‘บิ๊กต่าย’ปัดลอยตัว
ปมปปช.ไต่สวนจนท.รัฐเอื้อ‘แม้ว’
ถ้าผิดลงโทษได้/ไม่ต้องตั้งกก.สอบ
“บิ๊กต่าย” ผบ.ตร.ปัดลอยตัวปม แพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ ถูกป.ป.ช.ตั้งองค์คณะไต่สวน ปมเอื้อประโยชน์ “ทักษิณ” นอนชั้น 14รพ.ตำรวจ ชี้หากป.ป.ช.มีมติว่าผิดลงโทษได้ โดยไม่ต้องตั้งคณะกรรมการสอบอีก
เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2567ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผยกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) มีมติให้ตั้งองค์คณะไต่สวน เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ และแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ รวม 12 ราย กรณีส่งตัวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไปรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ โดยไม่ต้องถูกคุมขังในเรือนจำว่า ขณะนี้ตนเองยังไม่ได้รับรายงานจากต้นสังกัดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว และส่วนตัวเคยให้สัมภาษณ์ไปแล้วว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องของ รพ.ตำรวจ ในการที่จะพิจารณาตามอำนาจหน้าที่แต่ละส่วนราชการหน่วยงานโดยตนเองจะไม่เข้าไปก้าวก่าย และไม่ขอแสดงความคิดเห็นใดๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะมีหน่วยงานองค์กรทำหน้าที่ตรวจสอบอยู่แล้ว
“ขณะเดียวกันไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบหรือลอยตัวในการแก้ปัญหาในฐานะผู้นำหน่วย แต่ขอให้รอผลการตรวจสอบขององค์กรหรือหน่วยงานที่ทำหน้าที่รับผิดชอบออกมาก่อน ซึ่งผลออกมาอย่างไรก็มีระเบียบขั้นตอนของกฎหมายดำเนินการอยู่แล้ว” ผบ.ตร. กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ป.ป.ช.มีมติตั้งองค์คณะไต่สวนถือว่าข้าราชการตำรวจทำผิดแล้วหรือยัง ผบ.ตร. ระบุว่า ยังไม่เข้าข่ายกระทำผิดหรือต้องสั่งลงโทษ เพราะยังเป็นการไต่สวน แต่หาก ป.ป.ช.มีการชี้มูลความผิด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็มีระเบียบขั้นตอนดำเนินการกับข้าราชการตำรวจทุกนายอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าที่ผ่านมามีกรรมการสิทธิ์เคยมาร้องเรียน ซึ่งต้องไปดูรายละเอียดว่าร้องให้ตรวจสอบเรื่องอะไร เพราะเรื่องดังกล่าวยังไม่ได้ยื่นกับตนเอง ถือเป็นอีกมิติที่ต้องตรวจสอบเพราะเป็นคนละเรื่องกัน
“ย้ำว่าหาก ป.ป.ช.หรือ ปปท. ชี้มูลความผิดข้าราชการตำรวจคนใด สามารถลงโทษได้โดยไม่ต้องตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงหรือสอบวินัยอีก” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าว
วันเดียวกัน นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยถึงกรณีที่สื่อนำเสนอข่าวเกี่ยวกับอดีตเจ้าหน้าที่สำนักงาน ป.ป.ช. ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งพนักงานไต่สวน ระดับสูง มีความสนิทสนมกับกรรมการ ป.ป.ช. และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคณะอนุกรรมการกลั่นกรองเรื่องกล่าวหาประจำภาค มีพฤติกรรมเรียกรับเงินจากผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งปัจจุบันเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวถูกไล่ออกจากราชการ ถูกดำเนินคดีอาญา แต่ยังมีพฤติกรรมเข้า-ออกภายในสำนักงาน ป.ป.ช. และยังติดตามกรรมการ ป.ป.ช. คนดังกล่าว
สำนักงาน ป.ป.ช. ขอชี้แจงว่ากรณีดังกล่าวได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและพบว่า เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. มีการกระทำความผิดวินัยกรณีจงใจนำข้อมูลเรื่องกล่าวหาที่ได้มาจากการปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับการแต่งตั้งและมอบหมายไปเปิดเผย จึงมีคำสั่งพักราชการเจ้าหน้าที่คนดังกล่าว เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563
ต่อมามีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงและดำเนินคดีทางอาญา ซึ่งจากการสอบสวนวินัยนั้น สำนักงาน ป.ป.ช. มีคำสั่งลงวันที่ 28 มิถุนายน 2564 ลงโทษไล่เจ้าหน้าที่สำนักงาน ป.ป.ช. รายดังกล่าวออกจากราชการเนื่องจากกระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรง โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่มีคำสั่งพักราชการ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 2563
ส่วนการดำเนินคดีอาญา คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดอดีตเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. คนดังกล่าว กรณีร่วมกันเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด เพื่อเป็นค่าตอบแทนในการช่วยเหลือทางด้านคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงาน ป.ป.ช. ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจโดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายหรือโดยทุจริต และรู้หรืออาจรู้ความลับในราชการ กระทำด้วยประการใด ๆ อันมิชอบ ด้วยหน้าที่ให้ผู้อื่นล่วงรู้ความลับนั้น และเปิดเผยข้อความ ข้อเท็จจริง หรือข้อมูลที่ได้มาเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 มาตรา 157 และมาตรา 164 ประกอบมาตรา 91 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 มาตรา 173 และมาตรา 180 ประกอบมาตรา 183 และประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ช. ได้ส่งสำนวนการไต่สวนพร้อมเอกสารประกอบให้อัยการสูงสุดพิจารณาดำเนินคดีต่อศาลที่มีเขตอำนาจเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2567
ต่อมาสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตภาค 1 มีหนังสือแจ้งว่า อัยการสูงสุดได้พิจารณารายงานการไต่สวนข้อเท็จจริงแล้วเห็นควรรับดำเนินคดีอาญาฟ้องผู้ถูกกล่าวหาในฐานความผิดดังกล่าว และดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 แล้ว เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 2563 ซึ่งเป็นวันที่เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. คนดังกล่าวถูกพักราชการและถูกไล่ออกจนถึงปัจจุบัน อดีตเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. คนดังกล่าวไม่เคยเข้ามาเกี่ยวข้องกับภารกิจของสำนักงาน ป.ป.ช. หรือมาช่วยงานกรรมการ ป.ป.ช. ตามที่ปรากฏเป็นข่าวแต่อย่างใด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี