้นเชิง
ขู่ใช้มาตรการเต็มรูปแบบ
รัฐบาลจึงได้เตรียมการเพื่อรักษาความสงบสุขและความปลอดภัยให้แก่ประชาชน จึงขอวิงวอนและเรียกร้องให้ประชาชนที่จะเข้าร่วมขบวนการในการปิดกรุงเทพมหานคร ต้องคิดและไตร่ตรองให้รอบคอบ เพราะผลกระทบที่จะตามมาจะสร้างความเสียหายต่อประเทศไทยเป็นอย่างมาก รัฐบาลจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้มาตรการต่างๆอย่างเข้มแข็ง และดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบ จึงเรียนให้ประชาชนได้รับทราบโดยทั่วกัน และอย่าได้โปรดให้การสนับสนุนการกระทำของนายสุเทพและพวก ที่ดำเนินการอย่างผิดกฎหมายและขาดสติยั้งคิด อันเป็นการทำลายประเทศไทยอันเป็นที่รักของพวกเรา
พท.ซัดจับคนกรุงเป็นตัวประกัน
ขณะที่นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย(พท.) กล่าวถึงกรณี นายสุเทพประกาศจะรื้อเวทีราชดำเนิน ทุบหม้อข้าวตีเมืองว่านายสุเทพทุบหม้อข้าวตัวเองทุกวันอยู่แล้วจากอดีตรองนายกฯวันนี้ไม่เหลืออะไร เป็นผู้ต้องหลายคดี รวมทั้งข้อหากบฎ ไม่มีอะไรต้องเสีย แต่กำลังจะทุบหม้อข้าวประเทศ ทำลายเศรษฐกิจชาติอย่างย่อยยับ การประกาศปิดกรุงเทพฯปล้น ริดรอนสิทธิของประชาชน ทั้งชีวิตความเป็นอยู่ การทำมาหากิน ลุแก่อำนาจ ดูหมิ่นคนกรุงเทพฯว่าจะทำอะไรก็ได้ ผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาเสียชีวิตขึ้นมาจะทำอย่างไร อย่าจับคนกรุงเทพฯเป็นตัวประกัน ต่างชาติรู้สึกไม่ปลอดภัยที่คนของเขาอยู่ในประเทศไทย นึกอยากทำอะไรก็ทำ ความเสียหายยิ่งกว่าปิดสนามบินเพราะนี่คือปิดเมืองหลวง ฉาวโฉ่ไปทั้งโลก อย่าให้คนไทย 65ล้านคน รับผิดชอบร่วมกับนายสุเทพ
โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวถึงกรณี ผลกระทบด้านเศรษฐกิจจากการประกาศปิดกรุงเทพฯ ว่า มีตัวเลขความเสียหายทางเศรษฐกิจที่ตรงกันจากหลายสำนักว่าเกิดความเสียหายจากการชุมนุมแล้วกว่า70,000ล้านบาท ถ้าหากมีการปิดกรุงเทพฯจริงจะความเสียหายทางเศรษฐกิจสูงถึงกว่า2แสนล้านบาท ความน่าเชื่อถือของประเทศจะตกต่ำถึงขีดสุด การลงทุนจากต่างประเทศจะลดลง หุ้นจะตก การท่องเที่ยวจะลด เศรษฐกิจจะตกต่ำ นักวิเคราะห์หลายสถาบัน ออกมาฟันธง ในปี2014จะไม่มีJanuary Effectหรือ มกราพารวย ในตลาดหุ้นไทย ถ้าตราบใด ยังมี Shut downกรุงเทพ จึงอยากเรียกร้อง สมาคม เครือข่าย นักธุรกิจทั้งหลาย ที่จะออกมาช่วย นายสุเทพให้นึกถึงผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศให้จงหนักอาจต้องใช้เวลาเยียวยานับสิบปี กว่าระบบเศรษฐกิจของประเทศจะฟื้นกลับคืนมา
‘ยิ่งลักษณ์”กบดานเงียบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับภารกิจของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ยังไม่ยอมลาออกจากรักษาการนายกฯตามข้อเรียกร้องของมวลมหาประชาชน โดยเธอ ได้พักผ่อนกับครอบครัวที่ภายในบ้านพักซอยโยธินพัฒนา3 มีตำรวจคุมกันเข้ม จากกองบังคับการตำรวจนครบาล 4 สภ.บึงกาฬ สภ.ราชบุรี และ สภ.น่าน มีการตั้งด่านตรวจรถและบุคคลเข้าออกภายในซอย ตลอด 24 ชั่วโมง
จัดชุดควบคุมม็อบสมทบกทม.
ขณะที่ พล.ต.ต. ชัยเดช ปานรักษา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์กล่าวว่า ได้สั่งการให้ตำรวจชุดควบคุมฝูงชน 3 กองร้อย เตรียมสิ่งของสัมภาระทั้งอุปกรณ์ที่จำเป็นในการปฎิบัติหน้าที่ พร้อมออกเดินทางสู่กรุงเทพฯ ได้ทุกเวลา หากได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาเพื่อดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยและรักษาความปลอดภัยทั้งด้านชีวิตทรัพย์สินของประชาชนโดยกำชับให้ปฎิบัติหน้าที่ ไม่ใช้ความรุนแรงทำหน้าที่ด้วยความอดทนอดกลั้น ไม่ให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
ขณะนี้ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนเข้าไปปฎิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยที่กรุงเทพฯ1กองร้อย จะผลัดเปลี่ยนให้กลับมาพัก1สัปดาห์ หรือ10วัน ตามความเหมาะสม ส่วนกำลัง3 กองร้อยที่จะส่งเข้าไปปฎิบัติหน้าที่เสริมจะส่งเข้าไปเมื่อผู้บังคับบัญชาสั่งการ น่าจะก่อนวันที่13ม.ค.เป็นวันนัดรวมตัวของกลุ่มผู้ชุมนุม
กปปส.ตลบหลัง”ไอ้ปึ้ง”
ที่เวที กปปส. อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ โฆษก กปปส. แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ชี้แจงข้อเท็จจริงภายหลังจากที่มีกระบวนการของฝ่ายรัฐบาลที่พยายามบิดเบือนใส่ร้ายการชุมของมวลมหาประชาชน ว่า ขณะนี้มีกระบวนการข่มขู่ บิดเบือนใส่ร้าย เพื่อสร้างความเข้าใจผิดและสร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชน โดยกระทำกันเป็นขบวนการทั้ง ศอ.รส. พรรคเพื่อไทย และกลุ่ม นปช. ซึ่งในวัน4 ม.ค. การแถลงข่าวของนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ในฐานะ ผอ.ศอ.รส. ก็ยังโจมตีประชาชนอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น ตนเห็นว่า ศอ.รส. ควรทำหน้าที่ชี้แจงแสดงความรับผิดชอบต่อการโกหกประชาชน ในเรื่องชายชุดดำบนตึกกระทรวงแรงงาน เนื่องจาก นายสุรพงษ์และร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ได้โจมตีใส่ร้ายว่า มีประชาชนขึ้นไปบนตึกของกระทรวงแรงงานเพื่อเป็นฐานในการทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อนที่ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะออกมายอมรับว่า เป็นตำรวจที่มาปฏิบัติหน้าที่ และควรที่จะแถลงชี้แจงถึงแผนปฏิบัติการของ ศอ.รส.เพื่อคุ้มครองชีวิตของประชาชนให้ชัดเจนอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมาด้วย
เผยเส้นทางสุเทพเดินสาย
นอกจากนี้ นายเอกนัฏแถลงอีกว่า ในที่ 5 มกราคม นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.และแกนนำจะร่วมเดินรณรงค์ให้ประชาชนร่วมชุมนุมครั้งใหญ่ในวันที่ 13 มกราคมนี้ โดยจะเริ่มออกเดินตั้งแต่เวลา10.00 น. เป็นต้นไป โดยจะตั้งหัวขบวนด้านหลังเวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยใช้เส้นทางไปสู่ถนนตะนาว ผ่าน ถ. เฟื่องนคร เข้าสู่ย่านบ้านหม้อ ออกปากคลองตลาดตัดผ่านสะพานปฐมบรมราชานุสรณ์ (สะพานพุทธฯ) เข้าสู่ย่านพาหุรัด-วังบูรพา แล้วเลี้ยวขวาเข้าถนนเจริญกรุง มุ่งเข้าวงเวียน 22 กรกฎา ตัดเข้าถนนไมตรีจิตต์ ออกมาที่ ถ.วรจักร เข้า ถ. บำรุงเมือง ออกสู่ถนนมหาไชย และกลับเข้าสู่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย รวมระยะทางประมาณ 7.5 กิโลเมตร ซึ่งจะเดินเชิญชวนพี่น้องประชาชนเจ้าของประเทศ เจ้าของอำนาจให้มาร่วมแสดงพลังในวันที่13ม.ค.โดยจะเดินวันเว้นวัน และเว้นวันที่11 ม.ค.ซึ่งเป็นวันเด็กแห่งชาติและวันอาทิตย์ที่12ม.ค.เพื่อพักเก็บกำลังและออกเดินร่วมกันตามที่นัดในวันที่13 ม.ค. นี้
ผู้ชุมนุมถ่ายรูปเป็นที่ระลึก
ด้านกลุ่มผู้ชุมนุมหน้าเวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมีความคึกคักตลอดทั้งวัน โดยหลังจากนายสุเทพ ประกาศทุบหม้อข้าวชุมนุมใหญที่ปิดกรุงเทพในวันที่ 13 มกราคมนี้ บรรดาผู้ชุมนุมต่างเข้าแถวยาวเยียดขึ้นถ่ายรูปบนเวทีปราศรัยไว้เป็นที่ระลึกในการร่วมทำภาคกิจขับไล่นนส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และพวก
คปท. ทำพิธีล้างอาถรรพ์
เที่ยงวันเดียวกัน การชุมนุมเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย(คปท.) บริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ ถนนพิษณุโลก นายอุทัย ยอดมณี ผู้ประสานงาน คปท. และนายกิตติชัย ใสสะอาด ที่ปรึกษาด้านความปลอดภัย คปท. และ ผู้ชุมนุมกว่า 100 คน ร่วมทำพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล โดยนำเครื่องเซ่นไหว้ประกอบด้วยหัวหมู เป็ด ไก่ ผลไม้ ดอกไม้ ธูปเทียน เป็นต้น เพื่อร่วมกันอธิษฐานให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองรักษา โดยนายกิตติชัยได้นำผู้ชุมนุมแผ่เมตตา ก่อนที่จะนำน้ำมนต์ที่ได้จากวัดต่างๆมาให้ผู้ชุมนุมพรมรอบรั้วทำเนียบรัฐบาลเพื่อแก้เคล็ด และล้างอาถรรพ์หลังจากในปี 2553 กลุ่มผู้ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)นำเลือดมาเทรอบทำเนียบรัฐบาล
ทั้งนี้ นายกิตติชัย กล่าวว่า การทำพิธีกรรมในวันนี้ได้รับคำแนะนำจากนายฉันท์ทิพย์ พันธรักษ์ราชเดช ลูกชายขุนพันธรักราชเดช หรือ ขุนพันธ์ เพื่อบรวงสรวงเทวดาฟ้าดิน เจ้าที่ พระสยามเทวาธิราช พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง เจ้าพ่อหอกลอง และสิ่งศักดิ์ที่พวกเราให้ความเคารพนับถือ เพื่อให้ผู้ชุมนุมปลอดภัยจากภัยอันตรายต่างๆ และเป็นการแก้เคล็ด ล้างอาถรรพ์มนต์ดำที่กลุ่ม นปช.นำเลือดมาล้างไว้ เพราะพิธีดังกล่าวทำให้คนไทยฆ่ากัน จึงต้องใช้ความดีล้างความชั่ว ใช้น้ำมนต์ล้างอาถรรพ์ เพื่อไม่ให้คนไทยที่มีความเห็นต่างทางการเมืองต้องทำร้าย ฆ่าฟันกัน และรักกัน
เผยโดนคุกคามตลอดคืน
นายกิตติชัยกล่าวถึงความพยายามที่จะสลายการชุมนุมของ คปท. และ ความพยายามที่จะเอาชีวิตแกนนำ ว่า พวกเขาคิดว่าถ้าไม่มีแกนนำการชุมนุมจะฝ่อไปเอง เพราะจะไม่มีใครกล้ามาร่วมชุมนุม แต่พวกเขาเข้าใจผิด เนื่องจากที่ผ่านมาเมื่อเราเป็นผู้ถูกกระทำผู้ชุมนุมก็จะยิ่งมากขึ้นเป็นลำดับ โดยตอนนี้ก็มีการจ้องที่จะทำอยู่ทุกคืน เมื่อคืนก็มีประทัดยักษ์ ที่ผ่านมาก็มีการนำกระสุนมายิงแนวการ์ด ก็มีการกระทำแบบนี้ตลอด
“ก็อยากจะขอความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง เพราะว่าคนไทยถึงแม้จะเห็นแตกต่างกันก็ไม่น่าจะทำร้ายกัน มีอะไรก็น่าจะมาพูดคุยกัน การใช้อาวุธมาประหัตประหารกันวันหนึ่งถ้าอีกฝ่ายหนึ่งหมดความอดทน ผมมองว่าพวกเราในฐานะแกนนำผู้นำชุมนุมกลัวว่าวันหนึ่งเราจะเอาไม่อยู่ โดยเฉพาะอำนาจรัฐที่กระทำกับประชาชน กระแสคนเกลียดตำรวจให้คนไทยเกลียดฆ่ากันซึ่งผมไม่เห็นด้วย” นายกิตติชัย กล่าว
ชัยนาทพร้อมชัดดาวน์กทม.
นายอภิชัย มณีนุตร หรือ”เกษตรอ้อ”แกนนำม็อบนกหวีด หรือสภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทยชัยนาท เปิดเผยว่าแกนนำสภาฯได้หารือกันและมีมติว่าในวันที่ 13 ม.ค.57 ซึ่งเป็นวันที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.ประกาศให้เป็นวัน”ชัตดาวด์กรุงเทพ” กลุ่มมวลชนสภาฯชัยนาท จะเดินทางเข้าร่วมการเคลื่อนไหวในวันดังกล่าว โดยจะออกเดินทางในคืนวันที่ 12 ม.ค.และได้จัดรถรับสิ่งมวลชนไว้ 4 จุดคือ หน้าโรงพยาบาลชัยนาทนเรนทร หน้าธนาคารกรุงไทย หน้าโรงเรียนชัยนาทพิทยาคม และหน้าบ้านของตนเองที่ ต.ท่าชัย ซึ่งการเคลื่อนไหวครั้งนี้คาดว่าจะเป็นไม้เด็ดทีี กปปส.จะสามารถขับไล่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้ออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการได้สำเร็จ
“สตูล”จองรถบัส 8 คัน
ส่วนการเคลื่อนไหวของเครือข่าย กปปส.ในต่างจังหวัด เช่นที่ จ.สตูล นำโดยนายจิรายุ ไข่สีทอง แกนนำ เครือข่าย กปปส.สตูล ได้แถลงการณ์ที่โรงแรมพินนาเคิลวังใหม่ ต.พิมาน อ.เมือง จ.สตูล ประกาศท่าทีตอบรับจะขนมวลชนขึ้นสมทบปิดกรุงเทพในวันที่ 13 ม.ค.นี้โดยวันที่ 10 ม.ค.ชาวสตูล จะนัดรวมพลเพื่อเปิดเวทีปราศรัยถึงความไม่ชอบธรรมของระบอบทักษิณและเห็นว่าควรมีการปฏิรูปก่อนที่จะมีการเลือกตั้งในวันที่2 ก.พ.นี้พร้อมทั้งตั้งโต๊ะรับบริจาคเงินเพื่อสมทบทุนในการเดินทางขึ้นกรุงเทพฯ รับบริจาคน้ำดื่มจำนวนมากก่อนจะนัดพบเพื่อพร้อมใจกันเดินทางขึ้นกทม.ในวันที่ 11 ม.ค.โดยขณะนี้มีมวลชนตอบรับขึ้นกทม.แล้ว8 คันรถบัส ในส่วนการเคลื่อนไหวในจังหวัดวันที่13 ม.ค.นั้น ต้องคุยกับแกนนำในอำเภอต่างๆอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ต้องการประกาศว่ามวลชนสตูล พร้อมร่วมปิดกรุงเทพกับเครือข่ายกำนัน สุเทพแล้ว
แนะออกกม.พิเศษจัดการมือที่3
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงขอขอบคุณ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ที่ไม่เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลออกประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพื่อควบคุมการชุมนุมของกปปส.เพื่อปิดกทม.ในวัน 13 ม.ค.เนื่องจากการชุมนุมของกลุ่ม กปปส.ไม่เหมือนกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงเมื่อปี2553ที่มีการใช้อาวุธสงคราม การเผาบ้านเผาเมือง ที่การชุมนุมของ กปสส.ที่ไม่มีความรุนแรง มีแต่ทำร้ายการ์ดในพื้นที่ ซึ่งรัฐบาลควรออกกฎหมายพิเศษมาควบคุมผู้จะใช้กำลังกับผู้ชุมนุมมากกว่า เพราะได้มีการทำร้ายผู้ชุมนุมบาดเจ็บและเสียชีวิต แต่ยังจับกุมผู้กระทำความผิดไม่ได้แม้แต่คดีเดียว หากวันที่13ม.ค.หากมีใช้ชายชุดดำที่อาจได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเข้ามาสร้างสถานการณ์ทำร้ายประชาชน จึงขอเรียกร้องให้ผู้เกี่ยวข้องใช้มาตรการควบคุมให้เป็นไปอย่างสากล คุ้มครอง ป้องกันผู้ชุมนุมและป้องกันผู้ที่จะมาสร้างสถานการณ์ และหากเกิดความรุนแรงจนเกิดการสูญเสียขึ้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ ต้องรับผิดชอบทุกชีวิตของประชาชน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี