รายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในตอนที่เผยแพร่วันที่ 15 เม.ย. 2568 ในบรรยากาศเฉลิมฉลอง “ปีใหม่ไทย” เทศกาลสงกรานต์ ชวนพูดคุยกับ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในหลายประเด็น เริ่มจากการมองสถานการณ์การเมืองในเวลานี้ ว่า เรื่องทั้งหมดมีที่มาที่ไป หากทำในสิ่งที่ผู้คนบอกว่าเหมาะสมด้วยเวลาและเหตุผลคงไม่มีใครออกมาต่อต้าน ซึ่งคนก็เคยผ่านช่วงเวลาที่ออกไปทำแบบนั้นมาแล้ว มีทั้งความเหนื่อย ความร้อน อีกทั้งยังต้องต่อสู้กับผู้มีอำนาจ
ซึ่งด้านหนึ่งตนก็อยากให้รัฐบาลเดินต่อไปได้ เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจ ณ ปัจจุบันไม่ใช่ประเทศไทยประเทศเดียว อย่างน้อยต้องพาประเทศสู้กับเพื่อนบ้านร่วมภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ด้วยกัน รวมถึงระบบเศรษฐกิจโลกก็มีปัญหามาก ดังนั้นหากภายในประเทศยังมีปัญหา ความขัดแย้งยังมี ยังเดินหน้าไม่ได้เต็มที่ ตนมองว่าแบบนี้จะไปสู้ใครได้
“สุดท้ายการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง แต่เราเป็นประชาชนเราก็ทิ้งไม่ได้ เราจะปล่อยให้ใครทำอะไรเลยไม่ได้ ผมเชื่อว่าหลายๆ คนจะเห็นหลายๆ วิกฤตที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ไหนๆ ขึ้นปีใหม่แล้ว เราลองวิเคราะห์กันง่ายๆ 1 ปีที่ผ่านมาเราเจออะไรบ้าง เราเจอทั้งน้ำท่วม น้ำหลาก ดินสไลด์ลงมา อันนี้ตั้งแต่ภาคเหนือมา ภาคใต้ก็ฝนตกหนัก น้ำท่วม ที่ผ่านมายังมาเจอกับแผ่นดินไหว เจอเรื่องภาษี เรื่องเศรษฐกิจที่มีปัญหามากๆ เจออีกร้อยเรื่องที่เราต้องเจอ แต่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ต้องบอกเหตุว่านี่เป็นแค่เริ่มต้น ทั้งโลกเขามีปัญหาหนักกว่านี้
ถ้าเรายังไม่แก้หรือไม่ได้หาจุดแข็งของตัวเองหรือปรับระบบหรือวิธีการนำเสนอของผู้นำประเทศ ผมคิดว่าเราจะต้องเจออะไรหนักกว่านี้ นี่เป็นแค่เรียกว่า Intro (บทเริ่ม) มากเลย เพราะนี่เป็นภัยพิบัติที่เกิดขึ้น ประเทศเราไม่เคยมีแผ่นดินไหวหนักๆ แบบนี้ วันนี้มันมีแล้วทำอย่างไร? ถ้ามีอีกครั้งหนึ่งเราห้ามไม่ได้เพราะแผ่นดินไหวไม่สามารถจะบอกก่อนได้ แต่เรามีการเตรียมตัวหรือยัง? ว่าการสื่อสารเป็นอย่างไร เกิดวันนั้นสัญญาณมือถือ สัญญาณโทรศัพท์ใช้ไม่ได้ขึ้นมา คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าครอบครัวคุณอยู่ตรงไหนกันบ้าง?”
หรืออย่างระบบขนส่งมวลชนซึ่งหยุดชะงักในวันที่เกิดแผ่นดินไหว หลังจากนี้จะบอกประชาชนอย่างไร ซึ่งตนไม่ได้โทษนายกรัฐมนตรีเพราะเรื่องนี้ไม่เคยเกิดมาก่อน แต่คำถามคือเมื่อเกิดแล้วได้แก้ปัญหาอย่างไร เพราะจะปล่อยให้เกิดขึ้นครั้งต่อไปในสภาพแบบเดิมๆ ไม่ได้ ซึ่งหากจะแก้ให้ได้ นายกฯ ต้องบอกว่าหลังจากนี้จะมีระบบเตือนภัยอย่างไร ประชาชนต้องปฏิบัติตนอย่างไร ระบบกู้ภัยและการรักษาพยาบาลจะเป็นอย่างไร
ส่วนข้อสังเกตว่าระยะหลังๆ ออกมาเคลื่อนไหวบนโลกออนไลน์บ่อยขึ้น ตนยอมรับว่ามีความกังวล ซึ่งตอนแรกๆ ให้กำลังใจ เพราะอยากให้รัฐบาลซึ่งมาจากทุกพรรคการเมือง มองว่าก้าวข้ามความขัดแย้งต่างๆ แล้ว ก็น่าจะกลับเข้าสู่การบริหารประเทศ อะไรที่ควรทำก็ต้องทำ ตนก็เหมือนกับประชาชนที่อยู่ทางบ้าน คือให้กำลังใจและให้ประเทศเดินต่อไปได้
แต่เมื่อเวลาผ่านไป บางคนบอกว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร มาเป็นนายกฯ ได้ 6 – 7 เดือน ให้เวลาหน่อยได้หรือไม่ แต่ตนมองว่านายกฯ คนก่อนหน้านี้อย่าง นายเศรษฐา ทวีสิน ก็มาจากพรรคการเมืองเดียวกับ น.ส.แพทองธาร และอยู่ในยุคที่ น.ส.แพทองธาร เป็นหัวหน้าพรรค สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่สนับสนุนก็มาจากพรรคเดียวกัน ซึ่งแม้นายเศรษฐามีเหตุต้องพ้นจากตำแหน่งไป แต่ก็บอกไม่ได้ว่า น.ส.แพทองธาร เพิ่งมาได้ 6 เดือน เพราะนโยบายต่างๆ คนเขียนก็ชุดเดียวกัน ใช้ชุดความคิดเดียวกัน ถามว่าผ่านมาเกือบ 2 ปีแล้วเศรษฐกิจเป็นอย่างไรบ้าง
“ท่านเคยบอกว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่จะมาแก้เศรษฐกิจแล้วมีความรู้ความสามารถ มีความเชี่ยวชาญ ผมถามว่าวันนี้นอกจากเรื่องการแจกเงิน 1 หมื่น ซึ่งก็ไม่ได้ตรงกับความเป็นจริง วันแรกที่จะบอกว่าออกมาแจกเงินดิจิทัล บอกว่าเงินนี้จะเป็นระบบดิจิทัล ไม่ใช่เป็นเงินสด เหตุผลเพราะต้องการที่จะวางระบบใหม่ อยากดูเป้าหมาย และคลุมไว้ว่าเงินนั้นให้เฉพาะคนที่เอาไปใช้ในหมู่บ้านในอำเภอ เพราะอยากให้เงินกระจายลงไป จะให้เด็กตั้งแต่ 16 ขึ้นไป เพราะจะได้เอาไปซื้อของแล้วเงินก็จะได้หมุนเวียน ไปจ่ายค่าเล่าเรียนได้ ไปช่วยพ่อแม่ได้
ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ที่ออกมาเป็นเงิน 1 หมื่นบาทไม่ได้ตรงตามวัตถุประสงค์นั้นเลย แล้วการที่แจกลงไปรอบนี้จะเป็นรอบที่ 3 ที่กำลังจะมา บอกว่าจะเป็นพายุหมุน 3 รอบ ผมถามวันนี้ด้วยความเป็นธรรม ผมไปเดินตลาด ไปเดินที่ไหนไม่มีสักรอบแล้วก็ไม่ไดรับการตอบรับ แต่เงินนั้นมาจากไหน? เงินจากภาษีประชาชน สองคือกู้มา เพราะวันนี้ก็ยังตอบไม่ได้ว่าใช้เงินตรงไหน? บอกมีเงินๆ ก็พูดสิว่าเงินกู้มา แล้วกู้มาก็ต้องมีดอกเบี้ย มีการใช้คืน ประชาชนก็ต้องมานั่งรับภาระตรงนั้น”
ทั้งนี้ หากนโยบายแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทสร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจได้จริงก็คงไม่ต้องติอะไร เพราะเข้าใจได้เรื่องจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งหากมีเงินกระตุ้นเข้าไปในระบบ มีการใช้จ่ายซื้อ-ขาย ก็จะทำให้เงินหมุนในระบบไม่ว่าจะกี่รอบก็ตาม หรือที่บอกว่าแจกเงินกลุ่มเปราะบาง ก็ไม่ต่างจากสมัยรัฐบาลนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ทำอยู่แล้วอย่างในช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 อีกทั้งงบประมาณก็ขอจากรัฐสภา แต่ครั้งนี้เงินมหาศาลที่นำมาแจกไม่ได้มีการชี้แจงให้ชัดเจน
อีกทั้งเมื่อถามผู้คนตั้งแต่ระดับบนสุดอย่างนักธุรกิจพันล้าน-หมื่นล้าน มนุษย์เงินเดือนในบริษัท ลงไปถึงผู้ใช้แรงงาน ทุกคนบ่นเหมือนกันหมด งานไม่เข้าบ้าง ถูกเลิกจ้างก่อนเวลาอันควรบ้าง จึงมองไม่ออกว่าหากเดินต่อไปแบบนี้จะมีอะไรมากระตุ้นให้เศรษฐกิจดีขึ้น และราวกับเคราะห์ซ้ำกรรมซัด มาเจอแผ่นดินไหว มาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกา หากรัฐบาลไม่มีความชัดเจนในการบริหาร ไม่มีแนวทางดึงเศรษฐกิจขึ้น ไม่มีแนวทางดูแลประชาชน อย่างที่เห็นหุ้นตกยิ่งกว่าตอนสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19
ซึ่งความแตกต่างคือ ช่วงโควิด-19 ระบาด เป็นปัญหาเศรษฐกิจที่มีชื่อตอน กล่าวคือ เพื่อความปอลดภัยทุกอย่างต้องหยุดทั้งหมด คนนอนอยู่บ้าน เศรษฐกิจไม่เดินเพราะไม่มีการค้าขาย แต่เมื่อสถานการณ์ผ่านไป มีวัคซีน ทุกอย่างก็กลับมาปกติ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้ไม่มีชื่อตอน ไม่รู้ว่าเศรษฐกิจลงมาเพราะอะไรและจะจบเมื่อใด และก่อนหน้านี้ยังคงมีกลุ่มคนหรือบริษัทใหญ่ๆ ที่ยังมีศักยภาพพอไปได้ แต่เมื่อตลาดหุ้นส่งสัญญาณให้เห็นปัญหาของบริษัทใหญ่ๆ ก็จะล้มเป็นโดมิโนลงมา เมื่อลูกพี่ไปก็ไม่มีการจ้างงานลูกน้อง นี่คือสิ่งที่ตนเป็นห่วงและดูจะหนักกว่าทุกครั้ง
และต้องย้ำว่า “ไม่ใช่หายนะกำลังจะมา..แต่มาแล้วในเวลานี้” คำถามคือจะบริหารจัดการอย่างไร และหากประชาชนห่วง รัฐบาลในฐานะผู้นำยิ่งต้องห่วงมากกว่า เพราะประชาชนห่วงก็ได้แต่บ่น แต่ผู้บริหารประเทศห่วงแล้วต้องมีมาตรการ กลุ่มไหนทำอะไร จะช่วยใครได้บ้าง ส่วนประเด็นความเคลื่อนไหวของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ดูจะมีบทบาทกับรัฐบาลอย่างมาก ตนมองว่า น.ส.แพทองธาร เป็นคนรุ่นใหม่ที่โชคดีได้ขึ้นมาบริหารประเทศ ส่วนที่ถูกมองว่ามีประสบการณ์ยังไม่มาก การมีนายทักษิณ ผู้เป็นทั้งบิดาและอดีตนายกฯ มาสนับสนุน ก็อาจช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาด จะได้นำไปสู่กระบวนการแก้ไขและบริหารประเทศ
ซึ่งเรื่องนี้ตนไม่ติดใจอะไรหากนายทักษิณจะมีบทบาทเป็นที่ปรึกษา แต่พอเอาเข้าจริงก็มีคำถามว่าตกลงแล้วใครมีอำนาจสิทธิ์ขาดที่จะบอกว่าอะไรควร – ไม่ควรทำ เพราะหลายครั้งที่ตนเห็น นโยบายมักเริ่มจากอดีตนายกฯ ทักษิณ แล้วรัฐมนตรีต่างๆ ในรัฐบาลรวมถึงข้าราชการก็รับลูก วันรุ่งขึ้นบอกว่าทำได้ มีงบประมาณ แล้วประเทศไทยบริหารด้วยระบบอะไร มีคำถามว่าการสั่งการแบบนอกระบบสามารถทำได้ด้วยหรือ นี่คือสิ่งที่หลายคนกำลังสงสัย
“จริงๆ ด้วยประสบการณ์ของท่านทั้งที่เคยทำธุรกิจมาและประสบการณ์การเมือง เราก็ต้องยอมรับว่าท่านผ่านอะไรมาเยอะ จะดี – ไม่ดีอะไรอันนี้เราไม่พูดถึง ใจผมอยากให้ท่านเป็นที่ปรึกษาประเทศ ที่ท่านพูดไว้แต่ต้น ให้ทำแบบนั้นได้จริงๆ คือท่านสามารถจะออกมาแล้วสามารถเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่อะไรดีก็ออกมาพูด อะไรไม่ดีก็เตือน แต่อยู่ในกรอบ ก็มีหลายๆ ท่าน สมัยก่อนเราคงจำได้
ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองหลายๆ ท่านก็วางตัวแบบนี้ เมื่อถึงเวลาประเทศไทยวิกฤตหรือมีปัญหาก็จะออกมากระตุกเตือนหรือออกมาพูดสักที ผมคิดว่านั่นจะเป็นคำแนะนำที่มีมูลค่ามากและเป็นสิ่งที่คนไทยชื่นชม แต่ถ้าเกิดจะมาถึงขนาดนี้ ผมยังคิดเลย อันนี้ผมอาจจะคิดคนเดียว ต้องขอโทษด้วยถ้าไม่ตรงใจคน จะมาเต็มที่ขนาดนี้ท่านมาเป็นนายกฯ เลยเถอะ จะได้รู้ๆ กันไปเลย อะไรที่ท่านทำได้จะได้ทำ อะไรที่ดีกับประเทศก็ได้ทำ”
ส่วนที่บอกว่า นายทักษิณไม่สามารถเป็นนายกฯ ได้ เพราะติดกรอบของกฎหมาย ตนมองว่าหลายๆ อย่างนายทักษิณก็มาด้วยทางพิเศษอยู่แล้วซึ่งตนก็ไม่อยากรื้อฟื้น นายทักษิณได้กลับบ้านแบบเท่ๆ ไม่ได้มีกรอบกฎหมาย ก็น่าจะทำให้เต็มที่ไปเลยจะได้เป็นประโยชน์กับประเทศ ที่ผ่านมาให้ทั้งน้องเขย น้องสาว ลูกสาวมาเป็นนายกฯ ตลอดจนสนับสนุนนายเศรษฐา ทวีสิน และนายสมัคร สุนทรเวชเป็นนายกฯ
ซึ่งในเมื่อวันนี้บอกว่าหมดเวลาทะเลาะกันแล้วก็ทำให้เป็นระบบไปเลย บอกตรงๆ ว่าจะกลับมา ไปหาวิธีแล้วอธิบายกับประชาชน แต่นายทักษิณก็ต้องรับผิดชอบด้วย “คนที่จะทำอะไรโดยใช้งบประมาณบ้านเมืองต้องมาด้วยความรับผิดชอบ แต่การอยู่แบบนี้แล้วสั่ง หากเกิดปัญหาขึ้นมาถามว่าใครรับผิดชอบ” ส่วนที่มีนักวิชาการบางท่านคาดการณ์ว่า นายทักษิณอาจทำแบบเดียวกับผู้นำของบางประเทศ ประเด็นนี้ตนมีความเชื่อส่วนตัว ว่าประเทศไทยผ่านเหตุการณ์หนักๆ มาได้ตั้งแต่ในอดีต ปัจจัยอย่างหนึ่งคือประชาชนเรามีวัฒนธรรมที่ต่างจากประเทศอื่นๆ
ตนจึงไม่เชื่อเรื่องที่วันหนึ่งที่มีคนลุกขึ้นมาบอกว่าจะปรับให้ประเทศเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะหากทำแบบนั้นจะเกิดการใช้กำลังต่อสู้คัดค้านอย่างรุนแรง ซึ่งตนไม่อยากให้เกิดขึ้นเพราะเมื่อย้อนดูประวัติศาสตร์ ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ทำนองนี้มักมีความสูญเสียชีวิตไม่ว่าทหารหรือประชาชน ส่วนคำถามว่า “อยากให้ใครเป็นนายกฯ” ในมุมของตนการระบุตัวบุคคลทำไม่ง่าย เพราะก่อนที่จะบอกว่าจะให้ท่านใดมาเป็น แต่อยากลองคิดว่า “อยากเห็นอะไรในอนาคตหากเราสามารถเลือกนายกฯ ได้” ซึ่งสำหรับตนอย่างหนึ่งคือใครก็ได้ที่เข้าใจความเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้
“ประเทศไทยเราอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ถ้าเราอยู่เฉยๆ ก็จะอยู่นิ่งๆ แบบนี้ เราก็ต้องปรับระบบเศรษฐกิจ ระบบข้าราชการ ระบบค้าขาย ระบบการดำเนินธุรกิจต่างๆ ใหม่ ฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าใครก็ได้ที่จะมาทำได้คืออะไร สิ่งที่ผมอยากเห็นมากๆ ที่สุดเลย ทำไมวันนี้ระบบราชการเรา เราพูดถึงยุคไฮเทค ยุคดิจิทัล ทำไมระบบราชการเราไม่ปรับตัวรองรับ ผมไม่ได้หมายถึงการไล่ข้าราชการออก ผมหมายถึงระบบ อย่างประชาชนเวลาจะไปยื่นขออะไรสักอย่างกับหน่วยงานรัฐ ทำไมเราต้องถ่ายเอกสารเดิมๆ เหมือนกันหลายๆ ชุด แล้วก็ต้องไปหลายๆ หน่วยงาน”
เช่น การขอใบอนุญาตสักอย่างหนึ่ง ต้องมีทั้งสำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน ใบถือหุ้น ฯลฯ ต้องผ่านโต๊ะนั้นโต๊ะนี้ ถามว่าต่างประเทศเขาต้องมาถ่ายเอกสารชุดเดิมๆ และไปติดต่อกับหลายหน่วยงานแบบนี้หรือไม่ ทั้งที่เป็นหน่วยงานภายใต้รัฐบาลเดียวกัน ระบบฐานข้อมูลหลังบ้านระหว่างกระหน่วยงานต่างๆ ต้องเชื่อมกัน เพื่อให้ทั้งระบบตรวจสอบและระบบการดำเนินการคล่องแคล่วรวดเร็วขึ้น หากทำได้จะเป็นการทลายกำแพงได้มาก ไม่เฉพาะนักลงทุนต่างชาติแต่รวมถึงคนไทยเองด้วย!!!
หมายเหตุ : สามารถรับชมรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ดำเนินรายการโดย บุญระดม จิตรดอน ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ทุกวันอังคาร-พฤหัสบดี เวลา 11.00-12.00 น. โดยประมาณ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี