เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2568 นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ หัวหน้าศูนย์นโยบายและวิชาการของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ประเทศไทยติดหล่ม...ใครจะช่วยดัน
ทุกวันนี้ เราเห็นเพื่อนบ้านในอาเซียนอย่างเวียดนามหรือมาเลเซีย เขาก้าวหน้าไปไกล แต่ไทยยังวนอยู่กับปัญหาเดิม ๆ GDP โตช้า งานใหม่ ๆ น้อยลง นวัตกรรมก็สู้ใครไม่ได้
ไทยเคยเติบโตแบบก้าวกระโดด สมัยช่วงปี 2530-2540 เราได้ชื่อว่าเป็น "เสือเศรษฐกิจ" ของเอเชีย แต่เดี๋ยวนี้...เหมือนรถติดอยู่กลางทาง ไฟแดงก็ไม่เปลี่ยนสักที GDP เราเคยโตปีละ 7-8% สมัยนี้เหลือแค่ 2-3% แถมยังส่งออกแต่ของเดิม ๆ ในขณะที่เวียดนาม เขาก็แซงเราไปแล้วในหลายอุตสาหกรรม
ปัญหาคืออะไร? ถ้าให้ผมคิดไว ๆ และคงสอดคล้องกับหลาย ๆ ท่าน คงเป็นเรื่องบ้านเรากฎหมายเยอะแต่ไม่ช่วยอำนวยความสะดวกเท่าไหร่ เพราะเอกชนต้องใช้เวลาไปกับการขออนุญาตต่าง ๆ เยอะมาก แทนที่จะคิดค้นสินค้าใหม่ หรือนวัตกรรมใหม่ ๆ ต้องมาเสียเวลากับเรื่องใบอนุญาตต่าง ๆ
เอกชนไทยจึงเลี่ยงที่จะคิดหรือพัฒนานวัตกรรมใหม่ โดยเลือกที่จะนำเข้าสินค้ามาขาย ลักษณะแบบนี้เราเห็นได้ทั่วไป ผู้ประกอบการไทยเลยกลายเป็นเพียงคนกลางขายของครับ ซึ่งจะโทษกันก็ไม่ได้ในเมื่อการคิดริเริ่มเองดันมีต้นทุนสูง แถมทำออกมารัฐก็ไม่ช่วย ขายแพงก็แข่งไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องปิดตัว
วันนี้โลกเปลี่ยน การค้าออนไลน์แข่งกันรุนแรง ที่สำคัญคนผลิตจากจีนเอาสินค้าราคาทุนมาขายแข่งกับพ่อค้าแม่ค้าปลีกชาวไทย สุดท้ายประกอบการคนกลางก็อยู่ไม่ได้ แถมรัฐก็ทำอะไรไม่ได้มาก กลายเป็นวิกฤตที่ยังแก้ไม่ตก
ผมคิดว่าวันนี้ต้องหันมาจริงจังกับเรื่องเปลี่ยนแปลงกฎหมายให้มากขึ้น ตัดขั้นตอนและกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อภาคเอกชนไทย เหมือนที่หลายประเทศเขาทำกันครับ อย่างในเกาหลีใต้ หรือเวียดนาม ที่ในช่วงไม่กี่ปีเขาตัดและรวมกฎหมายได้มากกว่า การทำธุรกิจก็ง่ายขึ้น คนก็อยากเข้าไปลงทุน
ปัญหาที่ตามเมื่อผู้ประกอบการเราน้อยก็คือการผูกขาด ซึ่งจะไปโทษรายใหญ่ก็ไม่ได้อีก เพราะโครงสร้างตลาดบ้านเราไม่เอื้อให้ SME เติบโต พอการแข่งขันมีน้อย บริษัทใหญ่ ๆ ก็ไม่อยากลงทุนพัฒนานวัตกรรม สุดท้ายประเทศก็ไม่ไปไหน เพราะไม่มีอะไรใหม่ให้ขาย กลายเป็นปัญหาทับซ้อนเข้าไปอีก
วันนี้ผมคิดว่าเราต้องจริงจังกับเรื่องพวกนี้กันได้แล้วละครับ ถึงจะเป็นเรื่องเก่า แต่เรายังไม่ก้าวหน้าในเรื่องนี้
การแข่งขันทางการค้าที่รุนแรงทำให้การพึ่งพาภายนอกอย่างเดียวไม่ใช่คำตอบ แต่เราต้องการการส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมที่เป็นรูปธรรมกว่านี้ เพื่อเป็นความหวังให้คนรุ่นใหม่ ที่เขามีฝัน อยากทำสตาร์ทอัพ
สิ่งแรก ๆ ที่ต้องทำและผมคิดว่านักวิชาการหลายท่านก็พยายามผลักดันกันอยู่คือเรื่อง การลดกฎระเบียบที่ซับซ้อน เพื่อให้เอกชนสามารถจดจ่อกับการวิจัยและพัฒนาได้มากขึ้น แทนที่จะเสียเวลาไปกับการวิ่งเข้าหาบรรดาข้าราชการ กระทรวง กรมต่าง ๆ เพื่อขอใบอนุญาต
เราต้องจริงจัง เรื่องส่งเสริมระบบนิเวศน์ที่เอื้อให้เกิดผู้ประกอบการหน้าใหม่ เพื่อส่งเสริมการแข่งขันในตลาด เพราะมีงานวิชาการที่ผมเคยอ่านผ่านตาไว ๆ บอกว่า ถ้าภาคธุรกิจไหนมีการแข่งขันกันสูงระดับหนึ่ง ผู้ประกอบการจะแข่งกันพัฒนานวัตกรรม ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อภาพรวมของประเทศครับ
เรื่องสุดท้ายผมคิดว่าเราต้องชัดเจนว่าอยากชูการพัฒนาอุตสาหกรรมอะไร เพราะบทเรียนจากหลายประเทศชี้ชัดแล้วครับว่า ยิ่งจำกัดเป้าหมายการส่งเสริมได้ชัดเท่าไหร่ โอกาสความสำเร็จมีสูงมาก และสุดท้ายก็จะกลายเป็นผู้นำในเรื่องนั้น ๆ จนประเทศอื่น ๆ ก็แข่งกับเราไม่ได้
ที่ผมใช้คำว่า “เรา” แทนคำว่า “รัฐบาล” เพราะ นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาของรัฐบาลหรือภาคเอกชน แต่เป็นปัญหาของเราทุกคนครับ เพราะถ้าเศรษฐกิจไม่ไปข้างหน้า เราทุกคนที่อาศัยอยู่ในประเทศนี้นี่แหละครับที่ต้องลงไปแก้ไขตอนหลัง
ถึงหลายคนจะบอกว่าประเทศไทยเข้าใกล้รัฐล้มเหลว แต่ผมว่ามันยังไม่ใช่ขนาดนั้นครับ ผมยังเห็นนักกิจกรรม นักวิชาการ รวมไปถึงคนตัวเล็กตัวน้อยมากมายออกมาเปล่งเสียงดังบ้าง เบาบ้าง แต่มันก็สะท้อนว่าทุกคนอยากเปลี่ยน และทุกคนอยากเห็นประเทศนี้ดีขึ้นกว่าเดิม
วันนี้โลกกำลังเปลี่ยนเราอย่างรุนแรง ฉะนั้นเราต้องเร่งปรับตัวเองให้ทันหรือนำปรากฎการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นครับ เพราะมันไม่มีเส้นทางข้างหลังให้เราถอยได้อีกแล้วครับ
#สนธิรัตน์
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี