‘หมอวรงค์’จวกทำลายปท.
พักโทษคดีโกง
ระวังประชาชนไม่เชื่อถือ
‘จตุพร’ถ่างแผลเทวดา
ชั้น14กำลังบานปลาย
ลุ้นปปช.ชุดใหญ่ชี้ขาด
“หมอวรงค์” จวกยับพักโทษคดีโกง เท่ากับร่วมมือกันทำลายประเทศ!ด้าน “จตุพร” ชี้ใบบัวปิดผลไต่สวนชั้น 14 ได้ยาก ป.ป.ช.รับอนุฯตรวจสอบทำหน้าที่เสร็จแล้วคาดเข้าที่ประชุมชุดใหญ่สัปดาห์หน้า
เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กว่าระวังประชาชนไม่เชื่อมั่น เป็นที่ฮือฮาของสังคม หลังจากรัฐบาลแพทองธารเข้ามาบริหารประเทศ เกิดปรากฏการณ์นักโทษชั้น 14 ที่เชื่อได้ว่าไม่ยอมติดคุกสักวัน จากคดีทุจริต 3 คดี
ถัดมาล่าสุด ผู้ต้องหาคดีรับจำนำข้าว ที่ถูกศาลตัดสินจำคุก 48 ปี บางราย 36 ปี บางรายนอกจากถูกจำคุกคดีจำนำข้าว 48 ปี ยังมีคดีบ้านเอื้ออาทร อีก 50 ปี ล้วนได้ออกจากเรือนจำนับรวมการติดคุกเฉลี่ยแล้ว 7 ปี
เราต้องยอมรับว่า คดีทุจริตที่เกิดจากนักการเมือง ต้องถือว่าเป็นคดีร้ายแรง พอๆกับคดีค้ายาเสพติด หรือแม้แต่คดีฆ่าข่มขืน เพราะการทุจริตเป็นการทำลายโอกาสของประชาชน มีผลกระทบต่อการพัฒนาการอยู่ดีกินดีของประชาชน
สับเละราชฑัณฑ์พักโทษ
การที่กรมราชทัณฑ์จะมาอ้างว่า เนื่องจากผู้ต้องขังเข้าเกณฑ์ที่ต้องพักโทษ แต่เพราะคดีทุจริตเป็นคดีร้ายแรงที่ทำลายชาติ ท่านจะใช้มาตรฐานคดีปกติมาเป็นเกณฑ์ไม่ได้ ท่านควรต้องมีเกณฑ์ต่างหาก เพื่อให้เกิดความเกรงกลัวต่อการทำผิด
ท่านเห็นไหมว่า นักโทษคดีทุจริต ที่พวกท่านให้การพักโทษกรณีพิเศษ วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง คนพวกนี้สำนึกผิดหรือไม่ นอกจากไม่สำนึกผิด คนคนนี้กำลังจะสร้างปัญหาเดิมๆของประเทศ และดูแนวโน้มแล้ว ปัญหาเหล่านี้จะหนักกว่าเดิม ท่านเคยประเมินหรือไม่
พวกท่านทราบไหมว่า กว่ากระบวนการตรวจสอบการทุจริตของนักการเมือง จะรวบรวมข้อมูลพยานหลักฐานได้ ต้องทุ่มเทการทำงาน มากขนาดไหน กว่าจะผ่านป.ป.ช. ผ่านอัยการและไปต่อสู้ในชั้นศาลฎีกา เตรียมข้อมูลหลักฐานต่างๆ นำพยานมาเบิกความ
ทุกฝ่ายต้องทำงานด้วยความยากลำบาก ทั้งต้องอาศัยความตั้งใจ ความทุ่มเท เพื่อเก็บกวาดประเทศให้สะอาด และศาลฎีกาฯใช้เวลาหลายปีในการรวบรวมพยานหลักฐาน จนมีคำพิพากษาออกมา แต่สุดท้ายมาจบแบบไม่รับผิดชอบของราชฑัณฑ์ ที่สำคัญคนที่ได้รับการพักโทษก็ไม่สำนึก
เพราะกระบวนการยุติธรรมท้ายน้ำของประเทศ เป็นแบบนี้ การที่หวังจะเก็บกวาดประเทศไทยให้สะอาด นับวันจะยิ่งหนักกว่าเดิม สิ่งที่เห็นรัฐบาลชุดนี้ ดำเนินการเรื่องจัดการทุจริตจึงไม่ต้องหวัง ก็เหลือแต่องค์กรตรวจสอบ ที่ควรจะทำงานด้วยความรวดเร็ว
ระวังนะประชาชน นอกจากไม่เชื่อมั่นนักการเมือง จะไม่เชื่อมั่นกระบวนการยุติธรรมรวมทั้งราชทัณฑ์ ไม่เชื่อมั่นระบบตรวจสอบขององค์กรอิสระ อาจจะลามไปสู่ การไม่เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยที่เป็นอยู่ ไม่ต้องโทษใคร แต่ต้องโทษทั้งนักการเมือง องค์กรอิสระ ข้าราชการที่มีส่วนร่วมมือกันทำลายประเทศ
จตุพรเชื่อชั้น14บานปลาย
ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ว่า รักษาการประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ย่อมรับอนุไต่สวนป่วยทิพย์ชั้น 14 ทำหน้าที่เสร็จสิ้นแล้ว ดังนั้น สำนวนใบบัวปิดไม่มิดจึงปกปิดมติไต่สวนที่เสนอให้ดำเนินคดีการปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติ ตาม ม.157 กับนักการเมืองและข้าราชาการระดับสูงหลายคนไม่ได้เช่นกัน
“นายไพศาล พืชมงคล เปิดโปงว่าคณะอนุไต่สวน ได้ทำหน้าที่เสร็จแล้ว แต่ระดับนำขององค์กรปฏิเสธว่าไม่จริง กระทั่งรักษาการประธาน ปปช. ยอมรับเสร็จแล้ว อยู่ระหว่างกลั่นกรองเข้าที่ประชุม ปปช.สัปดาห์หน้า ดังนั้น เรื่องนี้แสดงว่า การจะปกปิดผลไต่สวนจึงทำยาก และการทำหน้าที่ถ้วงรั้งไว้ ยิ่งทำให้ประชาชนมึนงง แล้วประเทศนี้จะไม่เหลือองค์กรทำหน้าที่ด้วยความถูกต้องไว้เลย”
พร้อมทั้งกล่าวถึงประชาชนเกาหลีใต้ชุมนุมคัดค้านประธานาธิบดีประกาศกฎอัยการศึก ว่า เป็นการสำแดงพลังของประชาชนที่ยกระดับแล้วกดดันให้การเมืองยกระดับตามไปด้วย ซึ่งสะท้อนถึงการสร้างมาตรฐานประทศให้มีความมั่นคงทางการเมืองมากยิ่งขึ้น จนเป็นหลักในการพัฒนาประเทศในขณะนี้
ส่วนไทยเมื่อมีการยึดอำนาจ นักการเมืองไทยเอาแต่หนีไปไกลจากคณะยึดอำนาจให้มากที่สุด ไม่มีความพยายามเข้าสภาเพื่อปกป้องประชาธิปไตยเหมือนเกาหลีใต้ อีกทั้งไม่ใส่ใจสิทธิเสียง เสรีภาพของประชาชน ดังนั้นอย่าฝันหวานว่า นักการเมืองไทยจะเป็นอย่างเกาหลีใต้
สับอดีตนายกฯหนีคุก
นายจตุพร กล่าวอีกว่า เกาหลีใต้พัฒนาประเทศก้าวรุดไปไกลแทบทุกด้าน ทั้งเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และการกีฬา สิ่งสำคัญเริ่มจากสำนึกประชาชนพัฒนาจึงทำให้การเมืองพัฒนา แล้วเกิดยุติธรรมเป็นหลักของประเทศ ถึงขั้นเอาอดีตประธานาธิบดีที่หมกมุ่นอำนาจแล้วทุจริตต้องติดคุกถึง 2 คน แต่นายกฯ ไทยกลับหนีคดีทุจริตคอร์รัปชันถึง 2 คน พี่ชายกลับมาแล้ว โดยไม่ติดคุกสักวัน และส่วนน้องสาวกำลังจะกลับมาในสงกรานต์ปี 68 ส่วนประชาชนได้แต่เงียบสนิท
“คุณภาพของประชาชนจะเป็นเครื่องสะท้อนคุณภาพผู้ปกครอง เมื่อประชาชนมาตรฐานแกว่ง ไม่คงเส้นคงวา จึงได้ผู้นำที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมาปกครอง กฎหมายก็เอื้อมไปไม่ถึง หรือเอื้อมถึงก็จับขังคุกไม่ได้ ส่วนประชาชนได้แต่เอือมแบบเงียบสนิท”
ราชฑัณฑ์เดินหน้าพักโทษ
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2567 ที่อาคารกระทรวงยุติธรรม ถ.แจ้งวัฒนะ หลักสี่ กทม. นายสมบูรณ์ ม่วงกล่ำ ที่ปรึกษารมว.ยุติธรรม และผู้บริหารกรมราช ทัณฑ์ ประกอบด้วย นางกนกวรรณ จิ๋วเชื้อพันธุ์ รองโฆษกกรมราชทัณฑ์ , นายสมบรูณ์ ศิลา ผบ.เรือนจำกลางคลองเปรม , นายแพทย์วัฒนชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผอ.ทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์ , นายพรประสม แก้วเสถียร ผอ.กลุ่มงานพักการลงโทษ กองทัณฑปฏิบัติ กรมราชทัณฑ์ ร่วมกันแถลงข่าวเกี่ยวกับการปล่อยตัว พักการลงโทษของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ และนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือ “เสี่ยเปี๋ยง” ซึ่งเป็นกระแสข่าวที่อยู่ในความสนใจของประชาชนอยู่ในขณะนี้ เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจร่วมกัน
นายสมบูรณ์ ม่วงกล่ำ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการประกาศใช้ระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังนอกเรือนจำ ว่า ยืนยันไม่ได้เพื่อรอใครคนหนึ่งกลับมาถึงประกาศหรือไม่ แต่รอความครบถ้วนของประกาศเสียก่อน โดยเป้าหมายเพื่อลดความแออัดในเรือนจำ
ลุ้นระเบียบขังนอนเรือนจำ
นางกนกวรรณ จิ๋วเชื้อพันธุ์ รองโฆษกกรมราชทัณฑ์ กล่าวเสริมว่า ระเบียบดังกล่าวอยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็นประชาชน จนถึง 17 ธ.ค.67 เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไข จากนั้นเมื่อเรียบร้อยท่านอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ก็จะลงนามประกาศใช้ได้ทันที ถ้าในการทำประชาพิจารณ์มีคนเห็นแย้ง 90% อาจจะต้องมีการปรับแก้ไข แต่หากไม่ถึง 20% ก็อาจจะไม่ต้องมีการปรับเนื้อหาแต่อย่างใด
เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าเงื่อนไขประกาศระเบียบดังกล่าวหรือไม่ นายสมบูรณ์ กล่าวว่า ระเบียบหลักเกณฑ์เป็นเพียงเบื้องต้น ยังไม่ออกเป็นหลักเกณฑ์ที่ประกาศใช้อย่างเป็นทางการเลย จึงยังตอบไม่ได้และเรายังไม่ได้มีการพิจารณาเนื่องจากเป็นเรื่องของอนาคต ซึ่งตอนนี้ต้องรอให้ประกาศดังกล่าวออกมาก่อน และทุกอย่างก็คงเดินหน้าไปตามระเบียบ เราไม่มีการดำเนินการว่าใครจะเข้าเงื่อนไขดังกล่าวก่อนล่วงหน้า
ไม่ได้ทำเพื่อ”ยิ่งลักษณ์”
นางกนกวรรณ กล่าวเสริมเรื่อง หลักเกณฑ์การคุมขังนอกเรือนจำ ว่า เราจะใช้เกณฑ์การพิจารณาตามหลัก “ทัณฑวิทยา” ซึ่งเกี่ยวกับการปฏิบัติในการลงโทษ ซึ่งจะมีคณะกรรมการในการตัดสิน โดยขอเรียนว่ามันไม่ใช่สิทธิ์หรือประโยชน์ของผู้ต้องขัง แต่เป็นการบริหารเรือนจำ เนื่องจากขณะนี้มีผู้ต้องขังจำนวนมาก และเป็นหลักสากลที่หลายๆประเทศใช้อยู่ และการที่จะให้เขาไปอยู่ในที่คุมขังอื่น ก็ไม่ใช่การอยู่เฉยๆ ต้องมีกฎมีระเบียบ โดยจะต้องมีการประเมินความเสี่ยงจากคณะกรรมการในระดับเรือนจำก่อนจะไปคุมขังนอกเรือนจำ
นายสมบูรณ์ กล่าวยืนยันว่า เราไม่ได้วางระเบียบนี้เพื่อรอใครคนใดคนหนึ่ง แต่ประกาศนี้ออกมาเมื่อปี 2566 ซึ่งเมื่อมีประกาศแล้วก็ต้องออกระเบียบตามมาในช่วงนี้ ยอมรับ มันปฏิเสธไม่ได้ว่าสร้างความคลังแคลงใจ ว่าเราทำเพื่ออะไร แต่เรายืนยันได้ว่าเราไม่ได้ทำเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง เราทำเพราะมันเข้าเงื่อนไขและความครบถ้วนในกระบวนการต่างๆ
เมื่อถามว่าจะทันไตรมาสแรกของปี 2568 หรือไม่ เพราะมันประจวบเหมาะพอดีกับที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยพูดว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะกลับมาในช่วงสงกรานต์ นายสมบูรณ์ กล่าวว่า ถ้าถามความเห็นของตนก็น่าจะเป็นไปได้ แต่มันก็มีขั้นตอนในการปฏิบัติไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง แต่ถ้าถามว่าไตรมาสแรกมันก็ 3 เดือนมันก็น่าจะเป็นไปได้ แต่ในส่วนของนางสาวยิ่งลักษณ์ ตนไม่ทราบว่าเขาจะกลับเมื่อไหร่ ได้ยินเพียงแต่ข่าว ดังนั้น เรื่องของการคาดเดาว่าจะทันหรือไม่ ตนไม่สามารถระบุได้ เพียงแต่บอกว่า “มันใกล้จะเสร็จแล้ว”
อ้างอยู่รพ.ตำรวจก็ถือว่าติดคุก
เมื่อถามว่าระเบียบการคุมขังนอกเรือนจำที่กำหนดอายุโทษไม่เกิน 4 ปี หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ กลับมา จะไม่ต้องเข้าเรือนจำ และไปคุมขังที่บ้านได้เลยหรือไม่ นางกนกวรรณ เบื้องต้นที่วางระเบียบคือคำพิพากษาล่าสุดไม่เกิน 4 ปี แต่ท่านอดีตนายกฯมีโทษจำคุกมากกว่า ก็ต้องอยู่ในเรือนจำระยะเวลาหนึ่ง แต่ทุกอย่างมันยังอยู่ระหว่างการดำเนินการมีแก้ไขได้อีก หลังรับฟังความเห็น
เมื่อถามว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเป็นอีกหนึ่งคนที่ไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียวเหมือนกับนายทักษิณ หรือไม่ นายสมบูรณ์ กล่าวยืนยันว่า ท่านนายกทักษิณติดคุก เพราะไปอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจก็ถือว่าเป็นคุกแห่งหนึ่งตามกฎหมาย ยอมรับว่าเรากังวลต่อข้อสงสัยของพี่น้องประชาชน แต่เรายืนยันว่าเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่ไปแล้ว ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ทำ ดังนั้น ในเรื่องชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจนั้น ป.ป.ช.กำลังดำเนินการอยู่ รอกันวินิจฉัยของป.ป.ช.เป็นผู้ตัดสิน
“เสี่ยเปียง”ป่วยหลายโรค
ด้าน นายสมบูรณ์ ศิลา ผู้บัญชาการเรือนจำกลางคลองเปรม เผยว่า กรณี นายอภิชาติ หรือ “เสี่ยเปี๋ยง” ได้รับโทษในแบบกรณีพิเศษ มีอายุเกิน 70 ปี และมีโรคป่วยร้ายแรง 7 โรค โดยเฉพาะโรคไตวายเรื้อรัง มีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิต หากอยู่ในสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม เข้ากลุ่มผู้ป่วย 608 ซึ่งต้องอยู่ในกระบวนการรักษาที่เหมาะสม รวมทั้ง มีผู้อุปการะเป็นหลักแหล่ง โดยการพิจารณาความเห็นของคณะอนุกรรมการมีความเห็นชอบ 8.0 ในการพักโทษ ”เสี่ยเปี๋ยง“ ก่อนเสนอในระดับกรมราชทัณฑ์ต่อไป อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้ต้องขังคดีจำนำข้าวอีก 2 รายอยู่ในเรือนจำกลางคลองเปรม เพราะโทษยังไม่เข้าหลักเกณฑ์
ต่อข้อถามว่า จะทำความเข้าใจกับสังคมอย่างไรกรณีผู้ต้องขังคดีจำนำข้าว ได้รับการพักโทษพร้อมๆกัน ในช่วงรัฐบาลนี้ นายสมบูรณ์ กล่าวว่า ไม่ใช่การปล่อยในรัฐบาลชุดนี้ แต่ข้อเท็จจริงเป็นเพราะเข้าเกณฑ์ช่วงนี้พอดี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี