‘อิศรา’ขุดต่อ‘แพทองธาร’ออกตั๋วเงิน 4,400 ล. วางแผน หรือเลี่ยงภาษีโอน(ให้)หุ้นหรือไม่

‘อิศรา’ขุดต่อ‘แพทองธาร’ออกตั๋วเงิน 4,400 ล. วางแผน หรือเลี่ยงภาษีโอน(ให้)หุ้นหรือไม่

วันอาทิตย์ ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2568, 18.17 น.

‘อิศรา’ขุดต่อ‘แพทองธาร’ออกตั๋วเงิน 4,400 ล. วางแผน หรือเลี่ยงภาษีโอน(ให้)หุ้นหรือไม่

16 มีนาคม 2568 เว็บไซต์สำนักข่าวอิศรา เผยแพร่รายงานของ ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ผอ.สถาบันอิศรา ในประเด็น “ไขคำตอบ เจตนาลวง-นิติกรรมอำพราง? ตั๋วเงิน 4,400 ล. ‘แพทองธาร’เลี่ยงภาษีโอน(ให้)หุ้น?” มีรายละเอียดดังนี้....


หลังจากเขียนตั้งคำถามเกี่ยวกับการออกตั๋วสัญญาใช้เงินมูลค่ากว่า 4,400 ล้านบาทของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเพื่อใช้ชำระค่าหุ้น 9 บริษัทให้แก่มารดา ญาติพี่น้องไป 3 ตอนในทำนองว่า เป็นการทำนิติกรรมอำพราง ‘สัญญาให้หุ้น’เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีหรือไม่ (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : 'อิศรา'ขุดปม'แพทองธาร'ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน 4,400 ล.ให้ญาติพี่น้อง จ่ายค่าหุ้นหรือนิติกรรมอำพราง?)

จนบัดนี้ยังไม่มีคำตอบจาก น.ส.แพทองธารหรือผู้ที่อยู่เบื้องหลังการทำนิติกรรมดังกล่าว

หลังจากได้ค้นคว้าข้อกฎหมายเพิ่มเติมโดยเฉพาะประมวลรัษฎากรแล้ว น่าจะได้คำตอบเกี่ยวกับการออกตั๋วสัญญาใช้เงินมูลค่ากว่า 4,400 ล้านบาทของ น.ส.แพทองธารแล้วว่า ทำเพื่ออะไร

ก่อนอื่นอยากให้ทำความเข้าใจกับคำว่า “เจตนาลวง”และ “นิติกรรมอำพราง”ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 155 ที่บัญญัติว่า

“การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นโมฆะ แต่จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต และต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้นมิได้”

ถ้าการแสดงเจตนาลวงตามวรรคหนึ่งทำขึ้นเพื่ออำพรางนิติกรรมอื่น ให้นำบทบัญญัติของกฎหมายอันเกี่ยวกับนิติกรรมที่ถูกอำพรางมาใช้บังคับ”

อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ คือ บุคคลสองฝ่ายมีการทำสัญญา 2 ฉบับ

ฉบับแรกเปิดเผยต่อบุคคลภายนอก แต่ไม่ประสงค์ให้มีผลบังคับตามกฎหมาเพื่อปกปิดหรือ‘อำพราง’สัญญาฉบับที่สองซึ่งเป็นสัญญา‘ลับ’ที่รับรู้กันเพียงสองฝ่าย

สัญญาฉบับแรกถือเป็นโมฆะ สัญญาฉบับที่สองมีผลบังคับตามกฎหมาย

ในกรณีของการออกตั๋วสัญญาใช้เงินมูลค่ากว่า 4,400 ล้านบาทของ น.ส.แพทองธารเพื่อชำระค่าหุ้นที่มารดาและญาติพี่น้องโอนให้ มีรายละเอียดดังนี้

1.นางสาวพินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ จำนวน 4 ฉบับ ลงวันที่ 8 ก.ย.2559 (8/9/2559) รวมเป็นเงิน 2,388,724,095.42 บาท ชำระค่าหุ้นบริษัท พี.ที.คอร์ปอเรชั่น จำกัด ,บริษัท เรนด์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด,บริษัท เอสซี ออฟฟิซ พลาซ่า จำกัด และ บริษัท เอส ซี เค เอสเทต จำกัด

2.นายพานทองแท้ ชินวัตร จำนวน 1 ฉบับ ลงวันที่ 8 ก.ย.2559 (8/9/2559) เป็นเงิน 335,420,541 บาท ชำระค่าหุ้น บริษัท เรนด์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด

3.นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ จำนวน 2 ฉบับ ลงวันที่ 9 ม.ค.2566 (9/1/2566) , 8 พ.ค.2566 (8/5/2566) รวมเป็นเงิน 1,315,460,000 บาท ชำระค่าหุ้น บริษัท โอเอ ไอ แมนเนจเม้นท์ จำกัด และ บริษัท บี.บี.ดี. ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด

4.นางบุษบา ดามาพงศ์ จำนวน 1 ฉบับ ลงวันที่ 8 พ.ค.2566 (8/5/2566) เป็นเงิน 258,400,000 บาท ชำระค่าหุ้น บริษัท บี.บี.ดี. ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด

5.คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ จำนวน 1 ฉบับ ลงวันที่ 8 ก.ย.2559 (8/9/2559) เป็นเงิน 136,517,701.60 บาท ชำระค่าหุ้น บริษัท โอเอไอ คอนซัลแต้นท์ แอนด์ แมนเนจเม้นท์ จำกัด

ถ้าดูรูปแบบการโอนหุ้นภายในครอบครัว เครือญาติรวมถึงคนรับใช้ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและคนขับรถของตระกูลชินวัตรตั้งแต่อดีตจนถึงปี 2543 ซึ่งเป็นปีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ได้โอนหุ้นชินคอร์เปอเรชั่นและหุ้นอื่นๆให้นายพานทองแท้ ลูกๆและเครือญาติรวมหลายหมื่นล้านบาทไม่เคยมีหลักฐานว่า มีการชำระราคาค่าหุ้นต่อย่างใด

แม้ต่อมาจะมีเสียงเรียกร้องให้กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีการให้หุ้น(สัญญาให้)ดังกล่าว แต่ผู้บริหารกรรมสรรพากรขณะนั้นนิ่งเฉย อ้างว่า เป็นการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยาหรือ ให้โดยเสน่หาฯซึ่งตามประมวลรัษฎากรได้รับการยกเว้นภาษี

แต่เมื่อตรวจสอบกฎหมายประมวลรัษฎากรในปัจจุบัน พบว่า มาตรา 42 ว่าด้วยเงินได้ที่รับยกเว้นภาษี มีการแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร(ฉบับที่ 40) พ.ศ.2558(29 กรกฎาคม 2558) ดังนี้

(27) เงินได้ที่ได้จากการอุปการะหรือจากการให้โดยเสน่หาจากบุพการี ผู้สืบสันดานหรือคู่สมรส เฉพาะเงินได้ในส่วนที่ไม่เกิน20 ล้านบาทตลอดปีภาษีนั้น

(28) เงินได้ที่ได้จากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยาหรือจากการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งธรรมเนียมประเพณี ทั้งนี้จากบุคคลซึ่งมิใช่บุพการี ผู้สืบสันดานหรือคู่สมรสเฉพาะเงินได้ในส่วนไม่เกิน 10 ล้านบาทตลอดปีภาษีนั้น

สำหรับเหตุผลในการแก้ไขประมวลรัษฎากรในส่วนนี้ เนื่องจากมีการตรากฎหมายการจัดเก็บภาษีจากการรับมรดก แต่ประมวลรัษฎากรยังมีการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินที่ได้รับจากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยาหรือจากการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งธรรมเนียมประเพณี...เป็นการไม่สอดคล้องกับการจัดเก็บภาษีการรับมรดก สมคารปรับปรุงบทบัญญัติให้สอดคล้องกัน

จากการแก้ไขระมวลรัษฎากรดังกล่าว หมายความว่า เมื่อพ่อแม่ หรือบุตร รวมทั้งเครือญาติให้ทรัพย์สินไม่ว่าจะเป็นการอ้างอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา โดยเสน่หาฯ ทรัพย์สินส่วนที่เกินกว่า 10 ล้านบาทหรือ 20 ล้านบาทแล้วแต่กรณี ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทั้งหมด

เมื่อดูข้อมูลจากที่คุณพจมานและเครือญาติโอนหุ้น 9 บริษัทให้ น.ส.แพทองธาร และ น.ส.แพทองธารออกตั๋วสัญญาใช้เงินมูลค่ากว่า 4,400 ล้านบาทเพื่อชำระราคาค่าหุ้นในปี 2559 และปี 2566 แล้วล้วนเกิดขึ้นหลังจากจากมีการแก้ไขประมวลรัษฎากรดังกล่าวข้างต้น

ดังนั้น ถ้าตระกูลชินวัตร ยังยึดรูปแบบการโอนหุ้นไปมาในรูปแบบเดิม ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอาจเป็นจำนวนหลายร้อยล้านหรือเป็นพันล้านบาท

ในช่วงปี 2559 หรือ ปี 2566 ที่มีการถ่ายโอนหุ้นระหว่างคุณหญิงพจมานและเครือญาติให้กับ น.ส.แพทองธาร ยังไม่มีใครคาดหมายว่า น.ส.แพทองธารจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)และสาธารณะ

การโอนหุ้นให้กันในหมู่ญาติพี่น้องอาจทำแบบเงียบๆได้ แต่เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรี บัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต้องถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้น

การให้ น.ส.แพทองธารออกตั๋วสัญญาใช้เงินมูลค่ากว่า 4,400 ล้านบาทเพื่อชำระราคาค่าหุ้นเป็นทางออกทำให้ไม่ต้องถูกตรวจสอบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพราะเท่ากับการ ‘ซื้อขาย’หุ้นไม่ใช่ได้รับหุ้นมาฟรีๆโดย ‘การให้’ แม้ผู้ให้จะเป็นบุพากรีหรือญาติพี่น้องโดยอ้างอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยาหรือโดยเสน่หาฯ แต่ก็เกินกว่าจำนวนที่จะได้รับการยกเว้นภาษี

เหมือนกับที่เคยอ้างว่า คุณหญิงพจมานได้โอนหุ้นชินคอร์ปมูลค่า 738 ล้านบาทให้แก่นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ เมื่อปี 2543 ว่า เป็นการอุปาระโดยหน้าที่ธรรมจรรยาหรือให้โดยเสน่หาได้รับการยกเว้นภาษี แต่มีการทำนิติกรรมอำพรางซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ จนถูกดำเนินคดีซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดทั้งสามคน แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า นายบรรณพจน์มีความผิดเพียงคนเดียว ให้รอลงอาญา แต่อัยการสูงสุดในขณะนั้นไม่ยอมยื่นฎีกา

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณารูปแบบการออกตั๋วสัญญาใช้เงินของ น.ส.แพทองธารซึ่งอ้างว่า เพื่อชำระราคาค่าหุ้นแล้ว พบว่า เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่ไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้หรือที่เรียกว่า ชำระเมื่อทวงถาม และไม่มีดอกเบี้ย

น.ส.แพทองธารจะชำระหนี้เมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าคุณหญิงพจมาน นายพานทองแท้ น.ส.พิณทองทา หรือนายบรรณพจน์ไม่ทวงถาม และไม่มีความเดือดร้อนใดๆเพราะไม่มีดอกเบี้ย อาจมีคนประชดประชันว่า อาจชำระหนี้ชาติหน้าหรือจนกว่าจะหมดอายุความภาษี หนี้ก้อนนี้อาจเลิกไปโดยปริยาย

จากรูปแบบการออกตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าว ทำให้เกิดคำถามว่า เป็นการทำสัญญาที่ไม่มีความประสงค์ให้มีผลบังคับตามกฎหมายหรือเข้าข่าย ‘เจตนาลวง’หรือไม่

เพราะคุณหญิงพจมานและนายทักษิณ มีเจตนาที่แท้จริงที่ในการให้หุ้น(สัญญาให้)เหล่านี้แก่ น.ส.แพทองธารอยู่แล้ว แต่ไม่สามารถดำเนินการโอนหุ้นให้เปล่าๆในรูปแบเดิมได้เพราะไม่ต้องการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหลายร้อยหรือนับพันล้านบาท

ในฐานะนายกรัฐมนตรี คงต้องตอบคำถามอย่างองอาจผ่าเผยว่า การออกตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าว เป็นเจตนาลวง นิติกรรมอำพรางหรือ การวางแผนภาษี?

ขอบคุณข้อมูล : isranews

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top